Business, Management, Skill, Experiences--แลกเปลี่ยน เรียนรู้ แบ่งปัน ประสบการณ์ บริหาร และอื่น ๆ
Group Blog
 
All blogs
 

ทำไม? อเมริกาถึงล้ม

ทำไม? อเมริกาถึงล้ม?

((( อืมม ... น่าศึกษาเป็นบทเรียนครับ )))


---------------------------*--------------------------------


รายงานโดย :ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย: วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2552



ปี 2552 โลกต้องกลับมาอยู่ในสภาพวิกฤตเศรษฐกิจอีกครั้ง หลังจากเพิ่งผ่านพ้นจากวิกฤตต้มยำกุ้งมาเมื่อปี 2540 โดยวิกฤตครั้งล่าสุดนี้มีจุดเริ่มต้นจากประเทศสหรัฐอเมริกา

ซึ่งถือเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลก ดังนั้นเมื่อมหาอำนาจอย่างสหรัฐต้องตกอยู่ในห้วงมหาวิกฤตครั้งนี้ ย่อมส่งผลให้ประเทศต่างๆ ในโลกต้องประสบกับสภาวะเศรษฐกิจถดถอยไปด้วย

ในหนังสือเรื่อง “The Great Depression สู่วิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ การเคลื่อนตัวของศูนย์เศรษฐกิจโลกจากสหรัฐอเมริกาสู่จีน” เขียนโดย อาจารย์สมภพ มานะรังสรรค์ ศูนย์เศรษฐศาสตร์การเมือง คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้อธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวไว้อย่างชัดเจน

โดยอาจารย์สมภพได้ลำดับเหตุการณ์ไว้เป็น 6 ส่วนด้วยกัน ประกอบด้วย 1.การเลื่อนชั้นในลำดับขั้นของการพัฒนาเศรษฐกิจ 2.ศึกษาประวัติศาสตร์การเงินจากเหตุการณ์เศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression เมื่อปี 2472 3.เหตุการณ์ใหญ่ที่นำไปสู่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ 4.วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่กับความเป็นไปได้ในการกอบกู้ 5.เมื่อวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ลุกลามมาถึงไทยเตรียมรับมืออย่างไร และ 6.โอกาสการเติบใหญ่ของเอเซียตะวันออก ท่ามกลางการถดถอยของตะวันตก

เหตุผลที่ทำให้อาจารย์สมภพเลือกแนวทางในการอธิบายปรากฏการณ์วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ด้วยการเทียบเคียงเหตุการณ์ The Great Depression แทนที่จะอธิบายวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์เพียงอย่างเดียว เพราะต้องการเปรียบให้ถึง “ความเหมือน” และ “ความต่าง” ของแต่ละเหตุการณ์เพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาที่ถูกต้อง

อาจารย์สมภพเทียบเคียงสาเหตุของการเกิด The Great Depression และวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ว่า เหตุการณ์ The Great Depression เริ่มมาจากการเกิดความเฟื่องฟูแบบฟองสบู่หลายประการด้วยกัน คือ การปฏิวัติการขนส่งและเดินทาง การปฏิวัติการสื่อสาร และการปฏิวัติสินค้าอุปโภคบริโภค ซึ่งทั้งหมดให้ความสะดวกสบายแก่ชีวิตประจำวันของผู้คน ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาสินทรัพย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นและอสังหาริมทรัพย์เกิดการขยายเกินตัว ที่ได้ลากให้ราคาสินทรัพย์อื่นๆ ขยายตัวเติบใหญ่เป็นลูกโซ่ด้วย

ในที่สุดตลาดหุ้นเกิดความผันผวนรุนแรง เกิดอาการแตกตื่นและมีการเทขายหุ้นวันเดียวถึง 12 ล้านหุ้น โดยหุ้นจำนวนมากถูกเทขายเหมือนไร้ราคา ผู้ที่ขาดทุนจากตลาดหุ้น ไม่เพียงเกิดขึ้นกับนักลงทุนรายย่อยเท่านั้น หากแต่ผู้มีฐานะดีก็ขาดทุนด้วยเช่นกัน

ขณะที่ปัจจัยที่ทำให้เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ คือ การเปิดเสรีภาคการเงินอย่างมากมายมหาศาลในปี 2542 ยุคที่คลินตันเป็นประธานาธิบดี ผ่านการยกร่างกฎหมายการเงินที่มีชื่อว่า “The Financial Services Modernization Act” ได้ทำให้ภาคการเงินของสหรัฐมีเสรีในการประกอบการมาก และธนาคารก็เป็นธนาคารแบบครอบจักรวาลมากขึ้น คือ สามารถประกอบธุรกรรมทางการเงินหลายๆ อย่างไขว้กันไปมาได้ เช่น สถาบันการเงินอาจทำหน้าที่เป็นธนาคารพาณิชย์ ทำหน้าที่เป็นธนาคารเพื่อการลงทุน และสามารถทำธุรกิจการประกันได้พร้อมกัน

ต่อมาในรัฐบาลของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช ได้มีการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจมหภาคแบบผ่อนคลายสองประสาน เพื่ออัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ภายหลังเกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2544 โดยธนาคารกลางสหรัฐได้ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางเหลือเพียง 1% การปรับลดดอกเบี้ยได้ทำให้สถาบันการเงินเข้ามากู้เงินมากขึ้น จากนั้นสถาบันการเงินเหล่านี้ก็มาปล่อยเงินกู้ในธุรกิจบ้าน เพื่อให้ประชากรของสหรัฐราว 20% ซึ่งเป็นกลุ่มที่ไม่เคยกู้เงินซื้อบ้าน ได้มากู้เงินเพื่อซื้อบ้านได้ หรือที่เรียกว่า “ซับไพรม์”

สถาบันการเงินเหล่านี้ ได้เอาโฉนดที่ดินจากผู้กู้เงินไปหาผลประโยชน์ต่อด้วยการเอาสินทรัพย์ที่เป็นหนี้สินมาแปลงให้เป็นหลักทรัพย์ หลักทรัพย์ตัวนี้เรียกว่า “CDOs” (Collateralized Debt Obligations) เพื่อเอาหลักทรัพย์ตัวนี้ไปขายต่อ ขณะเดียวกันสถาบันที่ออก CDOs นำเอาหลักทรัพย์นี้ไปซื้อประกันจากสถาบันประกันต่างๆ เช่น AIG เพื่อออกกรมธรรม์สำหรับ CDOs เรียกว่า CDS’s (Credit Default Swaps) หมายความว่า ถ้าซับไพรม์รายไหนก่อปัญหา สามารถนำไปเรียกค่าเสียหายจากบริษัทประกันภัยได้

