Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

อย. เตือน ระวังสารแอฟลาท็อกซินจากการบริโภคพริกป่น ถั่วลิสงป่น



อย. เตือน ระวังสารแอฟลาท็อกซินจากการบริโภคพริกป่น ถั่วลิสงป่น
ส่วนน้ำส้มสายชู ระวังของปลอม



--------------------------------------

สำหรับคนที่ชอบก๋วยเตี๋ยว, ผัดไทย ฯลฯ โปรดระวังด้วยนะครับ

--------------------------------------

อย. เตือน การบริโภคพริกป่น ถั่วลิสงป่น ที่อยู่ในเครื่องปรุงอาหาร อาจเสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารแอฟลาท็อกซินจากเชื้อราซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ส่วนการบริโภคน้ำส้มสายชูอาจพบน้ำส้มสายชูปลอมที่มีความเป็นกรดสูง เป็นอันตรายต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ ควรเลือกซื้อน้ำส้มสายชูที่บรรจุในขวดแก้ว ที่ ฉลากระบุเครื่องหมาย อย. พร้อมเลขสารบบเพื่อความปลอดภัยในการบริโภค


นพ. นรังสันต์ พีรกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ปัจจุบันในการรับประทานอาหารประเภทก๋วยเตี๋ยว นอกจากเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ต้องคอยระมัดระวังในเรื่องของสุขลักษณะ ที่ต้องมาจากโรงงานผลิตที่ได้มาตรฐานจีเอ็มพีและต้องไม่มีการใช้สารกันเสียเกินมาตรฐานแล้ว เครื่องปรุงก็ถือเป็นวัตถุดิบอีกชนิดหนึ่งที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนสารอันตรายและไม่ควรมองข้ามความปลอดภัย โดยเฉพาะพริกป่น ถั่วลิสงป่น และน้ำส้มสายชู โดยพริกป่นและถั่วลิสงป่นมักมีการตรวจพบสารแอฟลาท็อกซิน ซึ่งเป็นสารพิษที่เกิดจากเชื้อรา หากร่างกายได้รับสารพิษอย่างต่อเนื่อง จะเกิดการสะสมของสารพิษกลายเป็นมะเร็งตับในที่สุด

ดังนั้นผู้บริโภคควรเลือกรับประทานพริกป่นและถั่วลิสงป่นที่สะอาด ไม่มีเชื้อรา และควรเปลี่ยนใหม่ทุก ๆ 3-5 วัน พร้อมทั้งจัดเก็บในภาชนะที่สะอาดและแห้ง


รองเลขาธิการ ฯ กล่าวต่อไปว่า สำหรับน้ำส้มสายชู อาจมีผู้ประกอบการบางรายผลิตน้ำส้มสายชูปลอม ซึ่งส่วนใหญ่ทำมาจากกรดน้ำส้มหรือกรดชนิดอื่น ๆ ที่ใช้ในอุตสาหกรรม เช่น นำกรดซัลฟิวริกหรือกรดกำมะถันมาเจือจางแล้วแบ่งขาย ซึ่งไม่ปลอดภัยต่อการบริโภค เพราะจะทำให้เกิดอันตรายต่อกระเพาะอาหารและลำไส้ เนื่องจากมักจะมีปริมาณกรดที่สูงเกินไป ทั้งนี้ ผู้บริโภคสามารถสังเกตน้ำส้มสายชูที่ปลอดภัยต่อการบริโภคได้ โดยการดูพริกดองในน้ำส้ม ถ้าสีพริกดองมีสีสดใสเนื้อพริกไม่เปื่อยเละแสดงว่าสามารถรับประทานได้ และควรหลีกเลี่ยงน้ำส้มสายชูที่บรรจุในภาชนะพลาสติก เพราะน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด หากบรรจุไว้เป็นเวลานานอาจเกิดการกัดกร่อนทำให้เกิดการปนเปื้อนของโลหะหนักได้ ดังนั้น ควรเลือกซื้อน้ำส้มสายชูที่บรรจุในขวดแก้ว และที่สำคัญให้สังเกตดูฉลากอาหารต้องมีเครื่องหมาย อย. พร้อมเลขสารบบอาหาร 13 หลัก จึงจะจัดเป็นอาหารปลอดภัย



ที่มา: อย.

