Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

สิทธิว่างงาน สำหรับผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง ... (((เป็นประโยชน์กับหลายคน)))

สิทธิว่างงาน สำหรับผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง



สิทธิว่างงานสำหรับผู้ประกันตนถูกเลิกจ้าง เพิ่มแล้ว อย่าลืม! รายงานตัวเพิ่มอีก 2 งวด




สำนัก งานประกันสังคม (สปส.) แจ้งผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างตั้งแต่ 1 ธ.ค. 51 – 31 ธ.ค. 52จะได้รับสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจาก 180 วันเป็น 240 วัน อย่าลืม! รายงานตัวเพิ่มอีก 2 งวดด้วย

สำนักงานประกันสังคม (สปส.) เปิดเผยข้อมูลว่า หลังจากที่สำนักงานประกันสังคม ได้เร่งดำเนินการบรรเทาปัญหาการเลิกจ้างตามมาตรการ 3 ลด 3 เพิ่ม ของกระทรวงแรงงาน ขณะนี้สำนักงานประกันสังคมได้ดำเนินการเพื่อเป็นการลดค่าครองชีพให้กับผู้ ประกันตน โดยขยายระยะเวลาการขอรับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน สำหรับผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้าง ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2551 ถึง 31 ธันวาคม 2552 ได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน ในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ซึ่งคำนวณจากฐานเงินสมทบสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท จากเดิมระยะเวลา 180 วัน ขยายระยะเวลาเป็น 240 วัน


ดังนั้น ผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2551 – 31 ธันวาคม 2552 ต้องรายงานตัวเพิ่มจากเดิม 6 งวด เป็น 8 งวด เพื่อเป็นการป้องกันมิให้ผู้ประกันตนเกิดความสับสนว่าจะต้องไปรายงานตัวใน วันใด ขอให้ผู้ประกันตนใช้วันที่นัดรายงานตัวเดิม เป็นหลัก ด้วยกรมการจัดหางานจะใช้วันที่ขึ้นทะเบียนเป็นเกณฑ์ในการนัดรายงานตัวใน เดือนถัดไป เมื่อผู้ประกันตน ขึ้นทะเบียนว่างงาน กรมการจัดหางานจะออกใบนัดรายงานตัวให้แก่ผู้ประกันตนจำนวน 6 งวด หากวันที่นัดรายงานตัวตรงกับวันหยุดราชการ กรมการจัดหางานจะนัดรายงานตัวในวันทำการถัดไป


ทั้งนี้ ขอย้ำ โดยเฉพาะผู้ประกันตนที่ถูกเลิกจ้างในเดือน ธันวาคม 2551 อย่าลืม! รายงานตัวงวดที่ 7 ในเดือนกรกฎาคม 2552 และงวดที่ 8 ในเดือนสิงหาคม 2552 นี้ หากผู้ประกันตน มีข้อสงสัย สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานประกันสังคมเขตพื้นที่ /จังหวัด/สาขาทั่วประเทศ หรือ โทร.1506 ติดต่อเจ้าหน้าที่โดยตรง ให้บริการทุกวันไม่เว้นวันหยุด ตั้งแต่เวลา 07.00 – 19.00 น.หรือติดต่อระบบโทรศัพท์ตอบรับอัตโนมัติให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง หรือดูรายละเอียดได้ที่ //www.sso.go.th



…………………………………………
ศูนย์สารนิเทศ สายด่วน 1506 //www.sso.go.th






 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 16:24:48 น.
Counter : 793 Pageviews.  

รายชื่อวิชาขาดแคลนที่มีสิทธิ์ยื่นกู้ กรอ.

รายชื่อวิชาขาดแคลนที่มีสิทธิ์ยื่นกู้ กรอ.


((( ... น่าสนใจ สำหรับน้อง ๆ นักเรียน นักศึกษา ที่มีความจำเป็น นะครับ)))


-----------------------------------*-*------------------------------------


กยศ. ประกาศ กำหนดสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนสำหรับผู้ขอรับทุนระบุสาขาวิชาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาของประเทศ...


