Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

ลด Cost HRไม่ใช่เรื่องยาก!

ลด Cost HRไม่ใช่เรื่องยาก!

((( การลด Cost เป็นเรื่องสำคัญสำหรับทุกองค์กร ... ลองดูคำแนะนำการลด Cost HR บ้างนะครับ )))
----------------------*-------------------------*------------------------


รายงานโดย :รศ.ดร.ศิริยุพา รุ่งเริงสุข สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย: วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ที่เขาว่ากันว่า “ของดีไม่มีราคาถูก...” นั้นก็จริงอยู่ในหลายกรณี แต่ในหลายกรณีก็ทำให้ไม่จริงก็ได้ค่ะ

อย่างในกรณีของการบริหาร HR ในปีชวดหนวดเหี่ยวนี้ ก็แหม! มีแต่ CEO ออกมาประกาศนโยบายรัดเข็มขัดลดต้นทุน ลดคนงานกันตั้งแต่ปีที่แล้ว จนปีนี้ก็ยังทยอยออกมาประกาศกันเป็นระลอกๆ ประมาณว่า กันลูกจ้างลืมว่าต้องประหยัด แบบนี้แล้ว HR จะนั่งทำเป็นทองไม่รู้ร้อนได้อย่างไร ต้องออกมา “จัดให้” กันสักหน่อย ทั้งนี้ลดต้นทุนแต่ไม่ลดคุณภาพด้วยนะคะ

ประเดิมด้วยงานคัดสรรจัดจ้างพนักงานก่อนเลย จากที่เคยลงโฆษณาตามหน้าหนังสือพิมพ์ เคยจ้าง Head Hunter ราคาแพงๆ ปีนี้ก็ขอให้เพลาๆ ลงหน่อย และถ้าหากจำเป็นต้องโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ให้ปรึกษาหารือประสานงานกับฝ่ายการตลาดและการประชาสัมพันธ์ เพื่อร่วมกันแชร์ค่าใช้จ่ายในการโฆษณา แทนที่จะแยกกันประชาสัมพันธ์ต่างคนต่างทำ ในบางโอกาสก็มาทำแผนการโฆษณาองค์กรที่ครอบคลุมหลายๆ เรื่องได้ เช่น เรื่องภาพลักษณ์โดยรวมที่แสดงถึงปรัชญาค่านิยมขององค์กร และปกคลุมถึงสินค้า บริการ และภาพลักษณ์ความเป็นนายจ้าง ลองพลิกดูตามหน้าโฆษณาในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารหลายๆ ฉบับสิคะ แล้วจะพบว่ามีองค์กรที่มีการโฆษณาในลักษณะเช่นนี้หลายองค์กรด้วยกัน ถือเป็นการโฆษณาที่คุ้มค่าคุ้มราคาทีเดียว

ต่อไปคือการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตให้มากขึ้น มีการสำรวจจำนวนผู้สมัครงานทางอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยและทั่วโลก พบว่าในระยะเวลาประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา มีคนใช้บริการอินเทอร์เน็ตในการจ้างและสมัครงานผ่านช่องทางนี้มากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ที่ก้าวเท้าเข้ามาในตลาดแรงงานก็คือคนรุ่น Generation Y ที่ชอบใช้อินเทอร์เน็ต ดังนั้น HR จึงพึงให้ความสนใจช่องทางนี้ให้มากขึ้น เพราะนับวันจะเป็นช่องทางสื่อสารที่ทวีความสำคัญมากขึ้นทุกๆ ที ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการโฆษณาผ่านช่องทางนี้ถูกกว่าและแพร่หลายได้มากกว่า

ลดต้นทุนเรื่องการปฐมนิเทศและการฝึกอบรมพนักงาน ก็ไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใช้ความสามัคคีและความคิดสร้างสรรค์กันหน่อย โดย HR รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพช่วยจัดวางระบบและขั้นตอนการฝึกอบรมร่วมกับผู้จัดการแผนกอื่นๆ ในการช่วยกันกำหนดแผนการฝึกอบรมพนักงานโดยทั่วๆ ไป และการดูแลพัฒนาสายอาชีพเฉพาะของพนักงาน ทั้งนี้สามารถจัดประเภทการฝึกอบรมต่างๆ ภายในองค์กรได้ ดังนี้


1.การปฐมนิเทศพนักงานใหม่ขององค์กรโดยรวมและของแผนก

2.การฝึกอบรมตามตำแหน่งชั้นงาน เช่น ฝึกอบรมทักษะการเป็นหัวหน้างาน การเป็นผู้จัดการ

3.การฝึกอบรมเพิ่มเติมอื่นๆ เช่น ทักษะในการบริหารทีม การสื่อสารในองค์กร ภาวะผู้นำ การเจรจาต่อรอง เป็นต้น


สำหรับการฝึกอบรมในหัวข้อที่ 1 และหัวข้อที่ 2 นั้นสามารถใช้บุคลากรภายในองค์กรด้วยกันเป็นวิทยากรได้ ทั้งนี้หาก HR ได้จัดฝึกอบรมหัวหน้างานระดับต่างๆ ไว้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่แรกเริ่มก่อนเศรษฐกิจจะทรุด หัวหน้างานที่ผ่านการฝึกอบรมมาแล้วก็น่าจะพอมีความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ในหน้าที่ งานที่ตนเองเคยผ่านงานมาแล้วได้ดีพอสมควร แต่หากหัวหน้างานยังขาดทักษะในการเป็นผู้ฝึกอบรม HR ก็อาจจัดการอบรมทักษะการเป็นนักฝึกอบรมให้หัวหน้างานหรือผู้จัดการก่อน (Manager as Trainer) ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว นอกจากนั้นก็จัดฝึกอบรมทักษะอื่นๆ ให้กับผู้จัดการและให้ตัว HR เองจะได้ผลัดกันทำหน้าที่เป็นวิทยากรในองค์กรได้