//www.fda.moph.go.th/www_fda/data_center/ifm_mod/nw/อย._เตือน_ระวังสารแอฟลาท็อกซินจากการบริโภคพริกป่น_ถั่วลิสงป่น.pdf




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2552 20:06:37 น.
Counter : 684 Pageviews.  

"กูเกิ้ล"จ้างแพะตัดหญ้า รักษาสิ่งแวดล้อม


"กูเกิ้ล"จ้างแพะตัดหญ้า รักษาสิ่งแวดล้อม




โดย ศิริพงษ์ วิทยวิโรจน์ siripong@kidtaloentz.com



กูเกิ้ล เป็นบริษัทบริการด้านการค้นหาบนอินเตอร์เน็ตที่เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็รู้จัก เติบโตรวดเร็วจนกลายเป็นบริษัทใหญ่โตมโหฬารไปแล้วในระยะเวลาไม่นานนัก คุณสมบัติพิเศษอย่างหนึ่งของกูเกิ้ลก็คือ การกล้าคิดกล้าทำอะไรใหม่ๆ

เมื่อเร็วๆ นี้มีข่าวอยู่ข่าวหนึ่ง บอกว่า กูเกิ้ล จ้างแพะทำงานแทนคน

เป็นเรื่องจริงครับ ไม่ใช้เรื่องล้อเล่น เพราะแพะ 200 ตัวถูกจ้างให้มากินหญ้าในบริเวณสำนักงานใหญ่ของกูเกิ้ลที่แคลิฟอร์เนีย กินหญ้าแถมยังให้ปุ๋ยไปด้วย

ไม่มีรายละเอียดเรื่องการว่าจ้างแน่ชัด แต่มีข้อมูลว่าการให้แพะมากินหญ้านั้น เสียค่าใช้จ่ายไม่ต่างจากการใช้เครื่องตัดหญ้า ทว่าผลดีของมันคือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมลง แพะเป็นสัตว์ที่เลี้ยงกันมาโดยธรรมชาติ ไม่ต้องผ่านกระบวนการอะไรกันมากมาย ขณะที่เครื่องตัดหญ้าโดยตัวมันเองสร้างผลเสียต่อสิ่งแวดล้อมในแทบทุกชิ้นส่วน จนแม้เมื่อเอามาใช้งานก็ยังกินพลังงาน

แต่แพะไม่เลยครับ

ความคิดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่นัก แต่ใครจะลงมือทำ


จำได้ว่าตั้งแต่ตอนเด็กๆ การ์ตูนในไทยรัฐของ ประยูร จรรยาวงศ์ แนะนำเรื่องการเลี้ยงเต่าบกไว้ในบ้านที่เลี้ยงหมาเลี้ยงแมว ให้มันกำจัดมูลอันไม่น่าพิสมัยของหมาแมวที่เราเลี้ยง


มองกันในแง่หนึ่ง การเอาแพะมาใช้แทนเครื่องตัดหญ้าของกูเกิ้ลนั้น นับว่าเป็นเครื่องมือการโฆษณาประชาสัมพันธ์ชั้นดีให้เห็นว่า กูเกิ้ล เป็นบริษัทสีเขียว แต่หากเราติดตามพฤติกรรมของบริษัทนี้มามากพอสมควรก็จะรู้มาก่อนแล้วว่ากูเกิ้ลเป็นหนึ่งในบริษัทใหญ่ของโลกที่เอาจริงเอาจังกับเรื่องการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม


ไม่ได้ทำแบบฉาบฉวย และทำในทุกระดับ แม้ระดับพนักงาน เช่น มีโครงการส่งเสริมการใช้จักรยานภายในแคมปัสสำนักงานใหญ่สำหรับการเดินทางสั้นๆ ภายใน การใช้รถขนส่งพนักงานที่ใช้ไบโอดีเซล 20 ตลอดไปจนถึงตัวอาคารที่ออกแบบมาเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม


ทั้งหมดนั้นคือการปักหลักนโยบายที่ใช้ทางวิชาการเรียกว่า การลดร่องรอยคาร์บอน หรือ รีดิวซิ่ง คาร์บอน ฟู้ดพรินต์ บริษัทที่อยากจะทำดีกับโลก อาศัยตัวนี้สำหรับการวัดทุกกิจกรรมที่ตัวเองทำ ทำอย่างไรให้ปลดปล่อยคาร์บอนออกมาน้อยที่สุด


หลายเรื่องประหยัดได้จริงจัง บางเรื่องแม้ไม่ได้ประหยัดลง แต่ก็ช่วยสิ่งแวดล้อมได้มากกว่า เช่น กรณีการเอาแพะมาแทนเครื่องตัดหญ้า


ในระยะยาวเราทุกคนได้จากนโยบายและการกระทำอย่างนี้


ช่วงสงกรานต์เดือดในบ้านเรา ผมไปเตร็ดเตร่อยู่ที่เนปาล เห็นที่นั่นพวกอาคารบ้านเรือนมีแผงพลังงานแสงอาทิตย์กัน เนปาลขาดแคลนไฟฟ้า ต้องปิดไฟวันละ 12 ชั่วโมง คนก็อาศัยพลังงานแสงอาทิตย์มาทดแทน


จะไปสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ทำได้ครับ มีที่ให้ทำเยอะ แต่ต้องไปก่อหนี้ต่างประเทศเกินตัว และผลกระทบจากการสร้างเขื่อนก็อย่างที่รู้ๆ กันอยู่ แนวเขตหิมะที่ร่นสูงขึ้นเรื่อยทำให้น้ำก็เป็นปัญหา


รัฐบาลเนปาลเขาทำแบบนี้ครับ วางแผนอุดหนุนการติดตั้งพลังงานแสงอาทิตย์ให้คนในเขตเมืองราวๆ 1 ล้านครัวเรือน


เท่ากับลดความต้องการใช้ไฟจากระบบใหญ่ลงไป และลดแรงกดดันให้ต้องสร้างเขื่อนผลิตกระแสไฟฟ้าเพิ่มขึ้นใหม่


หนี้ก็ไม่ต้องสร้าง ป่าก็ไม่ถูกทำลาย

ในภูมิภาคเอเชียของเรานั้น 75 เปอร์เซ็นต์ของการปลดปล่อยคาร์บอนมาจากการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งยังไม่เลิกราทั้งที่สั่งสอนกันมาไม่รู้กี่สิบปีแล้ว


ที่มา: //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01act03040552§ionid=0130&day=2009-05-04




 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2552 9:25:21 น.
Counter : 757 Pageviews.  

แก้วิกฤตการณ์ของโรงแรมในฮ่องกง


แก้วิกฤตการณ์ของโรงแรมในฮ่องกง




คอลัมน์ กรณีศึกษา SMEs



เป็นที่ทราบแล้วว่าผลกระทบของการเมืองและเศรษฐกิจในบ้านเราส่งผลต่อการท่องเที่ยวมากแค่ไหน


ในมุมมองของ ผศ.ดร สุขสรรค์ กันตะบุตร ประธานสาขาการจัดการทรัพยากรมนุษย์ หลักสูตรนานาชาติมองว่า "คน" คือทรัพยากรที่มีคุณค่าอย่างยิ่งในธุรกิจทางด้านบริการ ซึ่งธุรกิจโรงแรมคือหนึ่งในแขนงงานด้านการบริการ