ปรากฏว่า CDS’s ถูกผลิตออกมาขายมหาศาลต้นปี 2551 CDS’s ถูกนำมาขายถึง 62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ มากกว่ามูลค่าของ GDP ทั้งโลก ถึงจุดหนึ่งทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อ ธนาคารทั่วโลกต้องปรับอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ พอปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น อาการเอ็นพีแอล คือ สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของกลุ่มซับไพรม์ก็ปรากฏออกมา ไม่สามารถชำระหนี้ได้ทั่วประเทศ บริษัทประกันภัยไม่สามารถจ่ายเบี้ยประกันภัยได้ สถาบันการเงินที่ออก CDOs และ CDS’s เริ่มล้มหุ้นตกมหาศาล

ภาวการณ์ดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ทั่วโลกเกิดการแยกตัวออกจากสหรัฐและเข้าใกล้จีนมากขึ้น ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพเศรษฐกิจที่โดดเด่นในปัจจุบัน ด้วยจุดแข็งหลายประการที่อาจช่วยกอบกู้วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจได้จริง เช่น เศรษฐกิจจีนยังอยู่ในช่วงวัยรุ่น เพราะเพิ่งเปิดประเทศได้มาประมาณ 30 ปี เพื่อรองรับการลงทุนจากต่างประเทศ

ในปี 2551 จีนได้ลงทุนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานถึง 4.4 ล้านล้านหยวน หรือ 20 กว่าล้านล้านบาท โดยเชื่อว่าถ้ามีสาธารณูปโภคพื้นฐาน ระบบการขนส่งจะพัฒนา และต้นทุนในการขนส่งสินค้าจะลดลง ทำให้เกิดโอกาสในการพัฒนาใหม่ๆ แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งของจีนมากที่สุด คือ เสถียรภาพที่มั่นคงของรัฐบาลจีน ประกอบกับการเป็นประเทศกึ่งสังคมนิยมอยู่ ยังไม่ได้ใช้ระบบทุนนิยมตลาดเสรีอย่างเต็มที่ ยังทำให้มีการเติบโตทางเศรษฐกิจได้อีกมาก ดังนั้น ถ้าจีนยังนำเข้ามาก จีนก็จะช่วยพยุงเศรษฐกิจโลกได้มาก

สุดท้าย อาจารย์สมภพได้เสนอทางออกในการแก้ปัญหาครั้งนี้ว่า รัฐบาลต้องพยายามดูแลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศให้มากที่สุด เพราะเศรษฐกิจไทยเป็นเศรษฐกิจเล็ก การจะหวังให้เศรษฐกิจโตระดับ 45% เป็นเรื่องยากมาก เพราะฉะนั้นรัฐบาลควรดูแลเรื่องความมั่นคงของอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ย ระบบการเงิน และตัวแปรต่างๆ ที่ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจ



ที่มา: //www.posttoday.com/lifestyle.php?id=54026




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2552    
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 12:28:42 น.
Counter : 1046 Pageviews.  

ขอบคุณ...บัฟเฟตต์ 'ผมทำกำไรมาแล้ว600%'

ขอบคุณ...บัฟเฟตต์ 'ผมทำกำไรมาแล้ว600%'


((( มาดูมหาเศรษฐี # 2 ของโลก ........ แล้วเราจะได้ไอเดีย + มุมมองเพิ่มขึ้นอีกเยอะเลย )))


--------------------------------------*------------------------------------


รายงานโดย :ทีมข่าวต่างประเทศ: วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2552

“เมื่อ 6 ปีก่อน ผมทำกำไรกลับเข้าบริษัทมาแล้วถึง 600%


จ้าวตันหยาง ผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ในฮ่องกง “เพียฮาร์ต แอสเซต เมเนจเมนต์ โค” กล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ และนั่นเป็นเหตุผลว่าเพราะอะไรเขาถึงยอมทุ่มเงินประมูลมหาศาลถึง 2.11 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 73.85 ล้านบาท) เพื่อให้ได้เข้าร่วมรับประทานอาหารมื้อกลางวันร่วมกับ วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ เจ้าของกองทุนเบิร์กเชียร์ ฮาธาเวย์ในสหรัฐ มหาเศรษฐีชื่อดังของโลก
บัฟเฟตต์

จ้าว กล่าวว่า ยอมจ่ายเงินมหาศาลครั้งนี้เพราะต้องการแสดง “การขอบคุณ” ต่อ บัฟเฟตต์ หลังจากที่เขาได้รับความรู้จากหนังสือของเศรษฐีนักลงทุนผู้นี้ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อ 10 ปีก่อน ที่เป็นแรงจูงใจให้เขาเปลี่ยนแปลงทัศนคติ และแนวคิดด้านการลงทุนใหม่

“บัฟเฟตต์เป็นครูของผม” เขากล่าวกับ ผู้สื่อข่าวบลูมเบิร์ก

“ผมขอขอบคุณเขาอย่างจริงใจ”

การเข้าร่วมรับประทานอาหารมื้อกลางวันอันแสนแพงกับ บัฟเฟตต์ นี้ได้รับการเนรมิตขึ้นอย่างอลังการ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่ภัตตาคารสเต๊กชื่อดัง “สมิท แอนด์ วอลเลนสกี” ในนครแมนฮัตตัน รัฐนิวยอร์ก สหรัฐ

กว่าที่จะได้เข้าร่วมงานดังกล่าว เมื่อปีที่แล้ว จ้าว ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล หรือกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับเงินประมูลที่สูงที่สุดก่อนหน้านี้ และยังถือเป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดที่ทาง อีเบย์ อิงก์ เคยจัดการประมูลมาโดยเงินรายได้ทั้งหมด ไม่ได้สูญเปล่าไปไหน แต่จะบริจาคให้กับทางมูลนิธิไกล์ด ที่มีภรรยาคนล่าสุดของ บัฟเฟตต์ เป็นอาสาสมัครอยู่ด้วย

