- 31 DECEMBRE 07

อองตวนน้อย... หรือจะเป็นรักแรกพบ

--- Mon petit Antoine... sans doute un coup de foudre---


     ปิดทำการ ไม่ทำงานตั้งแต่วันเสาร์ที่แล้ว หลังจากที่หวานใจไปรับอองตวนมาใช้เวลาอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันเสาร์โน้น

     เด็กน้อยน่ารักน่าชังเหมือนเดิม หนึ่งปีผ่านไป รูปร่างไม่ได้สูงขึ้นนัก แต่ดูอวบอ้วนมีเนื้อมีหนังมากขึ้น ทางด้านพัฒาการ ดูเป็นผู้เป็นคน พูดจารู้เรื่องมากกว่าเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาษาไทย (ท่องกอไก่ ขอไข่ ได้แล้ว มีมั่วเล็กน้อยช่วงกลางๆ) ภาษาอังกฤษ (นับเลขได้แล้ว ท่องเอบีซีได้แล้ว แต่ยังจำตัวอักษรไม่ได้)

     ส่วนภาษาฝรั่งเศสเหลือศูนย์ เฮ่อ...ไม่เป็นไร เดี๋ยวรอให้โตอีกหน่อย ให้แกพูดภาษาใดภาษาหนึ่งให้แข็งแรงสักหนึ่งภาษาก่อน แล้วค่อยสอนฝรั่งเศสทีหลังก็ไม่น่าจะสายเกินไป

     เขาว่ากันว่า เด็กเป็นผ้าขาว ซับทุกอย่างที่ผู้ใหญ่เทลงไป เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นคนที่เลี้ยงดูมา เห็นจะจริง เมื่อกลับมาอยู่ด้วยกัน ฉันสังเกตเห็นวิธีการพูดจาของเด็กน้อยแล้วแอบถอนใจ อองตวนพูดจารู้เรื่องเป็นประโยคสื่อสารได้มากขึ้นกว่าเดิมมากก็จริง แต่พูดห้วนสั้น ไม่มีหางเสียง ไม่น่าฟังเลย ต้องคอยบอกคอยเตือนให้พูดครับลงท้ายแทบตลอดเวลา นอกจากเวลาที่แกอยากเข้ามาประจบประแจง ประเหลาะขอเล่นเกม ดูทีวี ... ไม่รู้ว่าการสั่งสอนให้พูด "ครับ"ในช่วงสองอาทิตย์นี้จะติดตัวกลับไปเจอสิ่งแวดล้อมที่โน่นลบในอีกกี่สัปดาห์

     ถ้าไม่ใส่ใจตัดเรื่องพูดจาไม่น่ารักออกไปแล้ว บุคลิกและนิสัยลึกๆ ของแกเป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อยน่าเอ็นดูมากๆ คนนึงทีเดียว ไม่แก่นกระโหลกเอาแต่ใจตัว ไม่เกเรเล่นซนทะโมนโลดโผนเป็นลูกลิงมากจนรับไม่ไหว กินอาหารได้มาก ไม่เลือกของกินเท่าไหร่ ถึงแม้จะมีเมนูโปรดอยู่ไม่กี่อย่าง เช่น ไส้กรอกเฟรนช์ฟราย ไก่เฟรนช์ฟราย กราแต็ง แต่ถ้ามีของอื่นให้กิน แกก็กินได้โดยไม่อิดออด ชอบไม่ชอบ กินได้มากได้น้อย ค่อยว่ากันอีกทีนึง


     นินทาลูกเลี้ยงเสร็จแล้ว มีเรื่อง(น่า)รักๆ มาเล่าให้ฟัง

     เมื่อคืนวันที่ 28 หวานใจ ฉัน อองตวน ฟ๊าบกับโน๊ต (เพื่อนมานอนที่บ้านสามคืน)ไปกินราแคล็ตต์กันที่บ้านเดเด้ผู้กำลังอินเลิฟ คาดว่ากำลังมีใจหมาดๆ กับมิเอะภรรยาเก่าคนแรกของหวานใจ หลังจากคืนวันที่ฉันกับหวานใจเชิญเดเด้กับมิเอะมากินอาหารค่ำที่บ้านเมื่ออาทิตย์ก่อนหน้านี้ มิเอะมีลูกสาวกับอดีตสามีคนฝรั่งเศสคนที่สองชื่อ เลอา และเพิ่งย้ายจากญี่ปุ่นมาอยู่ฝรั่งเศสได้สองสามเดือน