จากการศึกษาองค์กรที่มีอายุยาวนานและสามารถผ่านพ้นวิกฤตไปได้ทุกๆ ครั้ง พบว่าการแก้ปัญหาวิกฤตโดยการปลดพนักงานไม่ใช่เป็นทางเลือกหรือทางออกขององค์กรที่ยั่งยืน ธุรกิจเหล่านี้มองว่า พนักงานคือสิ่งที่สำคัญมากต่อองค์กร ธุรกิจที่ยั่งยืน และมองว่าความยั่งยืนนี้จะหายไปหากมีการปลดพนักงานออก เพราะพนักงานคือองค์ความรู้เฉพาะ ของบริษัทนั่นเอง พนักงานที่ทำงานมานานๆ ย่อมจะทราบดีว่าลูกค้าแต่ละท่านมีความชอบหรือไม่ชอบอะไร และอย่างไรในรายละเอียด เพราะฉะนั้นพนักงาน เหล่านี้จึง "รู้ใจ" ลูกค้านอกเหนือจากองค์ความรู้เฉพาะเกี่ยวกับลูกค้าแล้ว ยังมีองค์ความรู้เกี่ยวกับตลาดที่ธุรกิจดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจอยู่ด้วย เช่น เงื่อนไขเกี่ยวกับราคา เงื่อนไขเกี่ยวกับผู้ขายวัตถุดิบ หรือพฤติกรรมของตลาดต่างๆ เหล่านี้ เป็นต้น


องค์ความรู้เฉพาะของพนักงานเกี่ยวกับตลาดนี้เองที่จะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถตอบรับได้อย่างทันท่วงทีเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่บ่อยครั้งไม่สามารถคาดเดาได้ ความสำคัญขององค์ความรู้เหล่านี้จะเด่นชัด หลังจากที่ภาวการณ์ถดถอยทางเศรษฐกิจหายไป และเศรษฐกิจกลับมาสู่ขาขึ้นเช่นเดิม จะทำอย่างไรเมื่อเศรษฐกิจกลับมาเจริญรุ่งเรืองตามเดิม


ตัวอย่างจากกรณีศึกษาของ โรงแรม Marriott International ประเทศฮ่องกง โรงแรมนี้ให้ความสำคัญว่า พนักงานคือหัวใจของการให้บริการ จึงลงทุนในการพัฒนาพนักงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้พนักงานมีทักษะที่หลากหลาย และก็ในช่วงวิกฤตไม่มีการให้พนักงานออกจากงาน อย่างช่วงวิกฤตการณ์ไข้หวัดนกในฮ่องกง ปรากฏการณ์วิกฤตโรคติดต่อได้ส่งผลทันทีต่อยอดของนักท่องเที่ยว หรือกิจกรรมการติดต่อทางธุรกิจ กิจกรรมงานสัมมนา งานแสดงสินค้าที่มักจะจัดขึ้นในประเทศฮ่องกง ในช่วงเวลานั้นแทบจะไม่มีนักเดินทางนักธุรกิจ เดินทางเข้าประเทศฮ่องกงเลย และหากยังจำได้เหตุการณ์ไข้หวัดนกได้ ส่งผลกระทบต่อบริการด้านโรงแรมห้องพักในทันที


ในขณะนั้นเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอดโดยไม่มีนโยบายให้พนักงานพักงานหรือ ลาออก และเพื่อที่จะทำให้ธุรกิจอยู่รอด ผู้บริหารโรงแรม ได้แก้ไขสถานการณ์ในช่วงนั้นด้วยการหันมาเน้นสร้างยอดขายในส่วนของห้องอาหารแทนห้องพัก และเนื่องจากพนักงานของแมริออทมีคุณภาพเพราะว่ามีการฝึกอบรมพนักงานมาตลอด ทำให้การปรับเปลี่ยนทักษะของพนักงานจากการให้บริการห้องพักมาเป็นให้บริการทางห้องอาหารสามารถทำได้ง่ายขึ้น และคนก็เข้ามาใช้บริการห้องอาหารที่นี่มากขึ้น เพราะในช่วงนั้นผู้บริโภคมองว่าการรับประทานอาหารในโรงแรมน่าจะสะอาดและปลอดภัยมากกว่าทานอาหารที่อื่น โรงแรมได้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการหารายได้ใน ขณะนั้น จากการขายห้องพักให้มาเน้นเรื่องของการทำห้องอาหารแทน