นอกจากนี้ ควรจัดทำโปรแกรมฝึกอบรมแบบ E-Learning ที่ทำให้พนักงานสามารถเรียนรู้วิทยาการต่างๆ ได้ทั่วโลก โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปฝึกอบรมที่เมืองนอกเมืองนาเสมอไป

จูงใจพนักงานโดยไม่จำเป็นต้องขึ้นเงินเดือน (มากๆ) เสมอไป

หลายองค์กรคงมีนโยบายไม่ขึ้นเงินเดือนอย่างอู้ฟู่แบบในอดีต และหลายองค์กรอาจไม่ขึ้นเงินเดือนเลย เพราะแค่แบกภาระดูแลพนักงานทั้งหมดโดยไม่ปลดใครออกก็หนักอกอยู่มากแล้ว เชื่อเถิดว่าถึงแม้พนักงานจะเข้าใจว่าเหตุใดจึงไม่ได้รับการขึ้นเงินเดือน แต่ก็คงอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้ และในองค์กรที่มีการปลดคนออก พนักงานที่ยังคงทำงานอยู่กับบริษัทก็ยิ่งมีจิตใจเศร้าหมอง HR ควรพยายามสร้างบรรยากาศการทำงานให้ดีขึ้น ควรเน้นบรรยากาศความเป็นทีม ความเป็นครอบครัว ถ้อยทีถ้อยอาศัย ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แม้ว่าเศรษฐกิจจะฝืดเคือง แต่ถ้ามีเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันก็ช่วยสร้างกำลังใจให้พนักงานได้เช่นกัน HR ยังอาจจัดกิจกรรมสังสรรค์ที่ไม่ต้องใช้งบประมาณมากนัก เช่น แข่งกีฬา จัดเวิร์กช็อปโยคะ การออกกำลังกาย โดยสรรหาพนักงานที่มีความสามารถพิเศษมาเป็นครูสอนโยคะ เต้นรำ หรือวาดรูปก็ยังได้

จัดกิจกรรมประหยัดพลังงาน และเครื่องมือ เครื่องใช้ต่างๆ ในสำนักงาน โดยจัดให้มีการแข่งขันระหว่างแผนก หากแผนกใดมีวิธีประหยัดไฟฟ้า เครื่องเขียน กระดาษ ฯลฯ ได้ชัยชนะ ก็อาจมีการนำงบประมาณที่ประหยัดได้บางส่วนมาซื้อของรางวัลให้แผนกนั้นๆ ก็ได้ เพื่อทำให้เรื่องการประหยัดเป็นเรื่องสนุกและน่าจูงใจที่จะทำมากขึ้น

ลดค่าใช้จ่ายเรื่องค่ารักษาพยาบาลของพนักงาน

นี่ไม่ได้หมายความว่าให้ตัดงบประมาณ หรือลดงบประมาณในการรักษาพยาบาลพนักงานนะคะ แต่ผู้เขียนขอเสนอแนะให้ HR ใช้วิธีการเชิงรุกในการให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่พนักงานในการดูแลรักษาสุขภาพกายและใจของเขาให้แข็งแรงอยู่เสมอ แล้วจะได้ไม่ต้องเจ็บป่วยให้ต้องเสียสุขภาพ เสียเวลาทำงาน แล้วก็เสียเงินค่ารักษา ลงทุนตอนเริ่มโครงการบ้าง โดยจัดให้พนักงานได้ตรวจเช็กสุขภาพ แล้วให้มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพอันได้แก่ พฤติกรรมการบริโภค การใช้ชีวิตประจำวัน การออกกำลังกาย ฯลฯ ให้แก่พนักงาน รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวของพนักงานด้วยก็ยังได้ การที่พนักงานและคนในครอบครัวรู้จักดูแลสุขภาพจะเป็นผลดีในระยะยาวแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง และยังจะทำให้พนักงานรู้สึกซาบซึ้งใจที่องค์กรให้การดูแลเป็นอย่างดี เห็นไหมคะว่าเรื่องนี้ยังจะช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับพนักงานอีกด้วย

ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นกิจกรรมที่พิสูจน์ให้เห็นว่า HR อย่างเรานั้นสร้างมหัศจรรย์ได้มากมายโดยไม่ต้องใช้งบประมาณมากอย่างที่คิด เพียงแต่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น ซึ่ง HR อย่างเรามีอยู่มากล้น...ใช่ไหมเอ่ย?




ที่มา: //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=57861




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 12:07:16 น.
Counter : 7302 Pageviews.  