“ช่างเป็นอาหารกลางวันมื้อที่ยิ่งใหญ่มาก และผู้คนที่เข้าร่วมงานก็ล้วนแต่เป็นบุคคลมีระดับทั้งสิ้น” วอร์เรนต์ บัฟเฟตต์ กล่าวขณะที่ก้าวพ้นออกจากประตูร้านสเต๊กชื่อดัง หลังจากที่ใช้เวลารับประทานอาหารนานกว่า 3 ชั่วโมง โดยไม่ยอมปริปากบอกถึงหัวข้อการสนทนาในครั้งนี้แม้แต่น้อย

“นั่นเป็นสิ่งที่พวกเขายอมจ่ายเงินถึง 2.1 ล้านเหรียญสหรัฐ และผมก็ไม่สามารถให้คุณได้ฟรีๆ”

ในขณะที่ จ้าว พร้อมด้วยภรรยา ลูกชาย และเพื่อนนักธุรกิจได้เข้าร่วมรับประทานอาหารกับบัฟเฟตต์ เขายังกล่าวด้วยว่า ประสบการณ์อันมีค่าที่สุดครั้งนี้ไม่สามารถวัดได้ด้วย “เม็ดเงิน”

เขาเล่าว่า คำแนะนำของบัฟเฟตต์ครั้งนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิต และมันยังทำให้เขากลายเป็นนักลงทุนที่มีความเชื่อมั่น และที่สำคัญเป็นความเชื่อมั่นที่มีเหตุมีผลมากขึ้น

แม้ว่ากลุ่มผู้ชนะการประมูลที่ตั้งตารอคอยมานานถึง 1 ปี ก่อนที่จะได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในมื้ออาหารกลางวันสุดหรูจะผ่านพ้นไปแล้ว

และสำหรับในปีนี้การประมูลเพื่อเข้าร่วมรับประทานอาหารกับ บัฟเฟตต์ ยังคงดำเนินต่อไป โดยช่วงการประมูลครั้งล่าสุดมียอดเงินประมูลเข้ามาสูงสุดแล้วที่ 1.35 แสนเหรียญสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม มูลค่าการประมูลดังกล่าวยังไม่ถือว่าสูงที่สุด เนื่องจากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บรรดาผู้ประมูลจะคอยจังหวะจนกว่าจะถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนที่จะผลักราคาประมูลให้สูงขึ้นไปอีก

ทั้งนี้ บัฟเฟตต์ ถือเป็นมหาเศรษฐีที่มีความมั่งคั่งของทรัพย์สินมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ครั้งล่าสุดรองจาก บิล เกตส์ และจากความฉลาดหลักแหลมในการลงทุนด้านต่างๆ ได้ทำให้ บัฟเฟตต์ ได้รับฉายาว่าเป็น “ปราชญ์แห่งโอบาฮา”

ขณะเดียวกันทางด้าน โมห์นิช พาไบร์ และ กาย สเปียร์ ซึ่งเป็นผู้ชนะการประมูลเมื่อปีก่อนหน้าในปี 2007 ก็เปิดเผยว่า ทั้งคู่สามารถรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการ รับประทานอาหารกลางวันกับ บัฟเฟตต์ ถึง 54 หัวข้อ ในช่วงเวลา 3 ชั่วโมง

ในครั้งนั้น พาไบร์ และ สเปียร์ ชนะการประมูลไปได้ด้วยเงิน 6.5 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 22.7 ล้านบาท)

“ผมได้รับสิ่งที่เป็นมูลค่ามากกว่าตัวเงินที่ผมจ่ายไป” พาไบร์ บอก พร้อมกับเสริมด้วยว่า เงินไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป

การประมูลผ่านเว็บไซต์อีเบย์ ไม่ได้เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมในงานเลี้ยงอาหารมื้อกลางวันสุดอิ่มความรู้นี้

การบริจาคเงินให้กับทางมูลนิธิไกล์ด ซึ่งเป็นศูนย์ฝึกงานไปจนถึงศูนย์การแพทย์และสถานพักรักษาตัวของผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ก็ยังเป็นอีกหนทางหนึ่งที่สามารถเข้าร่วมงานเลี้ยงสุดหรูนี้ได้เช่นกัน

อลัน สติลแมน เจ้าของร้านสเต๊ก สมิท แอนด์ วอลเลนสกี คือผู้หนึ่งที่ได้รับเกียรติให้เข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ ด้วยการบริจาคเงินถึง 1 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนบาท) เพื่อขอให้ได้สิทธิในการเป็นเจ้าภาพจัดงานเลี้ยงในครั้งนี้

สติลแมน บอกว่า เขาได้เข้าร่วมงานเลี้ยงสมดังที่ตั้งใจไว้แล้ว หลังจากที่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ต้องประสบความล้มเหลวจากการประมูลงานเลี้ยงอาหารกลางวัน

ทั้งอิ่มอาหาร ทั้งอิ่มความรู้ แถมได้เจอหน้าตัวเป็นๆ ของ บัฟเฟตต์ กี่ร้อยล้านก็ไม่เสียดาย!



ที่มา: //www.posttoday.com/stockmarket.php?id=54297




 

Create Date : 27 มิถุนายน 2552    
Last Update : 27 มิถุนายน 2552 12:21:29 น.
Counter : 672 Pageviews.  

ของคู่ใจนักชอป ยุคถดถอย


ของคู่ใจนักชอป ยุคถดถอย




โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

-----------------------------------------------------------------------------

((( เป็นข้อคิดที่ดีสำหรับนักธุรกิจ และรวมถึงคนอย่างเรา ๆ นะครับ )))

-----------------------------------------------------------------------------

ในช่วงที่ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลายคนคงวาดภาพบรรยากาศซบเซา ของบรรดาร้านรวงต่างๆ

แต่ในความเงียบเหงานี้ ยังมีสินค้าขายดีหลายชนิด และหมดเกลี้ยงภายในเวลาอันรวดเร็ว

สินค้าขายดีในภาวะเศรษฐกิจถดถอย

แม้เศรษฐกิจสหรัฐกำลังตกอยู่ในภาวะถดถอย แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้มืดมนไปหมดเสียทีเดียว เพราะผู้คนยังต้องกินต้องใช้กันอยู่ และในบรรดาสินค้าที่ยังขายได้ในช่วงเศรษฐกิจตกสะเก็ด คือชอคโกแลต และรองเท้าสำหรับวิ่ง ที่มียอดขายเพิ่มขึ้น แถมผู้ชื่นชอบไวน์ก็ยังไม่หยุดดื่ม แต่ดูเหมือนเลือกยี่ห้อที่ราคาย่อมเยาลงมาหน่อย