สำหรับวิกฤตการณ์ของธุรกิจบริการ โรงแรม และท่องเที่ยว ของบ้านเราขณะนี้


คำแนะนำก็คือ แทนที่จะมองถึงวิธีการให้พนักงานพักงานหรือลาออก ก็อาจจะลองเรียกประชุมพนักงานทุกระดับเพื่อร่วมกันค้นหานวัตกรรมการบริการ ร่วมกันหาสินค้าและบริการใหม่ๆ เข้ามาดึงดูดลูกค้าในท้องถิ่น หรือนักท่องเที่ยวคนไทย และสำหรับรายที่ยังพอมีสายป่านและมีฐานการเงินที่ยังสามารถพยุงตัวอยู่ได้ก็น่าจะใช้โอกาสนี้มาพัฒนาขีดความสามารถให้กับพนักงาน เพื่อที่เมื่อฤดูการท่องเที่ยวและคลื่นนักท่องเที่ยวพัดกลับมาอีกครั้ง ธุรกิจจะสามารถลั่นกลองรบได้ทันที




ที่มา: //www.matichon.co.th/prachachat/prachachat_detail.php?s_tag=02biz06300452&day=2009-04-30§ionid=0214




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 13:40:33 น.
Counter : 1262 Pageviews.  

พระพยอม ตั้งแบงก์คนงาน



พระพยอม ตั้งแบงก์คนงาน !






‘ธนาคารกรรมาชีพ’8แห่งทั่วไทย

“พระพยอม” เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว ผุดโครงการ “พุทธวิถีชุบชีวิตกรรมกรยามวิกฤติ” จัดตั้ง “ธนาคารชนชั้นกรรมาชีพ” เปิดเครือข่ายสาขา 8 แห่งทั่วประเทศ รองรับกลุ่มคนถูกเลิกจ้างและตกงาน ทำงานภาคเกษตรกรรม มีที่พัก อาหาร ค่าน้ำ ไฟ ฟรี! พร้อมให้เบี้ยเลี้ยง 100 บาท/วัน จนกว่าจะลืมตาอ้าปากได้


พระราชธรรมนิเทศ (พระ พยอม กัลยาโณ) เจ้าอาวาสวัด สวนแก้ว เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า มีความกังวลต่อสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจของประเทศ ที่ยังคงอยู่ในภาวะถดถอย ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมหลากประเภทต้องลดต้นทุนดำเนินงาน ทั้งการ ปลดคนงาน เลิกจ้าง หรือแม้แต่ ปิดกิจการลงเป็นจำนวนมาก


โดยกลุ่มคนที่ได้รับผลจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งนี้มากสุด คือ กลุ่มผู้ใช้แรงงาน ในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ สะท้อนจากการคาดการณ์ของหลายฝ่าย ที่ประเมินว่าในรอบปีนี้โรงงานอุตสาหกรรม จะปรับลดคนงาน หรือเลิกจ้างคนงานไม่น้อยกว่า 1 ล้านคน


สถานการณ์ดังกล่าวยังมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากขึ้นตามลำดับ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อปัญหาครอบครัว สังคม และประเทศชาติในที่สุด โดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรม การฉก ชิง วิ่ง ราว ไปจนถึงการปล้นฆ่า เอาทรัพย์สินของผู้อื่นมาเป็นของตน


ด้วยเหตุนี้ ทางมูลนิธิสวนแก้ว จึงได้เปิดตัวโครงการ “พุทธวิถีชุบชีวิตกรรมกรยามวิกฤติ” วัตถุประสงค์เพื่อช่วยเยียวยาและบรรเทาผลกระทบต่อกลุ่มคนข้างต้น ภายใต้การจัดตั้ง “ธนาคารชนชั้นกรรมาชีพ” ขึ้น ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. ศกนี้เป็นต้นไป


การผลักดันโครงการฯ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรม จะเปิดกว้างให้กับกลุ่มคนที่ถูกเลิกจ้าง หรือว่างงาน ให้เข้ามาสมัครเป็นสมาชิก คล้ายกับการเปิดสมุดบัญชีเงินฝากกับธนาคาร ส่วนจะมอบปัจจัยสนับสนุน เพื่อร่วมสมทบโครงการด้วยหรือไม่ก็ได้