โทษของความสบาย

โทษของความสบาย


((( อืมมม ......... ความสบายก็มีโทษนะ แบบนี้ ต้องใฝ่เรียนรู้ตลอดเวลา... )))


----------------*--------------------*----------------------


รายงานโดย :เกรียงศักดิ์ นิรัติพัฒนะศัย: วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

“คุณเกรียงศักดิ์ ผมมีผู้บริหารระดับสูงหลายคนที่ขึ้นตรงกับผมซึ่งไม่ยอมพัฒนาตัวเองเลย ผมจะทำอย่างไรให้ผู้ใหญ่เหล่านี้รู้จักเรียนรู้และพัฒนาตนเองครับ” คุณประวิทย์ เอ่ยขึ้นมา

“ทำไมคุณประวิทย์อยากให้พวกเขาพัฒนาตัวเองด้วยละครับ ก็เก่งๆ กันทั้งนั้น”

“ก็จริงอยู่ แต่ว่าโลกเรานี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การแข่งขันก็สูง ผู้ถือหุ้นก็หวังผลตอบแทนสูง พนักงานก็เรียกร้องมากขึ้น และที่สำคัญความคาดหวังของลูกค้าเองก็สูงขึ้นทุกวัน”

“ทำไมคุณประวิทย์ไม่บอกพวกเขาละครับ”

“ผมบอกแล้ว แต่พวกเขาบอกว่า ไม่เป็นไร ไม่แย่อย่างที่คิดหรอก ผมนะวิตกจริตเกินเหตุไปเอง”

“ไม่เป็นไรจริงหรือครับ”

“ไม่จริงหรอก ผมจะทำอย่างไรให้เขาตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ดี”

“ตระหนักถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ อาจจะไม่เพียงพอที่จะทำให้คนเปลี่ยนพฤติกรรมนะครับ มาร์แชล โกลด์สมิท เขียนไว้ในหนังสือ What got you here, won’t get you there ว่า การที่คนจะทำอะไรก็ตาม โดยเฉพาะเรื่องของการเปลี่ยนพฤติกรรมนั้น เขาจะทำก็ต่อเมื่อเขามองเห็นว่ามันเป็นประโยชน์สำหรับเขาในค่านิยมของเขาเท่านั้น คำถามที่คุณประวิทย์ตั้งอาจจะยังไม่ตรง ลองตั้งคำถามใหม่ซีครับ”

“ผมจะทำอย่างไรให้ทีมผู้บริหารระดับสูงของผมมองเห็นประโยชน์สำหรับพวกเขา จากการที่พวกเขาใฝ่รู้และพัฒนาตนเอง”

“ดีครับ จะทำอย่างไรละครับ”

“คุณคิดว่าไงละครับโค้ช”

“ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลละครับ ถ้าจะเจาะกันเป็นรายๆ ไป อย่างไรก็ดี พวกเขาอาจจะมีลักษณะอะไรบางอย่างที่คล้ายๆ กันบ้าง ลองบอกผมหน่อยซีครับว่าพวกเขาเป็นอย่างไร เผื่อว่าเราอาจจะมองออกว่าอะไรน่าจะเป็นแรงจูงใจสำหรับพวกเขาให้ใฝ่รู้และพัฒนาตนเองเพิ่มขึ้นได้บ้าง”

“พวกเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก ประสบความสำเร็จมาเยอะ ได้รับการยอมรับและความไว้วางใจจากน้องๆ ในทีมงานสูง พวกเขารัก ปกป้อง และมีเมตตากับลูกทีม พวกเขาภักดีกับองค์กรและทีมงานของตน รับผิดชอบสูง และทำงานหนัก บางทีความแคร์ในผู้ใต้บังคับบัญชาอาจจะเป็นตัวกระตุ้นจูงใจพวกเขาได้นะ”

“เห็นด้วยครับ คุณประวิทย์จะโยงความแคร์ในลูกน้องกับการพัฒนาตนเองของพวกเขาได้อย่างไรละครับ”

“อาจจะมีหลายวิธี เช่น

1.เป็นต้นแบบให้น้องๆ หากเขาไม่ใฝ่รู้และพัฒนาตนเอง น้องๆก็คงทำตาม ซึ่งในอนาคต น้องๆ เหล่านี้ก็คงเดินลงเหว เพราะปัจจัยและสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่ผมเพิ่งเล่าให้ฟังมันก็เหมือนปล่อยให้ทีมงานเดินไปฆ่าตัวตาย ในทางกลับกันหากพี่ๆ ทำตัวเป็นแบบอย่าง น้องๆ ก็จะขวนขวายและกระตือรือร้นอยากพัฒนาตนเองให้เก่งและแกร่งขึ้น

2.ให้เป็นความรับผิดชอบของผู้บริหาร พวกเขาประสบความสำเร็จ เพราะประสบการณ์ ทักษะ ความรู้ และคุณสมบัติเฉพาะตัวหลายๆ ข้อ แต่ว่าปัจจัยเหล่านั้นหลายข้ออาจจะไม่เวิร์กแล้ว หากเขาไม่พัฒนา เขาก็อาจจะล้มเหลวได้ ดังนั้นเขาต้องรับผิดชอบพัฒนาตนเองให้เก่งกว่าเกม ไม่ใช่เดินตามหลังเกมการแข่งขัน”

“ดีครับ”

“แต่ว่าคุณเกรียงศักดิ์ หากเขาแย้งว่า พวกเขาพอใจสิ่งที่เป็นอยู่ ไม่ทะเยอทะยานอะไร ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องพัฒนาก็ได้นี่ครับ”

“ผมว่าคนเข้าใจผิดนะครับ ว่าต้องทะเยอทะยานถึงจะใฝ่รู้และพัฒนาตนเอง มนุษย์เราต่างกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ตรงที่เรามีสมองเพื่อเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ที่จริงแล้วมันเป็นเรื่องของความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้เพื่อวิวัฒนาการเลยล่ะ ผมมีตัวอย่างจาก //www.bbc.co.uk/sn/prehistoric_life/human/ human_evolution/food_for_thought1.shtml.