สินค้าติดอันดับขายดียังรวมถึงเมล็ดพันธุ์พืชต่างๆ ที่คนพากันซื้อไปทำสวน และผลิตภัณฑ์ทาสีผิวให้เป็นสีแทน ซึ่งอาจเป็นเพราะคนอเมริกันพบว่าการใช้โลชันทาผิวให้เป็นสีแทน น่าจะประหยัดกว่าการนั่งรถไปอาบแดดชายหาด

รายชื่อสินค้าขายดีดังกล่าวสะท้อนว่า แม้ผู้บริโภคพากันลดงบการใช้จ่ายในครัวเรือน และชะลอการซื้อรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ และสินค้าชิ้นใหญ่อื่นๆ แต่ก็พร้อมจะควักกระเป๋าซื้อของชิ้นเล็กๆ และสินค้าที่ทำให้ชีวิตในบ้านสะดวกสบายมากขึ้น เพราะในยุคเศรษฐกิจตกสะเก็ดนั้น ผู้คนดูเหมือนอยู่ติดบ้านมากขึ้น

นอกจากนั้น นักชอปยุคถดถอยยังซื้อหาสิ่งของที่ทำให้พวกเขารู้สึกปลอดภัย ทั้งในแง่ของส่วนตัวและทางการเงิน

"การให้ความสำคัญกับครอบครัว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในแทบทุกครั้งที่เศรษฐกิจถดถอย เพราะทุกคนจะคิดเหมือนๆ กันว่า จะหาความสุขที่บ้านได้อย่างไร ผู้คนจึงพากันหันไปให้ความสนใจกับบ้านและความสุขใกล้ตัว รวมถึงซื้อสิ่งของที่สามารถนำมาใช้ได้เอง อย่างเมล็ดพืช อุปกรณ์ตกปลา ขณะที่ลิปสติกกับชอคโกแลตก็เป็นรางวัลเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้คนซื้อรู้สึกดีขึ้น" เปโก อันเดอร์ฮิลล์ แห่งบริษัทเอนไรโรเซลล์ ที่ติดตามพฤติกรรมนักชอปและคนขายทั่วสหรัฐและประเทศอื่นๆ ระบุ

นั่นน่าจะเป็นสาเหตุให้กำไรของบริษัทเฮอร์ชีย์ ผู้ผลิตชอคโกแลตรายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐ พุ่งขึ้น 20% ในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ เรียกว่าเหนือความคาดหมายของบรรดานักวิเคราะห์

นอกจากนั้น ภาวะถดถอยยังดูเหมือนดีสำหรับความรักด้วย เพราะยอดขายถุงยางช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีที่แล้ว เพิ่มขึ้น 5% ขณะที่เวบไซต์หาคู่อย่าง Match.com รายงานว่ามีคนเข้าไปใช้บริการมากที่สุดในรอบ 7 ปี

อย่างไรก็ตาม ปัญหาเศรษฐกิจก็มีผลต่อสุขภาพพอๆ กับกระเป๋าของผู้คนที่แฟบลงเหมือนกัน โดยบริษัทวิจัยตลาด อินฟอร์เมชัน รีซอร์สเซส รายงานว่ายอดขายยาบางประเภทเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจที่ซบเซาก็ทำให้นักชอปมองหาของถูกจนทำให้ยอดขายตามร้านอย่างวอล-มาร์ท สโตร์ส เข้าไปติดอันดับ 500 บริษัทที่มียอดขายดีจากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์จูนเป็นครั้งแรก

พึ่งตนเอง ในยามยาก

ลีโอ เจ ชาปิโร แอนด์ แอสโซซิเอตส์ บริษัทที่ปรึกษาในชิคาโก รายงานแนวโน้มทั่วไปเกี่ยวกับการค้าที่ลดลง ซึ่งหมายความว่าคนหันไปทานข้าวที่บ้านมากกว่าตามร้านอาหาร ซื้อรถมือสอง และซื้ออะไหล่ไปซ่อมรถเอง ทั้งยังหมายถึงการซื้อเสื้อผ้าแพงๆ ที่ลดลง เห็นได้จากยอดขายของร้านค้าปลีกหรูหรา แซกส์ อิงค์ ที่ลดลง 32% เมื่อเดือนเม.ย. ขณะที่ยอดขายตามร้านกูดวิลล์ อินดัสตรีส์ อินเตอร์เนชันแนลในสหรัฐและแคนาดา พุ่งขึ้น 7% เมื่อเดือนมี.ค.

ผู้บริโภคยังไม่นิยมดื่มเบียร์หรือไวน์ตามบาร์และร้านอาหารมากเหมือนเมื่อก่อน แต่ยังไม่หยุดดื่มเสียทีเดียว สถาบันไวน์ระบุว่ายอดขายไวน์แคลิฟอร์เนียในสหรัฐมีจำนวน 467 ล้านแกลลอนเมื่อปีที่แล้ว หรือมากกว่าปีก่อน 2% ขณะเดียวกัน คนก็มองหาไวน์ที่มีราคาถูกลง

ทอม ดอยล์ แห่งสมาคมสินค้ากีฬาแห่งชาติ มองว่าคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยการวิ่ง ยอมควักกระเป๋าเพื่อซื้อรองเท้าวิ่งดีๆ ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 2% เมื่อปีที่แล้ว

"นักวิ่งไม่ยอมทำร้ายตัวเองหรือเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงเพื่อประหยัดเงินไม่กี่ดอลลาร์" ดอยล์ว่า นี่อาจเป็นเหตุผลเดียวกันที่ทำให้ยอดขายหมวกกันน็อคสำหรับคนขี่จักรยาน เพิ่มขึ้น เพราะผู้ปกครองยังยอมควักกระเป๋าเพื่อปกป้องลูกๆ