“เบื้องต้นอาตมาจะใช้เงินจำนวน 2 ล้านบาท ในการจัดตั้ง ส่วนกลุ่มคนที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการ จะสมทบคนละ 5 บาท 10 บาท หรือไม่เลย ก็ขึ้นอยู่กับศรัทธา”


ทั้งนี้ เงื่อนไขและรายละเอียดของกลุ่มคนที่อยู่ในข่าย จะมีเพียงแค่คุณสมบัติ เป็นผู้ที่มีความประพฤติดี อยู่ในทำนองคลองธรรม และไม่เป็นผู้ติดยาเสพติดเป็นสำคัญ โดยทางวัดสวนแก้ว ซึ่งมีสาขาทั่วประเทศ 8 แห่ง ทั้งที่จังหวัดนนทบุรี บุรีรัมย์ สุราษฎร์ธานี กาญจนบุรี ระยอง กบินทร์บุรี ตาก และจันทบุรี มีที่ดินรวมประมาณ 1,400 ไร่ เหล่านี้ล้วนมีงานรองรับให้กับผู้ที่ถูกเลิกจ้างหรือคนตกงานได้อย่างเพียงพอ ครอบคลุมงานในภาคเกษตรกรรม เช่น ทำไร่ ทำสวน แปรรูป พืชผัก ผลไม้ และอุตสาหกรรมเบา งานก่อสร้าง งานหัตถกรรม หรืองานไม้ เป็นอาทิ ซึ่งงานแทบทั้งหมดไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะฝีมือเท่าใดนัก


ขณะที่วัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ซึ่งมีสถานที่กว้างขวาง หากผู้ใดต้องการมาพำนัก ในระหว่างที่ยังตกงาน จะสามารถรองรับได้ประมาณ 700-800 คน โดยจะไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งที่พัก อาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ฟรี ทั้งยังจะได้รับค่าแรงวันละ 100 บาท/คน ไปจนกว่าจะหางานใหม่ได้


“ทุกคนที่เข้ามาลงทะเบียนไว้ ก็จะถือว่าได้เปิดบัญชีเงินฝากกับธนาคารชนชั้นกรรมาชีพ หาก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า เกิดวิกฤติเศรษฐกิจขึ้นอีก ก็ยังสามารถกลับมาทำงานที่นี่ได้”


ปัจจุบัน วัดสวนแก้วมีคนงานรวมประมาณ 1,500 คน โดยหลวงพ่อพยอม ระบุว่า ยังสามารถรองรับผู้ที่ต้องการงานทำได้อีกเป็นจำนวนมาก เป้าประสงค์หลัก คือ ต้องการช่วยเหลือกลุ่มคนผู้ถูกเลิกจ้างหรือว่างงาน ได้มีงานทำและมีรายได้เลี้ยงตัวและครอบครัวได้บ้าง


แม้โครงการ พุทธวิถีชุบชีวิตกรรมกรยามวิกฤติ อาจถูกสังคมวิพากษ์ถึงเจตนาการก่อเกิด ไม่ต่างจากอีกหลากโครงการที่วัดสวนแก้วได้จัดทำขึ้น โดยเฉพาะการมองว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์นั้น แต่พระพยอมก็ยังยืนยันว่าจะผลักดันให้ธนาคารชนชั้นกรรมาชีพ เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม



ที่มา: //www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413336692




 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 12:25:54 น.
Counter : 711 Pageviews.  

อเมริกาจัดตั้งกองทัพไซเบอร์



อเมริกาจัดตั้งกองทัพไซเบอร์






สำนักข่าวเอเอฟพี ได้นำเสนอข่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า รัฐบาลสหรัฐอเมริกา เตรียมการริเริ่มจัดตั้ง กองบัญชาการทหารไซเบอร์ ขึ้นมา เพื่อปกป้องเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่มีความสำคัญยิ่งของประเทศ