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ได้ประกาศเรื่องกำหนดสาขาวิชาที่เป็นความต้องการหลักและมีความชัดเจนของการผลิตกำลังคนสำหรับผู้ขอรับทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืน โดย ระบุสาขาวิชาที่มีความจำเป็นต่อการพัฒนาของประเทศ ดังนี้ นิสิต นักศึกษา ผู้ขอรับทุนการศึกษาแบบต้องใช้คืนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และประกาศนียบัตรวิชาชีพเทคนิค มีสิทธิขอรับทุนในประเภทวิชา และสาขาวิชา ดังนี้ สาขาวิชาการจัดการโลจิสติกส์, เครื่องประดับอัญมณี, การโรงแรมและบริการ, การจัดการ ธุรกิจท่องเที่ยว, เครื่องกล, เทคนิคการผลิต, เทคนิคโลหะ, ไฟฟ้ากำลัง, ปิโตรเคมี, เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์, และเทคโนโลยีสารสนเทศ


นิสิต นักศึกษา ผู้ขอรับทุนในระดับอนุปริญญาและปริญญาตรี มีสิทธิขอรับทุนในกลุ่มสาขาวิชาและสาขาวิชา ดังนี้ โลจิสติกส์, อุตสาหกรรมบริการ, ธุรกิจอุตสาหกรรม, ธุรกิจการบิน, การออกแบบภายใน, การออกแบบอุตสาหกรรม, การออกแบบเครื่องประดับ, การออกแบบบรรจุภัณฑ์, การออกแบบผลิตภัณฑ์, การออกแบบสิ่งทอ, การออกแบบเซรามิกส์, การออกแบบแฟชั่น และอื่นๆ, วิศวกรรมศาสตร์, เทคโนโลยี, เทคโนโลยีด้านวิศวกรรม, ซอฟต์แวร์และมัลติมีเดีย, เคมีอุตสาหกรรม, จุลชีววิทยาอุตสาหกรรม, ชีวเคมี, เซรามิกส์/เครื่องเคลือบดินเผา, ปิโตรเคมี/พอลิเมอร์/ยาง, วัสดุศาสตร์, อัญมณีและเครื่องประดับ, วิทยาการเดินเรือ, วาริชศาสตร์, สถิติ, รังสีประยุกต์และไอโซโทป, เครื่องหนัง, เทคโนโลยีศิลปอุตสาหกรรม, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางไม้, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสิ่งทอ, ฟิสิกส์, อุตสาหกรรม, นักบินและเทคโนโลยีด้านการบิน, เทคโนโลยีการเกษตร, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอาหาร, อุตสาหกรรมเกษตร และสิ่งทอ, การพยาบาล, เภสัชศาสตร์, อาชีวอนามัยและความปลอดภัย, สหเวชศาสตร์, แพทยศาสตร์, การแพทย์แผนไทย, การแพทย์พื้นบ้าน, ทันตแพทยศาสตร์, สัตวแพทยศาสตร์ ทั้งนี้ให้ยื่นคำขอกู้ที่สถานศึกษาต้นสังกัดได้ตั้งแต่บัดนี้ถึงวันที่ 31 ก.ค.นี้.



ที่มา: //www.thairath.co.th/content/edu/18740




 

Create Date : 11 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 11 กรกฎาคม 2552 14:37:37 น.
Counter : 729 Pageviews.  

การฟื้นตัวที่อาจจะยืดเยื้อของสหรัฐ ...

การฟื้นตัวที่อาจจะยืดเยื้อของสหรัฐ


((( อืมม ... เหมือนฝันร้ายที่กลายเป็นจริง เพราะจนถึงขณะนี้ ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นที่เป็นจริง เป็นจังเลย...)))