     พูดคร่าวๆ ก็คือ คืนนั้นเป็นเหมือนการประกาศตัวเล็กๆ ของความสัมพันธ์ของเดเด้เพื่อนรักของหวานใจกับภรรยาคนแรกของหวานใจ และมิเอะได้เห็นอองตวนลูกชายของหวานใจของฉันซึ่งเป็นสามีคนแรกของเธอที่มีกับภรรยาคนที่สองเป็นครั้งแรก ส่วนฉันได้เห็นลูกสาวของภรรยาเก่าของสามีของฉันที่เกิดจากสามีคนที่สองของเธอ ...(ยุ่งดีมั้ยล่ะ)

     อย่างไรก็ตาม เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์วุ่นวายน่าสับสนของผู้ใหญ่ไม่ได้มีผลกับความรู้สึกของเด็กๆ เลยแม้แต่น้อย หลังจากช่วงแรกๆ ของการเหลือบชำเลืองมอง หยั่งท่าทีกันและกัน หลังจากนั่งข้างๆ กันกินอาหารเสร็จ เลอากับอองตวนก็แยกไปนั่งผลัดกันเล่นเกมจุ๊กจิ๊ก วิ่งเล่นกรี๊ดกร๊าดร่าเริ่งอยู่ในอพาร์ทเมนต์กันสองคน โดยความแตกต่างในเรื่องของภาษาไม่ได้มาขีดกั้นบทสนทนาระหว่างสองหนุ่มสาวตัวน้อยๆ แต่อย่างใด (เลอาพูดฝรั่งเศส-อองตวนพูดไทย)

     อาหารค่ำมื้อนั้น เป็นไปอย่างชื่นมื่น เข้าอกเข้าใจ ไม่มีใครคิดตะขิดตะขวงใจถึงอดีตของใคร ดูเหมือนเราจะมองเห็นแต่ปัจจุบันที่ลงตัวมีความสุขเรียบง่ายตามอัตภาพ เดเด้ต้องการคนมาร่วมชีวิต มิเอะต้องการคนที่มาปกป้องคุ้มครอง หวานใจกับฉันมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน และดีใจที่คนที่เรารู้จักจะได้มีความสุขต่อไป


     จนกระทั่ง หลังจากเรากลับจากบ้านเดเด้ ในวันรุ่งขึ้นและถัดๆ มานี่แหล่ะ ฉันกับหวานใจเริ่มมองเห็นอนาคตที่อาจจะมีการขมวดปมยุ่งเหยิงอยู่ลางๆ อองตวน เด็กชายตัวน้อยของเราร้องอยากจะเจอเดเด้อยู่หลายครั้ง ตอนแรกงงๆ ไม่เข้าใจว่าทำไมอยากเจอเดเด้นักหนา จะว่าอยากขี่มอเตอร์ไซค์ของเดเด้ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะวันก่อนพาไปดูลาดุชเชส มอเตอร์ไซค์ของป่ะป๊าแล้ว จะว่าอองตวนอยากกินกราแต็งที่กินด้วยกันที่บ้านชนบทตอนเดเด้มาถึงพอดี เราก็ทำให้กินอีกรอบแล้ว ไม่เห็นต้องมีเดเด้ก็ได้ แล้วทำไมถึงเรียกหาเดเด้อีกล่ะ

     กระทั่งซักไปซักมา จึงได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว กราแต็งน่ะ อองตวนอยากกินแน่อยู่แล้ว แต่ที่อองตวนอยากได้ไม่ใช่แค่นั้น อองตวนอยากกินอาหารกับเด้เด้แบบวันนั้น วันที่มีผู้ใหญ่หลายๆ คนและมีเด็กด้วย ...



     ...เด็กผู้หญิงที่อองตวนชอบคนนั้นน่ะ ...ครับ





>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 31 ธันวาคม 2550    
Last Update : 31 ธันวาคม 2550 19:11:13 น.
Counter : 984 Pageviews.  