รายงานข่าวดังกล่าวมาจากแหล่งข้อมูลของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงกลาโหม ซึ่งถือเป็นการยกเครื่องในเรื่อง ความมั่นคงในโลกไซเบอร์ หลังจากที่กระทรวงกลาโหมถูกนักแฮกเกอร์โจมตีจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่องซึ่งล่าสุด กระทรวงกลาโหมต้องใช้เงินถึง 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพียงชั่วระยะ 6 เดือนที่ผ่านมา เพื่อซ่อมบำรุงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ถูกเจาะล้วงความลับ


นอกจากนี้ พลเอกจอห์น เดวิส ผู้ช่วยผู้บัญชาการร่วมแห่งกองกำลังผสมทั่วโลกของสหรัฐอเมริกายังได้กล่าวว่า “เนื่องจากระบบของกระทรวงกลาโหมมีเครือข่ายที่ต้องเชื่อมต่อกับโครงข่ายในเชิงพาณิชย์ไว้ด้วย ล่าสุดก็ได้พบหนอนตัวพิเศษบุกทะลวงเข้าไปสู่เครือข่ายทางทหารเรียบร้อย”


ส่วนในรัฐสภาของสหรัฐอเมริกานั้น วุฒิสมาชิกเจย์ รอคกีเฟลเลอร์ แห่งพรรคเดโมแครตจากรัฐเวสต์ เวอร์จิเนีย และ วุฒิสมาชิก โอลิมเปีย สโนว์ แห่งพรรครีพับลิกันจากรัฐเมน ก็ได้นำเสนอร่างพระราชบัญญัติเพื่อให้มีที่ปรึกษาสูงสุดทางด้านความมั่นคงทางไซเบอร์แห่งสหรัฐเมริกาขึ้นมา โดยรายงานตรงต่อท่านประธานาธิบดี ซึ่งที่ปรึกษาสูงสุดนี้จะเป็นผู้นำเจ้าหน้าที่ทุกเรื่องเกี่ยวกับไซเบอร์และสามารถขอความร่วมมือกับหน่วยงานด้านข่าวสารความมั่นคงทุกหน่วยงานของรัฐรวมทั้งหน่วยงานของพลเรือนด้วย


สมาชิกวุฒิสภาทั้งสองยังได้กล่าวว่า “สหรัฐอเมริกาจะต้องมีระบบการป้องกันความลับ และปกป้องเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลทั้งหมดให้ปลอดภัยจากการจารกรรมทั้งปวง”


“นอกจากนี้ภัยที่อาจจะคุกคามต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของภาคเอกชนภายในประเทศซึ่ง ได้แก่ ธนาคาร สาธารณูปโภค เช่น น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ ระบบการควบคุมการจราจรทางอากาศ รถไฟ และรถยนต์ ระบบโทรคมนาคม ซึ่งถ้าหากถูกโจมตี ก็จะทำให้ประเทศเป็นอัมพาตได้”


รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแห่งสหรัฐ นายโฮเบิร์ท เกทส์ ได้เสนอที่จะเพิ่มงบประมาณการ ฝึกอบรมผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์อีกกว่า 3 เท่าตัว


ประธานาธิบดีบารัค โอบามา (Barack Obama) ได้ให้ความสำคัญต่อเรื่องนี้ซึ่งกำลังรอผลสรุปการรายงานเพื่อสั่ง ให้ดำเนินการต่อไป ล่าสุดเจ้าหน้าที่สูงสุดฝ่ายความมั่นคงแห่งไซเบอร์ได้ลาออกเมื่อเดือนที่แล้ว โดยอ้างว่า ระบบการป้องกันภัยทางไซเบอร์ของสหรัฐอเมริกาล้มเหลว เพราะมีหน่วยงานความมั่นคงแห่งชาติซึ่งมีอำนาจสูงกว่าเข้ามาทับซ้อนงานของเขา


โลกไซเบอร์ด้านการทหารและความมั่นคงของประเทศมหาอำนาจเริ่มคึกคักแล้วครับ.


โดย : รองศาสตราจารย์ ดร.บุญมาก ศิริเนาวกุล


ที่มา : //www.dailynews.co.th/web/html/popup_columns/default.aspx?CategoryID=99&NewsType=2







 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2552    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2552 10:47:46 น.
Counter : 695 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.