เมื่อสามล้านปีก่อนในแอฟริกาตะวันออก มีมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ชื่อ Paranthropus Boisei พวกเขามีกรามลักษณะพิเศษที่สามารถจะกินพืชชนิดมีเปลือกแข็งฝังดิน หรือรากไม้แข็งๆ ได้ดี ในตอนนั้นเกิดการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา ทำให้สภาพดินฟ้าอากาศเปลี่ยนแปลง พืชและต้นไม้ส่วนใหญ่ตายหมดยกเว้นพวกพืชที่มีรากหรือมีผลฝังดินเท่านั้น มนุษย์เผ่าพันธุ์อื่นๆ ที่ไม่มีกรามใหญ่เช่นพวกนี้ จำต้องอพยพถิ่นฐานออกไปยังพื้นที่อื่นๆ ที่สามารถจะทำมาหากินได้ ในขณะที่กลุ่ม Paranthropus Boisei อยู่อย่างสุขสบาย เพราะสรีระของตนกับแหล่งอาหารเหมาะเจาะ

แต่ว่าหลังจากนั้นเกิดยุคน้ำแข็งขึ้น ทำให้แหล่งอาหารของพวกเขาสูญสิ้น เพราะว่าการไม่ยอมปรับตัวของเผ่าพันธุ์นี้ ในที่สุดพวกเขาก็สูญพันธุ์ไป

ดังนั้น ความสบายอาจจะนำมาซึ่งภัยพิบัติสำหรับคนรุ่นหลังก็ได้นะครับ”



ที่มา: //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=57866




 

Create Date : 21 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 21 กรกฎาคม 2552 12:06:07 น.
Counter : 643 Pageviews.  

ผลสำรวจเงินเดือนผู้บริหาร สูงกว่าพนักงาน 10 เท่า

ผลสำรวจเงินเดือนผู้บริหาร สูงกว่าพนักงาน 10 เท่า

((( มันสะท้อนใจมากเลยนะครับ ......... ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ? )))

-------------------*------------------*-------------------


โดย : ประกายดาว แบ่งสันเทียะ


ผลสำรวจค่าจ้างผู้บริหารไทยเฉลี่ย 8 หมื่นบาท ชี้ช่องว่างเงินเดือนระหว่างผู้บริหารกับพนักงานระดับล่าง ต่างกันเกือบ 10 เท่า

ศ.ดร.ประพันธ์ ชัยกิจอุราใจ ผู้อำนวยการหลักสุตรวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต
สาขาวิชาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ร่วมกับมหาวิทยาลัยศรีปทุม จัดทำรายงานผลการสำรวจค่าจ้างและสวัสดิการปี 2552/2553 ซึ่งเป็นผลการศึกษาค่าจ้างและสวัสดิการของสมาชิก ส.อ.ท. จำนวน 360 ราย 28 กลุ่มอุตสาหกรรม โดย 71.1% เป็นกิจการของคนไทย ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑลมากที่สุด

โดยภาคอุตสาหกรรมจ่ายค่าจ้างแก่ผู้บริหารระดับสูงเฉลี่ยที่รายละ 80,034 บาทต่อเดือน สูงกว่าตำแหน่งพนักงานปฎิบัติการที่เฉลี่ย 9,457 บาท ถึง 70,577 บาท หรือ 8.5 เท่า อุตสาหกรรมที่พบว่าผู้บริหารระดับสูงที่มีประสบการณ์ ได้รับค่าจ้างมากที่สุด

ได้แก่ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี โดยมีค่าจ้าง 170,963 บาทต่อเดือน ขณะที่พนักงานระดับผู้ปฏิบัติงาน ได้รับค่าจ้าง 15,384 บาทต่อเดือน ส่วนอุตสาหกรรมที่มีค่าจ้างต่ำที่สุด ได้แก่ อุตสาหกรรมรองเท้า โดยผู้บริหารระดับสูงมีค่าจ้าง 38,378 บาทต่อเดือน และพนักงานปฏิบัติการได้รับค่าจ้าง 6,679 บาทต่อเดือน

“ผลการสำรวจยังพบว่า ความเหลื่อมล้ำระหว่างเงินเดือนของผู้บริหารระดับสูงกับพนักงานระดับปฏิบัติการโดยเฉลี่ยห่างกันถึง 10 เท่า ซึ่งถือว่ามีความแตกต่างกันมาก และยอมรับว่าเกิดความไม่เป็นธรรมในสังคมที่อยู่บนพื้นฐานของระบบทุนนิยม หากเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ทั่วโลกเช่น สหรัฐอเมริกาจะมีช่องว่างห่างกันถึง 400 เท่า ซึ่งถือว่าสูงมาก ซึ่งก็มีหลายๆ ประเทศมีการเรียกร้องให้ผู้บริหารลดเงินเดือนของตนเอง

สำหรับประเทศไทยเองยังไม่เคยเห็น แต่ก็ยอมรับว่าช่องว่าที่ห่างกันถึง 10 เท่านี้เป็นความไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่งในสังคม และยังมีอุตสาหกรรมบางประเภท เช่น เซรามิกส์ที่มีความแตกต่างกันถึง 20 กว่าเท่า”

อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาตามวุฒิการศึกษาพบว่า ค้าจ้างพนักงานใหม่ระดับ ปวช. อยู่ที่เดือนละ 6,410 บาท ปวส. 7,422 บาท ปริญญาตรี 10,964 บาท ปริญญาโท 16,844 บาท และปริญญาเอก 27,021 บาท

นายทวีศักดิ์ หมัดเนาะ รองประธานกรรมการบริหารสถาบันส่งเสริมขีดความสามารถของมนุษย์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ระบุว่า นโยบายการการจ้างงานปกติในช่วง 8 เดือนหลัง(พ.ค.-ธ.ค.2552) มีการจ้างงานลดลง 5% อยู่ที่ 65.3% จาก 4 เดือนแรก(ม.ค.-เม.ษ.)ที่มีการจ้างงานตามนโยบายว่าจ้างปกติที่ 70%

ขณะที่การรับคนงานเพิ่มอยู่ที่ 13.6% ลดลงจากช่วง 4 เดือนแรกที่มีการรับคนงานเพิ่มราว 23.6%

นอกจากนี้ยังพบว่าหลายๆ บริษัทมีการปรับลดโบนัสลงในช่วง 8 เดือนหลังราว 4.2% จากในช่วง 4 เดือนแรกที่ 9.2% โดยหลายๆ บริษัทเลือกใช้แนวทางการลดโบนัสเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายเป็นอันดับต้นๆ ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว

“การจ่ายโบนัสโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 1.78 เดือน ซึ่งจ่ายสูงสุด 7 เดือน ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ ขณะที่กลุ่มอุตสาหกรรมรองเท้าเป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ่ายโบนัสต่ำสุด คือ 0.25 เดือน โดยผลการสำรวจทั้ง 360 ราย พบว่า 90% หรือคิดเป็น 253 ราย ที่มีการจ่ายโบนัส ส่วนที่เหลือราว 10% ให้เหตุผลว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจไม่ดี จึงงดจ่ายโบนัส”


ที่มา: //www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/research/20090716/60213/ผลสำรวจเงินเดือนผู้บริหาร-สูงกว่าพนักงาน-10-เท่า.html




 

Create Date : 17 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 17 กรกฎาคม 2552 12:54:42 น.
Counter : 1097 Pageviews.  

8 วิธีชูกำลังระหว่างวันทำงาน

8 วิธีชูกำลังระหว่างวันทำงาน

วิธีชูกำลังระหว่างวันทำงาน


1. ดื่มน้ำมาก ๆ นี่คือวิธีที่ง่ายที่สุด ประหยัดที่สุด และได้ผลมากที่สุด ในการฟื้นฟูพลัง งานของคุณ อย่างที่คุณเคยได้ยินมาหลายต่อหลายตำราแล้วนั่นล่ะว่า การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้สดชื่นอย่างไม่น่าเชื่อ อีกทั้งการสูญเสียน้ำของร่างกายในแต่ละวัน จะส่งผลให้คุณมีอาการหดหู่และซึมเศร้า ฉะนั้นคุณควรดื่มน้ำมาก ๆ อย่างที่ตำราว่าไว้จะดีกว่า ล่าสุดมีผลการวิจัยออกมาว่า ความจริงเราไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำถึงวันละ 8 แก้ว ตามความเชื่อ แต่ให้มั่นใจว่าเราได้ดื่มน้ำตลอดทั้งวัน โดยที่ไม่ต้องรอให้คอแห้งจะดีกว่า เคล็ดลับในการดื่มน้ำให้มาก ๆ โดยที่ไม่ต้องกลัวจะจุกก็คือ ให้ค่อย ๆ ละเลียด จิบน้ำไปเรื่อย ๆ หาขวดน้ำกิ๊บเก๋ขวดใหญ่ ๆ วางไว้บนโต๊ะทำงาน เอาแบบที่เห็นแล้วอยากหยิบขึ้นมากระดกซะเหลือเกิน หลีกเลี่ยงขวดน้ำพลาสติก ที่ใช้บรรจุน้ำดื่มขายทั่ว ๆ ไป เพราะเป็นบ่อเกิดของเชื้อโรค หากนำกลับมาใช้บ่อยครั้ง

2. กินขนมเพื่อสุขภาพ แทนการกินช็อกโกแลตแท่ง หรือขนมกรุบกรอบ เวลาเครียด จริงอยู่ที่การกินช็อกโกแลต สามารถหลั่งสารความสุขออกมาได้บ้าง หากแต่ระยะยาวแล้ว จะสร้างความเครียด ให้คุณเปล่า ๆ ทั้งความอ้วน ทั้งอาการปวดศีรษะ ลองเมนูนี้ดูเป็นไง : นำเมล็ดถั่วอัลมอนด์ เมล็ดฟักทอง และลูกเกด มาเทใส่ชามคลุกรับประทานเลยดีกว่า อาหารที่ว่ามาเป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นยอด สามารถ เพิ่มพลังและทำให้คุณตื่นตัวตลอดบ่ายเลยทีเดียว