- 20 DECEMBRE 07

ระหว่างรอ...อองตวน

--- En attendant mon petit Antoine ---





อองตวนกำลังจะมาแล้วจ้า

บรรดาแม่ยกทั้งหลาย เตรียมล้างตารอดูภาพงามๆ ของหนุ่มน้อยของฉันได้เลยนะจ๊ะ ฮ่าๆๆๆ


เช้านี้หวานใจตื่นเต้นเล็กน้อย เพราะนอกจากจะต้องเข้าไปคุยกับคนที่มีอำนาจตัดสินใจว่าเราจะได้ย้ายไปอยู่บังกาลอร์ ประเทศอินเดียกันหรือเปล่า หลังจากคุยเสร็จแล้ว หวานใจจะขึ้นเครื่องบินไปรับไอ้หมาน้อยอองตวนที่เมืองไทยมาอยู่ด้วยกันที่นี่สองสามอาทิตย์

ในอีกสามวัน ตั้งแต่วันเสาร์ตอนเช้าตรู่ บ้านนี้คงจะมีเสียงเด็กวิ่งตุบตับ เสียงเรียกแจ้วๆ "ซิซาๆ" .... "เล่นเกม"

ส่วนฉันเอง ใจหนึ่งตื่นเต้นดีใจ จะได้กลับมาเจอเด็กน้อยของฉัน อยากเห็นว่าแกมีพัฒนาการหรือเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง หลังจากที่ไม่ได้เจอกันหนึ่งปีเต็ม

หนึ่งปีอันยุ่งเหยิงวุ่นวาย มีพบ มีพราก มีช่วงสุขสม มีช่วงขมขื่น รื่นเริง บันเทิง หลงระเริง ร้อนใจ เสียใจ ผิดหวัง สมหวัง คละเคล้ากันไป ชีวิต "ผู้ใหญ่" คนหนึ่งคงจะเป็นเช่นนี้ในทุกๆ ปี

ส่วนชีวิตเด็ก การเปลี่ยนแปลงคงผ่านไปอย่างรวดเร็วกว่าผู้ใหญ่จนแทบสังเกตไม่เห็น เด็กปรับตัวได้ดีกว่าผู้ใหญ่ ... ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น



อีกใจหนึ่งนั้น ก็หวั่นเกรงว่าแกจะจำฉัน จำช่วงเวลาสองปีดีๆ ที่เราเคยมีร่วมกันที่ฮ่องกงไม่ได้ กลัวว่าแกจะเห็นฉันเป็นคนแปลกหน้า เป็นคนมาแย่งป่ะป๊าไปจากแก ... กลัวแกจะตั้งคำถามว่าหายไปไหนมา ทำไมไม่ไปหาอองตวน ทำไม ทำไม และทำไม


... บางครั้งคำถามซื่อๆ ของเด็กไร้เดียงสานี่แหล่ะ ที่ทำให้เราเจ็บปวดที่สุด


ระหว่างนี้ คงได้แต่เฝ้ารอคอยนับถอยหลังด้วยใจระทึก โชคยังดีที่ยังมีมีงานทำฆ่าเวลา ฉันแกะ "ช้ำจนชิน" เสร็จแล้ว ยังมีงานเกลาเหลือให้ต้องใส่ใจอีกเยอะ ได้แต่หวังว่าการทำงานจะช่วยให้การรอคอยครั้งนี้คงจะไม่ทุกข์ทรมานมากนัก


แล้วเจอกันนะจ๊ะ ... อองตวน






>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 20 ธันวาคม 2550    
Last Update : 20 ธันวาคม 2550 15:34:01 น.
Counter : 1000 Pageviews.  

- 18 DECEMBRE 07

บทสนทนาของสามี-ภรรยา - ใจดี หรือ ไม่ใจดี

--- Une conversation entre époux-épouse : gentille ou pas gentille ---



สถานที่ - โต๊ะอาหารที่อพาร์ทเมนต์

เวลา - สามทุ่มครึ่ง ระหว่างรอให้อาหารในเตาอบสุกได้ที่ สองสามีภรรยานั่งกินอาหารสยบน้ำย่อยเป็นขนมปังปิ้งป้ายริเย็ตต์หมูและห่านบด ไวน์ที่ซื้อมาสำหรับดื่มกับอาหารจานหลักพร่องไปครึ่งค่อนขวด (โชคดีที่ซื้อเผื่อมาอีกขวด)