------------------------------*-------------------------------


โดย ดร. ศุภวุฒิ สายเชื้อ

ความเห็นส่วนใหญ่คาดหวังว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังถึงจุดต่ำสุดแล้ว โดยคาดว่าจีดีพีสหรัฐในไตรมาส 4 ปีที่แล้วจะหดตัวประมาณ 5-6% และหดตัวอีกเล็กน้อยในครึ่งแรกของปีนี้ ในทำนองเดียวกันเศรษฐกิจยุโรปก็จะเริ่มฟื้นตัวในครึ่งหลังของปีนี้ ทำให้เศรษฐกิจโลกโดยรวมสามารถพลิกฟื้นไปด้วยกัน

แต่นิตยสาร Economist รายงานว่าการประชุมประจำปีของสมาคมเศรษฐศาสตร์อเมริกัน (American Economic Association) ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 3-5 มกราคมนั้นบรรยากาศหดหู่เป็นพิเศษกว่าปีอื่นๆ โดยเฉพาะเมื่อได้รับทราบผลการวิจัยร่วมของ Kenneth Rogoff แห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (และอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ) และ Carmen Reinhart แห่งมหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ ผู้เชี่ยวชาญวิกฤติเศรษฐกิจการเงิน ซึ่งนำข้อมูลวิกฤติสถาบันการเงิน 14 ครั้งในอดีตมาวิเคราะห์ โดยแบ่งเป็นวิกฤติสถาบันการเงินในประเทศตลาดเกิดใหม่ 7 ครั้งและวิกฤติสถาบันการเงินในประเทศพัฒนาแล้วตั้งแต่ปี 1929 ถึง 1990 ทั้งนี้โดยมีข้อสรุปที่น่าสนใจดังนี้

1. วิกฤติสถาบันการเงินนั้นเกิดขึ้นบ่อยครั้งกับประเทศพัฒนาแล้ว ไม่แตกต่างจากประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมักจะเชื่อกันว่ามีระบบควบคุมและจัดการความเสี่ยงที่ด้อยกว่าประเทศพัฒนาแล้ว

2. ความตกต่ำทางเศรษฐกิจซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวิกฤติสถาบันการเงินนั้นมักจะมีความรุนแรงและยืดเยื้อ

3. วิกฤติสถาบันการเงินนั้นจะส่งผลที่รุนแรงต่อราคาหุ้นและราคาบ้านในระดับที่ใกล้เคียงกันในหลายกรณี แต่ผลกระทบต่อรายได้ต่อหัวและต่ออัตราการว่างงานนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละกรณี

4. การตกต่ำของเศรษฐกิจสหรัฐครั้งนี้อาจไม่รุนแรงเมื่อเปรียบเทียบกับกรณีอื่นๆ ที่เคยศึกษามาในอดีต (เพราะได้มีการออกมาตรการมาอย่างมากมาย) แต่ความถดถอยทางเศรษฐกิจอาจยืดเยื้อมากกว่ากรณีอื่นๆ ในอดีต


ผลการวิจัยของนาย Rogoff และนาง Reinhart นั้นพบว่า ผลกระทบที่ตามมาหลังจากวิกฤติสถาบันการเงินนั้นค่อนข้างจะรุนแรงและยืดเยื้อกว่าที่มักจะคิดกัน เช่น ราคาบ้านนั้นปรับตัวลดลงมากถึง 36% จากจุดสูงสุดและใช้เวลานานถึง 5 ปีกว่าจะถึงจุดต่ำสุด ในกรณีของวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐครั้งนี้นั้นราคาบ้านปรับตัวถึงจุดสูงสุดประมาณปลายปี 2006 ดังนั้นกว่าราคาบ้านตกต่ำถึงจุดต่ำสุดจึงอาจต้องรอถึงปี 2011 ในส่วนของราคานั้นได้ปรับลดลงแล้วประมาณ 20% จึงมีโอกาสปรับลดลงอีก 16% หากนำเอาสถิติในอดีตมาใช้คาดการณ์อนาคต