3. หลีกเลี่ยงอาหารมื้อใหญ่และการดื่มแอลกอฮอล์ในมื้อกลางวัน
ก็เข้าใจอยู่นะคะว่า อาหารจานใหญ่อันโอชะ มันยากจะห้ามใจ หรือถ้ายิ่งมื้อนั้นโชคดี มีไวน์แก้วสวย แถมไม่ต้องเสียตังค์ มาวางอยู่ตรงหน้า จะห้ามใจไว้ได้อย่างไรไหว แต่...ช้าก่อนค่ะ มันไม่คุ้มกันเลยกับการที่จะต้องมีอาการ “ป่วยขั้นโคม่า” นั่งสัปหงกอยู่หน้าเครื่องคอม พิวเตอร์ สำหรับมื้อกลางวันที่เหมาะเหม็งกับการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพในช่วงบ่าย คือแค่สลัดสักถ้วย กับน้ำแร่สักแก้ว และแทนที่จะล้างปากด้วยอาหารหวานหรือกาแฟอย่างที่เคยลิ้น เปลี่ยนมาเป็นชาสมุนไพรร้อน ๆ สักแก้ว กาเฟอีนในชาและน้ำตาลจะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าขึ้น
แก้ปัญหาด้วย...กำลัง

4. ออกเดิน ขอเวลาเบรกสักหนึ่งแป๊บ
แค่ 10 นาที คงไม่ทำให้องค์กรคุณพินาศวอดวาย แหงนหน้าออกจากคอมพิวเตอร์ ผละมือออกจากเมาส์ ถอดแว่นตา สะบัดก้นออกจากเก้าอี้ แล้วออกเดินไปเรื่อย ๆ บริเวณออฟฟิศนี่แหละ ให้ออกซิเจนได้ไหลเข้าสมอง จะทำให้คุณโล่งศีรษะขึ้นทันตาเห็น

5. กายบริหารที่โต๊ะ ด้วยท่าโยคะแสนง่าย
สามารถ ปฏิบัติได้จริงบนเก้าอี้ทำงานนี่แหละ ทำง่าย ๆ แต่ได้ผลดีชะงัดแล

-ท่าบริหารกระ ดูกสันหลัง –

สเต็ปที่ 1 : ด้วยการนั่งไขว่ห้างให้สุด วางมือข้างที่ตรงข้ามกับขาไว้ด้านบนสุดของต้นขา

สเต็ปที่ 2 : ค่อย ๆ บิดตัวช่วงบนให้ไปทางด้านตรงข้ามกับหัวเข่า วางมือไว้ที่พนัก พิงของเก้าอี้แล้วค่อย ๆ งัดตัวขึ้น

สเต็ปที่ 3 : ค้างไว้ท่านี้ ขณะที่สูดหายใจเข้า ลึก ๆ อย่างช้า ๆ

สเต็ปที่ 4 : เปลี่ยนข้างทำไปเรื่อย ๆ


6. นั่งอย่างนักรบ
ใช่แล้ว ! อ่านไม่ผิดหรอก เราแนะนำให้คุณนั่งด้วยท่านักรบในลักษณะต่อไปนี้ เพื่อสุขลักษณะที่ดีแก่การนั่ง เพราะอย่าลืมว่า คุณจะต้องนั่งทำงานอยู่อย่างนี้ไปนับ 10 ชั่วโมง ทางที่ดีขณะที่นั่งควรจะมีอิริยาบถอื่น ๆ บ้าง ให้ร่างกายของคุณไม่ต้องคุ้นชินกับการนั่งนิ่ง ๆ จนกล้ามเนื้อมลายตายคาเก้าอี้อยู่อย่างนั้น

สเต็ปที่ 1 : นั่งหลังตรงพิงพนักใช้ปลายเท้าดันพื้นไว้

สเต็ปที่ 2 : ยกแขนขึ้นทั้งสองข้าง แล้วประกบฝ่ามือเข้าหากันให้แน่น

สเต็ปที่ 3 : แหงนศีรษะขึ้นให้เห็นหัวแม่โป้ง อย่าให้ไหล่ห่อติดกับหู ปล่อยหัวไหล่สบาย ๆ

สเต็ปที่ 4 : ค่อย ๆ หลับตา สูดหายใจเข้า-ออก ช้า ๆ 5 ครั้ง

สเต็ปที่ 5 : วางแขนลงแนบลำตัวอย่างช้า ๆ ค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น


ป.ล. หากคุณเขินอายที่อยู่ดี ๆ จะทำท่าแปลก ๆ กลัวคนอื่นจะหาว่าฟั่นเฟือนหรือเปล่า ก็ลองชวนคนที่เขาถามนั่นล่ะ มาทำด้วยกันซะเลย ดีไม่ดีเขาอาจจะต้องขอบคุณคุณก็ได้

แก้ปัญหาด้วย...การจัดการ

7. อย่าผัดวันประกันพรุ่ง
ข้อนี้ถือเป็นคาถาก็แล้วกัน เพราะความหมาย และวิธี ทำไม่มีอะไรมาก แค่อย่าคั่งค้างงาน พยายามปลุกอารมณ์ทำงานตลอดเวลาก็เท่านั้น เคล็ดลับคือ เขียนคำนี้ติดไว้ที่ใกล้สายตามองเห็นให้คำพูดเตือนจิตใต้สำนึกคุณอยู่เสมอ ๆ

8. จดสิ่งที่ต้องทำ 3 รายการ
ถ้าสมุดโน้ตของคุณจดสิ่งที่ต้องทำในแต่ละวันไว้ยาวเป็นไมล์ นั่นคือปัญหาตัวฉกาจที่จะทำให้คุณไม่อยากทำอะไรเลย เพราะมันเยอะมากจนน่าปวดหัว ลองใช้ทริคนี้ดู แม้งานจะเยอะแค่ไหนพยายามประกอบรวมให้เป็นหมวดหมู่เหลือเพียง 3 หัวข้อ เวลาที่คุณทำเสร็จทั้งหมดตามปณิธาน จะทำให้คุณเกิดความภาคภูมิใจ เพราะแค่ 3 หัวข้อจะทำให้คุณรู้สึกว่า...ง่ายมากที่จะรับมือกับมันไหว สบายอยู่แล้ว


ที่มา: นสพ. เดลินิวส์




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2552 18:19:06 น.
Counter : 672 Pageviews.  