ภรรยา : รู้หรือเปล่า เมื่อวานในร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ตอนที่เธอบอกฉันว่า เลิกทำตัวสุภาพใจดีกับคนอื่นเสียที ฉันตกใจนะ

สามี : รู้ ฉันเห็นเหมือนกันว่าเธอตกใจ แต่ฉันไม่ได้หมายความว่าให้เธอทำตัวใจร้ายกับผู้คนนะ เพียงแต่อยากบอกว่า คนที่นี่เขาไม่ชินกับคนใจดีที่คิดถึงหัวอกคนอื่น เวลาเธอทำดีกับพวกเขา พวกเขาจะอึดอัดทำตัวไม่ถูก เขาจะตั้งคำถามว่า ผู้หญิงคนนี้จะเอาอะไร

ภรรยา : เอาความสบายใจไง จริงๆ แล้วฉันไม่สนว่าเขาจะอึดอัดเพราะฉันใจดีกับเขาหรอกนะ แต่ฉันสนว่าตัวฉันจะอึดอัดที่ทำตัวใจร้ายขวางทางทางคนอื่นอยู่มากกว่า

สามี : ใช่ แต่สังเกตหรือเปล่าล่ะ ว่าเธอมักจะคิดว่าคนที่เดินตามหลังเรามาจะต้องแซงเราตลอด แล้วเราต้องหลบทางให้เขา

ภรรยา : ก็ใช่น่ะสิ เพราะว่าปกติแล้ว เราสองคนจะเดินกันช้าๆ ส่วนคนที่นี่ส่วนใหญ่เขาจะรีบร้อนรีบเดินกัน ฉันไม่เคยให้เราหยุดเดินเพื่อให้เขาแซง แต่ฉันเห็นว่าเราไม่ควรเดินกลางทางเท้ากินพื้นที่จนหมดขณะที่เราเดินช้า เราควรเดินชิดข้างเพื่อเปิดช่องให้คนอื่นที่อาจจะรีบร้อนอยู่แซงผ่านไปด้วย

สามี : ที่เธอพูดก็ถูก แต่ฉันอยากจะบอกว่าการเป็นคนใจดีเป็นสิ่งดี แต่ไม่ควรใจดีเกินไป

ภรรยา : อ่ะ เรื่องใจดีเกินไปเนี่ย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าขีดกำหนดมันอยู่ที่ไหน ใจดีขนาดไหนถึงจะเรียกว่าใจดีเกินไปเหรอ และจะยังไงฉันก็ไม่คิดว่าฉันจะต้องลดตัวเองลงไปเป็นคนใจร้ายเพื่ออยู่ร่วมกับคนใจร้ายหรอกนะ

สามี : อาจจะจริงของเธอ

ภรรยา : ที่รักคะ ฉันคิดว่าที่ฉันเป็นอย่างนี้ อาจจะเป็นเพราะว่า ชีวิตส่วนใหญของฉัน ฉันทำงานอยู่บ้านคนเดียว โลกของฉันเงียบสงบ ไม่ค่อยได้เจอผู้คน ไม่ค่อยได้มีผู้คนเข้ามาราวีทำตัวใจร้ายกับฉันบ่อยๆ จนทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันจะต้องทำตัวอย่างนั้นกลับไปให้สาสมใจ เวลาที่ฉันออกไปข้างนอกบ้าน ฉันรู้สึกเหมือนเข้าไปเยี่ยมชมโลกของคนอื่น ฉันลอยตัวอยู่เหนือความเป็นจริงของคนอื่น ฉันเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวในเมืองที่ตัวเองอยู่ ไม่ว่าผู้คนจะรีบเร่ง เคร่งเครียด ใจดำกันอย่างไร ฉันไม่เกี่ยว และด้วยรูปลักษณ์เป็นหญิงต่างชาติของฉัน ฉันคิดว่าผู้คนจะมองความสุภาพว่าเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม ไม่ใช่ความเพี้ยนพิลึกหรอก