สำหรับตลาดหุ้นนั้นจะปรับตัวลดลงมากกว่า (เฉลี่ยประมาณ 56%) แต่จะใช้เวลาปรับตัวที่เร็วกว่าคือ 3.4 ปี ในกรณีของสหรัฐนั้นตลาดหุ้นวัดจากดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวถึงจุดสูงสุดที่ 1565 จุดเมื่อ ต.ค.2007 ดังนั้นจึงน่าจะถึงจุดต่ำสุดภายในปี 2010 แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการว่างงานที่เพิ่มขึ้นถึง 7.0% และตกต่ำลงอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 4.8 ปีจึงจะเริ่มฟื้นตัว ในกรณีของสหรัฐนั้นก่อนวิกฤติเศรษฐกิจอัตราว่างงานปรับลดลงไปจุดต่ำสุดประมาณ 4% ดังนั้นหากปัญหาของสหรัฐคล้ายคลึงกับปัญหาในอดีตที่นักวิชาการทั้งสองนำเสนอ ก็เป็นไปได้ว่าอัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นไปถึง 11% มิใช่ 7-8% ที่กำลังคาดการณ์กันในขณะนี้ ทีมเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโอบามาประเมินว่าอัตราการว่างงานจะขยับขึ้นไปที่ 8.8% ในปลายปี 2010 แต่เนื่องจากรัฐบาลนายโอบามาจะผลักดันนโยบายการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ (โดยมีรายจ่ายทั้งสิ้น 770,000 ล้านเหรียญ) ซึ่งจะสามารถทำให้อัตราการว่างงานขยับลงเหลือ 7.0% ในช่วงดังกล่าว

ประเด็นที่สำคัญอีก 2 ประเด็นคือ การที่นักวิจัยทั้งสองพบว่าวิกฤติสถาบันการเงินนั้นมีความยืดเยื้ออย่างมาก แม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อเผชิญกับวิกฤติสถาบันการเงินก็จะต้องใช้เวลานานถึง 7 ปี กว่าจะแก้ไขสถานการณ์และกลับสู่สภาวะปกติ ในกรณีของประเทศกำลังพัฒนานั้น ปัญหาอาจยืดเยื้อได้นานถึง 8-10 ปี ในกรณีของประเทศไทยนั้นกว่าธนาคารจะจัดการกับปัญหาหนี้เสีย ควบรวมกิจการและเพิ่มทุนอย่างเพียงพอได้ทั้งระบบ ก็ต้องใช้เวลา 8-9 ปี โดยในระหว่างนั้นเศรษฐกิจโดยรวมก็ต้องเผชิญกับปัญหาที่สถาบันการเงินไม่ขยายสินเชื่อ ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวอย่างเชื่องช้า

ประเด็นที่สองคือผลกระทบที่รุนแรงต่อภาครัฐ เพราะในประเทศที่ต้องเผชิญกับวิกฤติสถาบันการเงินนั้น หนี้ของรัฐบาลปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 86% ทั้งนี้ภาวะส่วนใหญ่มิได้เกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือสถาบันการเงิน แต่เป็นผลมาจากการหดตัวอย่างรุนแรงของรายได้ของภาครัฐ กล่าวคือภาษีลดลงอย่างมากเมื่อเศรษฐกิจเข้าสู่สภาวะถดถอยพร้อมไปกับความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มรายจ่ายของภาครัฐที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดีการเร่งนโยบายการคลังของภาครัฐดังกล่าวข้างต้นก็ยังไม่สามารถบรรเทาปัญหาความตกต่ำทางเศรษฐกิจได้มากนัก

ที่มาของบทความ :: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

ที่มา: //www.iprbthai.org/




 

Create Date : 10 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 10 กรกฎาคม 2552 18:19:50 น.
Counter : 650 Pageviews.  

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก

9 เทคนิครู้ทันจอมโกหก

((( แหะ ๆๆ ... สำหรับ สาว ๆ บางคน อาจจะมีเทคนิคมากกว่านี้นะครับ )))

----------------------------*---------------------------------

ผู้ชายของคุณบางครั้งก็ไม่รู้ตัวว่า ท่าทางหรือกิริยาบางอย่างของเขากำลังเผยพิรุธให้สาวๆจับโกหกได้มากเพียงใด เพราะบางครั้งสาวๆเองก็ไม่ทันได้สังเกต ดังนั้นวันนี้ "ไทยรัฐออนไลน์" มี 9 เทคนิคง่ายๆมาฝากคุณผู้อ่านสำหรับจับสังเกตอาการโกหกของผู้ชายของคุณมาฝาก