ต้องรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อหุ้นกู้

ต้องรู้อะไรบ้าง ก่อนซื้อหุ้นกู้


((( มีประโยชน์ สำหรับมือใหม่ ... เหมือนตัวข้อยเด้อออ )))

----------------------*-------------------------------

รายงานโดย :พิชัย เลิศสุพงศ์กิจ: วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำติดดินช่วยปั่นกระแสหุ้นกู้บูม โดยทางสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทยคาดการณ์ว่า ในปีนี้ภาคเอกชนจะออกหุ้นกู้รวมกันราว 33.7 แสนล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของตลาดหุ้นกู้ไทย

ปัจจุบันบริษัทเอกชนให้ความสนใจออกหุ้นกู้เป็นจำนวนมาก เนื่องจากต้นทุนถูกกว่าการกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ ขณะที่ผู้ลงทุนเองก็ถูกบีบคั้นด้วยอัตราดอกเบี้ยธนาคารที่ต่ำติดดิน จึงต้องปรับพอร์ตแบ่งเงินลงทุนบางส่วนเข้าหุ้นกู้ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่าการฝากเงิน

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนพึงตระหนักว่า การฝากเงินกับธนาคารจะมีประกันโดยภาครัฐ คือ เงินต้นไม่มีทางหาย ทางหุ้นกู้ก็อาจมีประกัน แต่ไม่ใช่ประกันจากรัฐบาล จึงมีโอกาสผิดนัดชำระหนี้ ดังนั้นผู้สนใจลงทุนในหุ้นกู้ต้องให้ความสำคัญกับอันดับเครดิตเรตติ้งเป็นอันดับแรก จากนั้นให้พิจารณาว่าบริษัทผู้ออกเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมหรือไม่ รวมถึงต้องดูด้วยว่าอยู่ในอุตสาหกรรมใด เพราะถึงแม้ว่าบริษัทจะได้อันดับเครดิตเท่ากัน แต่อยู่คนละอุตสาหกรรม ก็อาจมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน ปัจจัยสุดท้ายผู้ลงทุนต้องดูระยะเวลาในการลงทุนด้วยว่า สามารถลงทุนได้ยาวแค่ไหน

เนื่องจากหุ้นกู้จำนวนมากมีสภาพคล่องในการซื้อขายต่ำ กล่าวคือ ไม่ได้เปลี่ยนมือกันง่ายๆ เหมือนกับหุ้นในตลาดหุ้นครับ ฉะนั้นต้องคิดเผื่อว่า เมื่อซื้อแล้วจะถือยาวจนครบกำหนดไถ่ถอน ความตั้งใจถือจนจบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยอีกทางหนึ่งด้วย กล่าวคือ หากต้องขายหุ้นกู้ก่อนกำหนดไถ่ถอน แต่เผอิญอัตราดอกเบี้ยถึบตัวสูงขึ้นมาก กรณีนี้จะต้องขายในราคาขาดทุน ดังนั้นหากคาดการณ์ว่าอัตราดอกเบี้ยได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว สำหรับนักลงทุนทั่วไปไม่ควรซื้อหุ้นกู้ระยะยาว เนื่องจากจะล็อกตัวเองกับอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำไว้นั่นเอง จะยกเว้นก็เฉพาะนักลงทุนเงินเย็นที่มีเงินไหลเข้าตลอด กลุ่มหลังนี้สามารถลงทุนในหุ้นกู้ระยะยาวได้ตลอดเวลา เนื่องจากจะมีกระแสเงินก้อนใหม่ไหลเข้ามาอยู่เสมอ จึงสามารถใช้เงินใหม่โดยไม่แตะเงินเก่าที่ได้เคยลงทุนยาวไว้ หรือจะลงทุนใหม่เพื่อเฉลี่ยต้นทุนให้ถูกลงก็ได้ การจัดพอร์ตหุ้นกู้จึงต้องเน้นให้เหมาะกับกระแสเงินสดของผู้ลงทุนด้วย

นอกจากนั้น หุ้นกู้ยังมีหลายชนิด ก่อนลงทุนต้องเข้าใจก่อนว่าหุ้นกู้มีประกันหรือไม่ และด้อยสิทธิหรือไม่ หากมีประกันก็ต้องถามต่อว่า ประกันโดยสินทรัพย์อะไร หรือประกันโดยบุคคลที่ 3 เพื่อประเมินความน่าเชื่อถือต่อไป เนื่องจากกรณีเกิดเหตุผิดนัดชำระหนี้ เราสามารถบังคับหลักประกันที่เจาะจงไว้ได้ก่อนเจ้าหนี้รายอื่น

กรณีหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันใดๆ ทั้งสิ้น แต่ไม่ด้อยสิทธิ สิทธิของผู้ถือหุ้นกู้นี้จะเสมอกับเจ้าหนี้รายอื่นที่เขาไม่มีหลักประกันเหมือนเรา แต่ด้อยกว่าเจ้าหนี้มีประกันที่สามารถบังคับหลักประกันที่เจาะจงไว้ได้ก่อนเรา เมื่อกลุ่มเจ้าหนี้มีประกันบังคับหลักประกันเรียบร้อยแล้ว เจ้าหนี้ไม่ด้อยสิทธิจึงมีสิทธิไล่เบี้ยต่อ

ย้ำว่า ผู้ถือหุ้นกู้ “ด้อยสิทธิ” ในกรณีที่บริษัทเกิดเป็นอะไรไป คนแรกที่จะได้รับการชำระหนี้ก่อนเลยคือ คนที่มีประกัน ต่อมาที่จะต้องมาเข้าคิว คือ เจ้าหนี้ที่ไม่มีประกันแต่ไม่ด้อยสิทธิ แต่ถ้าเราด้อยสิทธิ เราก็จะเป็นคนท้ายๆ แม้จะเข้าคิวรอแต่เงินชำระหนี้อาจหมดก่อนที่จะถึงเราครับ เรียกว่า กินน้ำใต้ศอกสุดๆ หุ้นกู้ด้อยสิทธิจึงเสี่ยงสูงกว่าเพื่อน ดังนั้นจึงถูกชดเชยด้วยดอกเบี้ยที่สูงกว่าพวกมีประกัน หรือไม่ด้อยสิทธิครับ

แม้คนจะแห่กันออกซื้อหุ้นกู้ แต่ไม่ใช่ว่าหุ้นกู้ทุกตัวน่าลงทุน นักลงทุนจะต้องพิจารณาเป็นรายตัว เพราะแต่ละบริษัทมีฐานะทางการเงินที่ต่างกัน ไม่ได้หมายความว่าอุตสาหกรรมใดมีความเสี่ยง แล้วจะลงทุนไม่ได้ทั้งอุตสาหกรรม ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น ทุกอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบหมด แต่หนักเบาไม่เท่ากัน

เครดิตเรตติ้งเป็นการส่งสัญญาณชี้วัดความเสี่ยง เพื่อบอกกับนักลงทุนถึงโอกาสในการผิดนัดชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ตามหลักการจะขีดเส้นแบ่งที่ BBB ขึ้นไป เป็นกลุ่มที่ลงทุนได้ (Investment Grade) ความเสี่ยงจะอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้ แต่ก็ต้องขอเรียนว่า การที่จะออกมาเป็น A หรือ AA ก็ไม่ได้แสดงว่าจะไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง การจัดเรตติ้งเป็นเพียงการมองออกไปอีก 23 ข้างหน้าว่าจะอยู่ได้ แต่เหตุการณ์ในอนาคตเปลี่ยนแปลงได้เสมอ เช่น ราคาน้ำมัน ค่าเงิน จากวันนี้ที่ได้ AA อีก 2 ปีข้างหน้าก็อาจจะกลายเป็น A หรือต่ำกว่านั้นก็เป็นไปได้ ทั้งนั้นโดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจเปราะบางแบบนี้ นักลงทุนต้องตระหนักตรงนี้ด้วย

ปัจจุบันบริษัทที่มีอันดับเครดิตในระดับ BBB หันมาออกหุ้นกู้มากขึ้น แม้ว่าจะต้องเสียค่าชดเชยความเสี่ยงเพิ่มอีก 34% เมื่อรวมกับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรอายุ 3 ปี ที่ระดับ 2.4% อีก รวมกันแล้วเป็น 6% เศษ แต่บริษัทเหล่านี้ก็พร้อมจะจ่ายในภาวะที่ธนาคารพาณิชย์เข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อ สำหรับบริษัทที่มีอันดับเครดิต A จะเสียค่าชดเชยความเสี่ยงเพิ่มอีก 2% เครดิตระดับ AA เพิ่มอีก 1.25% และ AAA เสียเพิ่มอีก 1%

นอกจากนั้น นักลงทุนควรจะดูด้วยว่า ผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิในการซื้อคืนก่อนกำหนดหรือไม่ กรณีมีสิทธิซื้อคือหลังปีที่ 5 กรณีนี้หากอัตราดอกเบี้ยที่เขาระบุไว้ในหุ้นกู้มันสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดช่วงนั้นมาก เขาก็มีสิทธิซื้อคืน ก็หมายความว่า พอเขาจะต้องจ่ายดอกเบี้ยเราเยอะ เขาขอซื้อคืนดีกว่า โดยเฉพาะถ้าอัตราดอกเบี้ยมันต่ำกว่าที่เขาจะต้องจ่ายเรามาก

ทั้งนี้ ควรพิจารณากระจายเงินลงทุนออกไปในหุ้นกู้ชั้นดีให้มีความหลากหลายในแง่อุตสาหกรรม (อายุหุ้นกู้มี 2 ปี 3 ปี 5 ปีบ้าง เป็นต้น) เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน

สำหรับผู้มีความรู้ด้านการเงิน น่าพิจารณากระจายการลงทุนบางส่วนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ หรือหุ้น Defensive ที่จ่ายปันผลดี เนื่องจากแม้จะแบกความเสี่ยงสูงขึ้นบ้าง แต่อัตราผลตอบแทนคาดหวังสูงการลงทุนในหุ้นกู้มาก ลองทำการบ้านดูครับ


ที่มา: //www.posttoday.com/stockmarket.php?id=56742




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 13 กรกฎาคม 2552 18:30:02 น.
Counter : 1316 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.