วิกฤตการเงินทำให้คนแห่กันเก็บเงินไว้ที่บ้านเช่นกัน และพลอยทำให้ยอดขายตู้เซฟเพิ่มขึ้น อีกทั้งนักลงทุนรายใหญ่และเล็กยังแห่ไปลงทุนซื้อทอง เพราะเห็นว่าเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย บริษัทซันชายน์มินติงในรัฐไอดาโฮ ซึ่งจัดหาทองให้โรงกษาปน์สหรัฐ บอกว่าต้องเพิ่มคนงาน 2 เท่าเมื่อปีที่แล้ว เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น 2 เท่า แล้วก็เพิ่มเป็น 3 เท่าในเวลาต่อมา

'ปืน' เป็นอีกสินค้าหนึ่งที่ขายดี โดยยอดขายปืนโดยรวมของสมิธแอนด์เวสสันเพิ่มขึ้น 27.5% ในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 31 ม.ค. ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปสนใจล่าสัตว์มากขึ้นเพราะยอดขายปืนล่าสัตว์ลดลง 46% แต่ยอดขายปืนขยับขึ้นเพราะความวิตกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันจะเข้มงวดกฏหมายครอบครองอาวุธปืน นอกจากนั้น ผู้คนยังรู้สึกกลัวมากขึ้นและมีความสนใจมากขึ้นในการพึ่งพาตัวเองยามที่ต้องฟันฝ่าภาวะถดถอย

"ผมคิดว่าคนอเมริกันจำนวนมากเกิดความกลัวขึ้นมา ประมาณว่าพวกเขาจะรู้สึกอุ่นใจถ้าซื้อกระดาษชำระตุนไว้ใช้ได้ปีนึง" อันเดอร์ฮิลล์พยายามอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น

นอกจากนั้น ยังดูเหมือนคนอเมริกันจำนวนมากเริ่มลงมือสร้างหลักประกันเล็กๆ ให้ตัวเอง เห็นได้จากจำนวนแปลงพืชผักสวนครัวตามบ้านที่คาดว่าจะพุ่งขึ้นกว่า 40% ปีนี้ เทียบกับเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ขณะที่ยอดขายเมล็ดพันธุ์ผักอย่างถั่วเขียว มะเขือเทศ แตงกวา และหัวหอม เพิ่มขึ้น 30% ที่ร้านดับบลิว ดัตลี เบอร์พี เมื่อเดือนมี.ค. จนทางร้อนปิ๊งไอเดียจัดคอร์สสอนพื้นฐานการปลูกพืชผักสวนครัวแก่นักทำสวนมือใหม่

สิ่งที่หลายคนอาจคิดไม่ถึงคือ ในช่วงที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะงักงันผลจากภาวะถดถอย พลอยทำให้คนกัดฟันตามไปด้วย และอาจหมายถึงการต้องไปพบหมอฟันมากขึ้นด้วย แม้ไม่มีสถิติที่ชัดเจนในเรื่องนี้ แต่ทันตแพทย์อย่าง ดร.แมทธิว เมสสินาแห่งเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโฮ ต้องให้คำปรึกษามากขึ้นเรื่องฟัน

"ร่างกายของคนตอบสนองในแบบเดียวกับเมื่อเจอภัย อย่างตอนหัวขโมยย่องเข้ามาในบ้าน ก็ทำให้เกิดความรู้สึกเครียดขึ้นมาทันทีว่าจะต้องสูญเสียบ้านไป" คุณหมออธิบายปรากฏการณ์

ที่แน่ๆ คือภาวะถดถอยครั้งรุนแรงของสหรัฐ ทำให้หลายคนใช้เวลาวันหยุดไปกับการหาความเพลิดเพลินจากการชมภาพยนตร์ แทนการไปท่องเที่ยวสถานที่ไกลๆ ซึ่งต้องมีค่าใช้จ่ายตามมามากมาย โดยนักชมภาพยนตร์ในสหรัฐช่วยทำให้ภาพยนตร์โกยรายได้ไปมากโข อย่างเรื่อง Up ที่ทำรายได้กว่า 150 ล้านดอลลาร์หลังจากลงโรงเพียง 10 วัน นับว่าทำเงินแซงหน้าภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องก่อนๆ ของ Pixar อย่าง Cars และ Finding Nemo

"ในภาวะถดถอย ครอบครัวมองหากิจกรรมนอกบ้าน และหนังที่ดูกันได้ทั้งครอบครัวก็เปิดโอกาสให้พ่อ แม่ ลูกที่อยู่ในวัยรุ่น และวัยเด็ก สามารถเพลิดเพลินร่วมกันได้" พอล เดอร์การาเบเดียน แห่งฮอลลีวูดดอทคอม บอกซ์ออฟฟิซ ระบุ

แบบนี้เขาเรียกว่า ในช่วงเวลาที่เลวร้าย ก็ยังมีเรื่องดีๆ อยู่นะ

หมายเหตุ : เรียบเรียงจากสำนักข่าวเอพี



ที่มา: //www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/hi-life/20090617/51598/ของคู่ใจนักชอป-ยุคถดถอย.html




 

Create Date : 17 มิถุนายน 2552    
Last Update : 17 มิถุนายน 2552 9:17:41 น.
Counter : 789 Pageviews.  

CEO LPN ชี้ปรับวิธีคิด ธุรกิจ-ชีวิต พลิกได้โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

CEO LPN ชี้ปรับวิธีคิด ธุรกิจ-ชีวิต พลิกได้โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


(((วันนี้มาอ่านแนวคิดของ CEO ทางฝั่ง LPN ดีกว่า ... เผื่อจะได้ ไอเดียในการดำเนินชีวิตครับ )))


--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


ห่างหายจากการพบปะสื่อมวลชนมายาวนานกว่า 2 ปี ครั้งนี้ ทิฆัมพร เปล่งศรีสุข ทำเซอร์ไพรส์กับลุคใหม่ที่เรียบง่าย และบริบทความคิดใหม่ที่สวยงาม

Simplicity is Beautiful ความเรียบง่ายที่เกิดขึ้นภายหลัง บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ แอลพีเอ็นคลุกฝุ่นเศรษฐกิจจากวิกฤติค่าเงินบาทปี 2540 อาการเข้าขั้นสาหัส จากตัวเลขเงินกู้สกุลต่างประเทศก้อนโต และสินค้าขายมากมายในมือ