ข้อที่ 1 สังเกตที่ขาของเขาดีๆ ยางทีอาจมีความลับอะไรซ่อนอยู่
ดูให้ดีว่า ระหว่างที่คุณกัน หากหนุ่มๆของคุณนำขาไปไขว้ไว้ด้านหลังหรือรอบๆเก้าอี้ที่นั่งอยู่ นั่นแสดงว่าหนุ่มๆของคุณกำลังตั้งใจหรือมีวัตถุประสงค์จะเก็บซ่อนอะไรบางอย่างไว้ โดยเฉพาะความจริง

ข้อที่ 2 การนิ่งเงียบ
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณถามคำถามที่แสนจะธรรมดา หรือถามอะไรตรงๆบางอย่างกับเขา เช่น “เมื่อคืนคุณไปไหนมา” หรือ “คุณกำลังโกหกอะไรฉันอยู่” ถ้าเขาเลือกที่จะเงียบหรือเลือกที่จะทวนคำถามอีกครั้งหนึ่งก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังมีสิ่งผิดปกติบางอย่างเกิดขึ้น

ข้อที่ 3 นิ้วหันแม่มือ หรือนิ้วโป้งจอมทรยศ
ถ้าเขายืนอยู่ในท่าที่เอาฝ่ามือซุกกระเป๋าแล้วหล่ะก็ ให้คุณสังเกตก่อนเลยว่า นิ้วหัวแม่มือของเขาอยู่ด้านในหรือด้านนอกกระเป๋า ถ้าอยู่ด้านใน นั่นแสดงว่าเขากำลังรู้สึกตะหนกกับอะไรบางอย่าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคุณแล้วหล่ะว่าจะตีความว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น

ข้อ 4 เขาไม่สามารถโกหกได้หากต้องลำดับเหตุการณ์แบบย้อนหลัง
ถ้าคุณรู้สึกว่ากำลังเผชิญกับคนที่เล่าเรื่องให้คุณฟังแบบมีท่าทีน่าสงสัย ให้คุณพยายามถามคำถามกดดันเขาเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้นแบบไม่เรียบลำดับเหตุการณ์ หรือสับไปสับมาจากหน้าไปหลัง เพราะสำหรับคนที่พูดโกหกนั้นจะสามารถเล่าเรื่องตามลำดับ a b c d ได้เป็นอย่างดีไม่ติดขัด แต่ถ้าใหโกหกแบบ d c b a คงเป้นไปไม่ได้เลย

ข้อ 5 อาการยักไหล่
ถ้าหนุ่มๆกำลังพูดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ดูหนักแน่น จริงจัง เช่น “ผมอยู่กับเพื่อนของผมเมื่อคืนนี้” พร้อมกับยักไหล่ไม่ว่าจะข้างนึงหรือสองข้าง แล้วมองไปทางอื่น กิริยาท่าทางแบบนี้เป็นการบ่งบอกว่าเขารู้สึกไม่รับรู้หรือให้คำมั่นกับสิ่งที่พูดไป

ข้อ 6 คำว่า “แต่” เกิดขึ้นมากมายระหว่างการสนทนาของเรา
ลองดูประโยคเหล่านี้ “ผมรู้ว่าคุณคงคิดว่าเป็นเรื่องแปลก แต่...” หรือ “คุณต้องไม่เชื่อแน่ว่าจะเกิดสิ่งนี้ แต่...” ขอให้รู้ว่าคำพูดใดๆที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ เป้นการโกหกคำโต

ข้อ 7 ลิ้นไม่สามารถอำพรางคำโกหก
ถ้าคุณถามคำถามบางข้อกับใครบางคน แล้วทันใดนั้นเขาก็ตวัดลิ้น หรือเลียริมฝีปากก่อนตอบ นั่นแสดงว่าเขากำลังพยายามหาทางหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนั้น

ข้อ 8 เขาพยายามจ้องตาคุณมากจนผิดสังเกต
บางครั้งคนโกหกก็มักจงใจที่จะจ้องตาคุณในระหว่างตอบคำถามเพื่อแสดงถึงความจริงใจและความบริสุทธิ์ใจในการตอบคำถาม ดังนั้น คุณต้องพยายามพิสูจน์และหาให้ได้ว่าเขาไม่ได้โกหก