"มันเป็นอาการล้มทั้งยืน" ทิฆัมพร ย้อนถึงช่วงเวลาที่ยากลำบากในเส้นทางสายธุรกิจที่ แอล.พี.เอ็น. เจอะเจอ แต่สุดท้ายก็ผ่านมันมาได้ เพียงเพราะรู้จักเรียนรู้กับสิ่งที่เข้ามา ปรับวิธีคิดเสียใหม่ และไม่ย้อนกลับไปทำในสิ่งที่นำมาสู่ความผิดพลาดหรือความเสี่ยงนั้นๆ อีกแล้ว

ตลอดระยะเวลาสนทนาชั่วโมงเศษ สะท้อนมุมมองแนวคิดของนักปั้น (แอล.พี.เอ็น.) ในช่วงวัย 40 ปีเต็มพร้อมๆ กับคุมเกมในตำแหน่งนักปฏิบัติ (กรรมการผู้จัดการ) มายาวนานกระทั่งเจอคลื่นก้อนโตจากวิกฤติปี 2540 ก่อนจะวางมือให้ Sucessor Teram เข้าบริหารเต็มตัวตั้งแต่ปี 2549

ต้องรู้จักตัวเอง ทำเฉพาะที่ตัวเองถนัดและชำนาญ ที่สำคัญต้องไม่เกินกำลังตัวเอง

บทสรุปการเรียนรู้ที่ได้จากจุดที่ เขาเรียกว่า แทบจะล้มทั้งยืน ที่สำคัญ เป็นการล้มที่ไม่มีอะไรมารองรับ อันเนื่องจากความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งนำไปสู่ความประมาทในที่สุด

"ย้อนไปมองแล้ว วันนั้นแอล.พี.เอ็น.ก็เหมือนกับดีเวลอปเปอร์ทั่วไป เห็นคนอื่นทำได้ เราก็ต้องทำได้ การทำโครงการหลากหลาย และในนั้นมีตลาดที่ไร้ซึ่งความชำนาญ

เหนือกว่านั้น ประเด็นที่ทำให้เจ็บหนักคือ การกู้เงินจากต่างประเทศ ด้วยเหตุที่หลายๆ คนในวงการมักบอกว่า ถ้ากู้ได้จะแสดงถึงเครดิตทางธุรกิจ"

นั่นเป็นปัจจัยที่นำ แอล.พี.เอ็น.ไปสู่เส้นทางวิกฤติ

ทางแก้ ณ ขณะนั้น ทุกช่องทางสร้างกระแสเงินสดเป็นโจทย์ใหญ่ของธุรกิจ คอนโดมิเนียมราคาแพงถูกหั่นราคาเหลือหลัก 6-7 แสน เพื่อเรียกเงินสดเข้ามา พร้อมๆ กับ ปรับเปลี่ยน (Change) กระบวนการภายใน โครงสร้างการบริหาร ซึ่งเป็นการนำ แอล.พี.เอ็น.เข้าสู่มาดใหม่อย่างวันนี้

การเข้าใจตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ก่อนวิกฤติปี 2540 แอล.พี.เอ็น.เดินเกมในลักษณะคิดจะทำอะไรก็ทำเลย เพราะมั่นใจว่าคนอื่นทำได้ตัวเองก็ทำได้แม้ไม่ใช่แนวถนัด

แต่วันนี้ แอล.พี.เอ็น.ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว และจะไม่มีวันกลับไปเหมือนเดิม เพราะไม่ว่าจะ (โครงการ) เล็กหรือใหญ่ ก่อนตัดสินใจทำอะไรทุกครั้ง ต้องวางแผนล่วงหน้า พร้อมเตรียมแผนรองรับความเสี่ยง (Risk Management) ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเอาไว้ด้วย

การตัดสินใจว่านี้ ต้องเริ่มไปทีละแผนทีละสเต็ป แผนหนึ่งผ่าน จึงเริ่มนับสอง ต่อไปสาม และสี่ เพื่อว่าแต่ละจังหวะก้าวจะไม่มีความเสี่ยง หรือหากมีก็ดำเนินการแก้ไขไปทีละส่วน แตกต่างอย่างลิบลับจากอดีตที่ลุยเปิดทีละหลาย ๆ โครงการ

แนวทางพัฒนาที่พกพา Risk เข้าไปเป็นหนึ่งเดียวในแต่ละย่างก้าวนี้ ทิฆัมพร ไม่ได้จำกัดความเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยสูงระฟ้าแนวถนัดสไตล์ แอล.พี.เอ็น.เท่านั้น แต่หมายรวมถึง การใช้ชีวิตส่วนตัวด้วย

"ต้องย้อนดูตัวเองตลอด ไม่คิดที่จะก้าวแบบคนอื่น เพราะแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขาเขาอาจยาวกว่า ก้าวยาวกว่า ส่วนเราขาสั้นจะให้ก้าวเหมือนเขา ทำได้ แต่มีโอกาสขาฉีกแน่นอน

ส่วนตัวผมก็เหมือนกัน ถ้ามีคนท้าวิ่ง ผมอายุ 60 คงวิ่งไม่ไหว แต่จะขอเดิน และถ้ามาเดินแข่งกัน ผมบอกได้เลยว่าเดินทนกว่า" ทิฆัมพร สะท้อนวิธีคิดที่ขอเป็นตัวเอง และเลือกที่จะทำสิ่งถนัด

การเปิดตลาดในแบบ Blue Ocean ที่ แอล.พี.เอ็น.ทำอยู่ แถมการันตีได้ด้วยว่า "ฮอต" จากยอดจองกว่าพันคนที่ไหลเข้ามาจองห้องพักขนาด 25 ตารางเมตร ราคาขาย 6-7 แสนบาทในโครงการรามอินทรา-นวมินทร์ ที่เพิ่งปิดจองเฟสแรก ตอกย้ำความมั่นใจได้ว่า "มาถูกทาง" แม้ในสถานการณ์เศรษฐกิจที่ไม่ปกตินัก

"ในทะเลมีปลาให้จับเยอะแยะ แต่ต้องเลือกลงอวนให้ถูกที่ และเลือกไซส์ของอวนให้เหมาะกับไซส์ของปลาด้วย ถ้าเอาไซส์เล็กไปจับก็ได้แต่ปลาเล็ก ถ้าไซส์ใหญ่ก็อาจได้เฉพาะปลาบางตัว"

เขาพิสูจน์แล้วว่า วิธีจับปลาของ แอล.พี.เอ็น.ลงถูกจุด และเลือกจับ (ปลา) ได้ตามขนาดที่ต้องการ

ตลาดระดับ C+ ถึง B เป็นหัวใจของการทำงาน โดยเฉพาะในช่วงเวลาวิกฤติเศรษฐกิจ กำลังซื้อพลิกผัน "ราคาต่ำ คุณภาพเหมาะสม" และทำเลเด่น เท่านั้นที่โดนใจ

"เมื่อก่อนลูกน้องบอกต้องขาย 500 ห้อง รู้สึกกังวล แต่วันนี้พันห้องกลับไม่พอขาย นี่คือการพัฒนาและสร้างความมั่นใจในการทำงาน ทั้งกับทีมงาน และตลาด"

วันนี้เป็นคนละเรื่องกับอดีต สำคัญคือแอลพีเอ็นไม่ใช่รูปแบบเดิมที่เกือบ (มัน) เจ๊งเมื่อรอบที่แล้ว วันนี้เราแข็งแกร่งด้านการเงิน แข็งแกร่งด้านวิธีคิด วิธีทำงาน และวิธีการนำเสนอสินค้าชื่อลุมพินี

"แอล.พี.เอ็น.คงไม่มีวันนี้หากไม่มีทีมงานที่มีคุณภาพ และทำงานใต้วัฒนธรรมองค์กรที่มีส่วนร่วมและคิดเป็นหนึ่งเดียว การให้บริการ การมีคุณธรรม พร้อมกับมีพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม"

นี่เป็นวัฒนธรรมการทำงานที่ ทิฆัมพร สร้างขึ้น นับจากวิกฤติปี 2540 โดยผลัดให้ Success Team นำโดย โอภาส ศรีพยัคฆ์ เข้าบริหารเต็มตัวในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการตั้งแต่ 2549 ซึ่งถึงวันนี้ระยะทาง 4 ปีที่ ทิฆัมพร ขอรั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ตำแหน่งอย่างเป็นทางการ) แต่สำหรับองค์กรนี้แล้วเขาเปรียบเป็น Coach หรือเรียกว่า ครูใหญ่ก็ไม่ผิดนัก

"4 ปีมานี้ ผมทำเฉพาะครึ่งวันเช้า แค่ 3 วันต่อสัปดาห์ เท่านั้น และส่วนใหญ่เป็นการมอนิเตอร์แผนงานที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี และโค้ช ทีมให้เกิดการเรียนรู้ในประสบการณ์ต่างๆ ที่ผมมี อาจส่งสัญญาณบ้าง บางจุดต้องใจเย็นนิดหนึ่ง ว่าช่วงนี้ สีเขียว สีแดง เพื่อให้แก้ไขเรื่องต่างๆ ได้ทัน แต่หลายๆ อย่างเป็นไปตามบริหารจัดการของทีมเขาแล้ว เพียงแต่ช่วงนี้เข้าออฟฟิศบ่อยขึ้น เพราะก้าวเข้าปีที่ต้องระมัดระวัง ซึ่งก็ทำได้ดี กับการปรับวิธีการทำงาน และวิธีคิดมาตั้งแต่กลางปี 2551 ทำให้ปีนี้เราเริ่มสบายขึ้น"

ตลอดเส้นทางชีวิต 60 ปีมานี้ ทิฆัมพร เล่าอย่างอารมณ์ดีว่า "ผ่านมาแล้วทุกอย่าง" และมองว่าชีวิตนี้คุ้มค่ากับหลายประสบการณ์ที่ผ่านเข้ามาให้เรียนรู้

นอกจากคำบอกเล่าแล้ว ภาพถ่ายที่เรียงรายบนโต๊ะเป็นหนึ่งการยืนยันถึงหลายเหตุการณ์นักพัฒนาคอนโดรุ่นเก๋าได้เป็นอย่างดี

ทิฆัมพร อธิบายภาพภาพถ่ายขณะเฝ้าโป๊ปพร้อมกับน้อมรับพร ที่ถ่ายไว้เมื่อปี 2544 ซึ่งถือเป็นภาพรอยต่อสำคัญที่บอกได้ว่า แอล.พี.เอ็น. ผ่านพ้นวิกฤติ หลังจากนั้นไม่นาน ปลายปี 2545 เป็นช่วงเวลาที่องค์กรนี้ก้าวพ้นวิกฤติ 100%

ถัดมาเป็นภาพถ่ายพร้อมกับทีมงานคู่ใจเมื่อครั้งไปเยือนอิตาลี ในปี 2551 หลังมั่นใจว่าได้พา แอล.พี.เอ็น. หลุดพ้นวิกฤติไปเป็นที่เรียบร้อย

"ดูภาพแล้ว รู้สึกชีวิตนี้มีค่า มีสีสัน และใช้ชีวิตคุ้มกับการที่เราเข้ามาเรียนรู้ชีวิตตรงนี้"

การเรียนรู้ตลอดเส้นทางชีวิต 60 ปีของ ทิฆัมพร ถอดรหัสง่าย ๆ ว่า
20 ปีแรกเป็นช่วงเวลาที่ ถูกสอน (การเรียน)
20 ปีต่อมา ว่าด้วยการสั่งสมประสบการณ์จากการทำงาน และเผชิญกับโลกธุรกิจ รวมถึงเป็นช่วงเวลานับหนึ่ง แอล.พี.เอ็น. 20 ปี สเต็ปที่สามนี้ เป็นการนำประสบการณ์ที่สั่งสมมาทำให้เป็น แอล.พี.เอ็น. อย่างวันนี้

"วันนี้ แอล.พี.เอ็น. อยู่ใน Comfort Zone ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะความมั่นคงภายในองค์กร ทีมงานแข็งแกร่ง มีทิศทางที่ชัดเจนของตัวเอง มีความชำนาญในสิ่งที่ทำ มีการเงินที่มั่นคง และมีพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม"

ทิฆัมพร ย้ำว่า แอล.พี.เอ็น. ยังเดินหน้าในตำแหน่งผู้นำ และชำนาญในการพัฒนาคอนโดมิเนียม โดยที่เตรียมพร้อมกับทุกเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เพราะแม้จะสบายใจแล้วระดับหนึ่งใน Comfort Zone ที่ยืน แต่ยังเชื่อว่า ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ให้ท้าทาย โดยต้องขยับ-ปรับ องค์กร และทีมงานตลอดเวลาเพื่อให้ทันกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

"ถ้าต้องล้มอีก เราต้องรู้วิธีล้ม อาจเจ็บบ้างก็แค่แขนหัก เพราะเราเรียนรู้วิธีรับมือ คงไม่ใช่ล้มแบบหงายท้องเหมือนก่อนอีกแล้ว"



ที่มา: //www.bangkokbiznews.com/home/detail/property/property/20090615/50954/CEO-LPN-ชี้ปรับวิธีคิด-ธุรกิจ-ชีวิต-พลิกได้.html





 

Create Date : 15 มิถุนายน 2552    
Last Update : 15 มิถุนายน 2552 14:03:25 น.
Counter : 787 Pageviews.  