ข้อ 9 การใช้มืออำพราง
ส่วนใหญ่คนที่โกหกมักไม่ต้องการให้คุณตรวจพบความผิดปกติในตัวเขาได้ชัดเจน ดังนั้นเขาจะใช้วิธีเอามือมาปกปิดใบหน้า เช่น จับจมูก ขยี้ตา หรือจับคาง ทั้งนี้เพื่อต้องการบิดเบือนคำพูดที่ออกมาปากของเขา



ข้อมูลจาก //www.yahoo.com


ที่มา: //www.thairath.co.th/content/life/16003




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 8:57:06 น.
Counter : 1193 Pageviews.  

ล้วงความลับของจิ้งจกออกหมดเกลี้ยง ทำแขนขาขาดงอกใหม่

ล้วงความลับของจิ้งจกออกหมดเกลี้ยง ทำแขนขาขาดงอกใหม่

ทำไมหางจิ้งจกงอกได้


จิ้งจกและตัวซาลามานเดอร์ เม็กซิโก อันเป็นสัตว์เลื้อยคลานครึ่งบกครึ่งน้ำคล้ายจิ้งจก อาจจะมีส่วนทำบุญคุณกับวงการแพทย์ ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์พบวิธีให้มนุษย์สามารถทำให้แขนขา ที่ต้องสูญเสียไปกลับงอกขึ้นมาอย่างเดิมได้

นักวิจัยซึ่งพยายามหาเคล็ดลับของมันว่า มันทำให้อวัยวะที่เสียหายหลุดขาดไป กลับงอกคืนดีขึ้นมาได้เหมือนปาฏิหาริย์ได้อย่างใด ได้พบว่าเคล็ดของมันก็คล้ายคลึงกับวิธีการบำบัดรักษาของมนุษย์ และเชื่อว่าสักวันหนึ่งจะสามารถล้วงความลับของมันได้จนหมดเกลี้ยง เอามาใช้กับคนเรา โดยตั้งโปรแกรมให้กับร่างกายเสียใหม่ ให้ซ่อมแซมตัวเอง ให้กลับคืนดีได้ใหม่ เหมือนกับไม่เคยเป็นอะไร

อย่างไรก็ดี สัตว์เหล่านั้นมีวิธีการที่เกือบจะเป็นแบบฉบับของมัน เมื่อหางและขาของมันหลุดขาดไป ตรงแผลจะเกิดบวมปูดขึ้นมาก่อน และจะงอกเป็นตุ่มขึ้นในเวลาต่อมา และภายในชั่วเพียงแค่ 3 อาทิตย์เท่านั้น ต่อมนั้นจะงอกขึ้นเป็นแขนขาใหม่ที่สมบูรณ์ โดยไม่มีแผลเป็นเลย ในชั้นแรก เชื่อกันว่าความสามารถนี้ จะมีเฉพาะกับสัตว์เท่านั้น ไม่อาจจะลอกเลียนเอามาใช้รักษาร่างกายมนุษย์ที่บาดเจ็บได้

แต่นักวิจัยมหาวิทยาลัยฟลอริดา มาได้พบว่า วิธีการของมันก็ไม่ได้วิเศษแตกต่าง อย่างที่เชื่อทีแรก เราสามารถจะเรียนลอกแบบเอามาใช้กับคนได้ นายมัลคอล์ม มาเดน ผู้ทำรายงานกล่าวว่า "ผมคิดว่ามันเหมือนกับแบบวิธีของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากกว่าที่คาด ทำให้เราเกิดความหวังว่า วันหนึ่งจะนำมาใช้ซ่อมแซมเนื้อเยื่อคนเราให้กลับคืนดีได้

รายงานผลการศึกษาในวารสาร "ธรรมชาติ" เปิดเผยว่า นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่า ขบวนการงอกใหม่ของอวัยวะของมัน คล้ายคลึงกับแบบวิธีการรักษาของมนุษย์และสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนม ในแบบที่ซับซ้อนสูงกว่ามาก.



ที่มา: //www.thairath.co.th/content/tech/17989




 

Create Date : 08 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 8 กรกฎาคม 2552 8:48:55 น.
Counter : 9743 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.