เศรษฐกิจแย่ แต่คน"หย่า"กันน้อยลง!!!

เศรษฐกิจแย่ แต่คน"หย่า"กันน้อยลง!!!


((( เออ...... คือว่า ........ No Comment เพราะพูดไม่ออกครับ )))

--------------------------------------------------------------------------



คอลัมน์ สรรหามาเล่า

โดย raikorn@hotmail.com





ใครที่คิดว่าช่วงเศรษฐกิจย่ำแย่แบบนี้ คงทำให้หลายครอบครัวเริ่มมีปากเสียงทะเลาะกันไม่เว้นแต่ละวัน เริ่มทนกันไม่ค่อยได้ แล้วสุดท้ายก็จบลงด้วยการหย่า!!!

ไม่รู้ว่า "คนคู่" ในประเทศอื่น จะเจอสภาพอันน่าขมขื่นใจอย่างนั้นหรือเปล่า แต่ที่อังกฤษปรากฏว่า เพราะสภาพเศรษกิจที่ย่ำแย่แท้ๆ ที่ทำให้สามีภรรยากลับมีความอดทนกันมากขึ้น เพราะต่างไม่กล้าตัดสินใจผลีผลาม "หย่า" กัน ด้วยกลัวว่าหากหย่ากันแล้ว อาจจะต้องรับภาระทางการเงินหนักขึ้นกว่าเดิม ไหนจะต้องคิดหนักว่า จะหาคนมาซื้อบ้านที่อยู่ด้วยกันได้หรือเปล่า แล้วเมื่อแยกกันอยู่แล้ว จะมีปัญญาจ่ายค่าบ้าน ค่ากินอยู่ตามลำพังไหวมั้ย?

โรเบิร์ต เคอร์ หุ้นส่วนของบริษัท แกรนท์ ธอร์นตัน"ส ฟอเรนซิค แอนด์ อินเวสติเกชั่น เซอร์วิส ซึ่งทำการสำรวจเรื่องนี้ บอกว่า มีทนายเกือบครึ่งประเทศในอังกฤษที่เชื่อว่า สถิติการหย่าร้างในประเทศต้อง "ตก" ลงแน่นอนในช่วงนี้ และจะตกลงอย่างนี้ไปอีกเรื่อยๆ ตราบเท่าที่สภาพเศรษฐกิจยัง "บีบรัด" หัวใจ ให้หลายคนหายใจหายคอไม่คล่องอย่างที่เป็นอยู่

"พวกทนายความต่างเชื่ออย่างนั้น อาจจะมีสาเหตุต่างๆ มากมาย แต่ปัญหาทางการเงิน เป็นปัญหาแรกที่สามีภรรยาต้องคิดใคร่ครวญอย่างหนัก เมื่อคิดถึงเรื่องหย่า" ปีเตอร์อ้างถึงผลการสำรวจ

ทั้งนี้ จากสถิติการหย่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา มีตัวเลขลดลงจริงๆ โดยเมื่อปี 2549 มีสถิติอยู่ที่ 12.2 ต่อคู่สมรส 1,000 คู่ ได้ลดลงมาอยู่ที่ 11.9 ต่อ 1000 คู่ เมื่อปี 2550 โดยตัวเลขเหล่านี้ถือว่าเป็นสถิติที่ต่ำสุดในรอบ 26 ปีด้วย แล้วในผลสำรวจยังพบด้วยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้ คู่สามีภรรยาที่หย่าร้างกัน ระบุว่า ปัญหาทางการเงินเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาอยู่กันไม่รอด มีเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า แต่ถึงกระนั้นก็ยังเป็นรองปัญหา เรื่อง "นอกใจ", การกดขี่ ทำร้ายร่างกาย และปัญหาอื่นๆ ในครอบครัว รวมถึงปัญหาวิกฤตการณ์วัยกลางคน

นอกจากนี้ สำหรับในคู่สมรสใหม่ยังพบด้วยว่า ปัญหาเรื่องฐานะทางการเงิน กลายเป็นเรื่องที่คู่แต่งงาน นำมาเปิดอกพูดกัน และทำสัญญาเป็นลายลักษณ์ อักษรไว้ก่อนแต่งเลยว่า หากหย่า จะจัดการเรื่องเงินทองกันอย่างไร เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไปขึ้นศาล และไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ให้แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากว่าต้องหย่ากัน

"ผมคิดว่า นี่เป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในช่วงเศรษกิจถดถอย ที่ผู้คนรู้สึกหวั่นไหวต่อสภาพทางการเงิน"

ขณะที่โฆษกของแกรนท์ ธอร์นตัน บอกว่า มีคนที่เลือกอยู่ด้วยกัน โดยไม่แต่งงานเพิ่มขึ้น แต่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า เป็นเพราะ มีปัญหาการเงิน ไม่มีเงินจัดงาน หรือว่า ทำไปด้วยเหตุผลใด?



ที่มา: //www.matichon.co.th/matichon/view_news.php?newsid=01lad01130652§ionid=0115&day=2009-06-13




 

Create Date : 13 มิถุนายน 2552    
Last Update : 13 มิถุนายน 2552 14:33:05 น.
Counter : 611 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  

byonya
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 18 คน [?]




I am not a perfect, but simple!

 
 
Custom Search



 
 

Website น่าสนใจ  
 
หนังสือพิมพ์ออนไลน์ประชาไท

เว็บการศึกษา Eduzones.com

Business Web Directory .biz - Business Directory
 


Word of the Day

This Day in History

Quote of the Day

Hangman




Friends' blogs
[Add byonya's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.