สามี : เป็นไปได้ว่า วันๆ ฉันต้องทำงานกับคนมากมาย เจอการขับเคี่ยวแข่งขันเบียดกันไปมาตลอดเวลา จนฉันเปลี่ยนไปกลายเป็นคนที่ไม่สนใจคนอื่น เพราะคิดว่าไม่ไหวแล้ว ขอให้ถึงคราวของฉันบ้างเถอะ ไม่อยากนึกถึงใจคนที่ไม่คิดถึงใจคนอื่นอีกแล้ว

ภรรยา : ฉันคิดว่า เมื่อโลกมันดำอย่างนี้ เราก็ไม่ควรจะเพิ่มความดำลงไปอีก เพราะสุดท้าย คนที่จะสกปรกหม่นหมองจิตใจ คือ ตัวเราเอง และการที่ฉันทำตัวสุภาพใจดี ไม่ได้หมายความว่าฉันอ่อนแอ

สามี : ฉันก็ไม่ได้คิดว่าเธออ่อนแอหรอก


ภรรยา : เข้าใจก็ดีแล้ว เข้าไปดูเตาอบกันเถอะ ฉันว่าอาหารน่าจะสุกได้ที่แล้ว






>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 18 ธันวาคม 2550    
Last Update : 18 ธันวาคม 2550 18:26:11 น.
Counter : 863 Pageviews.  

- 17 DECEMBRE 07

สุดสัปดาห์อีกแล้วจ้า

--- Encore un weekend pour être ensemble... mais ensemble, ce n'est pas toujours tout!---

     วันนี้ตื่นมานั่งแกะ "ช้ำจนชิน" ต่ออย่างขมีขมัน จนเหลืออีกสองหน้าสุดท้ายเท่านั้นก็จะหมดเล่ม

     เย้ๆ ดีใจจนหยุดแปลต่อ หันมาอัพบล้อกดีกว่า วันนี้เวลายังเหลืออีกตั้งเยอะกว่าจะหมด "เวลาทำการทำงาน"

     เฮ้อ น่าเกลียดมากๆเลยฉันเนี่ย วินัยหดหาย ตั้งแต่มีสามีเนี่ย ชอบเอาแต่สบาย ผัดวันประกันพรุ่ง แถมเข้าข้างตัวเองตลอดเวลาไม่ยอมรักษาคำพูด กำหนดส่งเล่มนี้น่ะมันเกินมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว อาทิตย์นี้กะว่าจะนั่งเกลาทั้งอาทิตย์ แต่ก็ไม่รู้จะต้องเหลากี่รอบถึงจะเป็นที่พอใจของของตัวเอง ...

     แล้วไอ้ที่เคยวาดหวัง ฝันลมๆ แล้งๆ ไว้ว่าจะตั้งแต่วันที่ 15 ธันวา จะหยุดทำงานน่ะ เอาไปซ่อนไว้ที่ไหนยะ ... เฮ้ย ก็งานมันไม่เสร็จนี่หว่า แล้วอากาศมันก็เย็นมากผิดปกติด้วย -- มันเถียงมาข้างๆ คูๆ

     เออ .. จริงด้วย อากาศหนาวเนี่ย ว่าไม่ได้เลยนะ มันหนาวขาดใจ ตัวเกร็งมือแข็งสมองตีบตันแปลงานไม่ออก ... แล้วเอาส่วนไหนของร่างกายมาอัพบล้อกยะหล่อน -- ถ้าเจ๊นวล ณ วงกลมมาอ่านเจออาจจะย้อนถามเช่นนั้น

     พอมาถึงตรงนี้ คติประจำใจเดียวที่นำมาเตือนใจได้คือ "อะไรที่ผ่านลับแล้วก็ให้มันผ่านไป มองตรงที่ข้างหน้าดีกว่า" (นะคะเจ๊) แต่ก่อนจะจะข้ามเลยไกลมากเกินไป ขอย้อนเล่าเหตุการณ์ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนนะจ๊ะ พอดีถ่ายรูปเก็บไว้บ้างเลยทำสไลด์มาฝากด้วย




     เมื่อคืนวันศุกร์ สวมบทแม่บ้านสมองใส ใส่ผ้ากันเปื้อนสีแดงทำกับข้าวไทยเลี้ยงแขกที่มากินอาหารค่ำที่บ้าน เมนูที่ตั้งใจไว้คือ ต้มข่าไก่ เนื้อผัดขิงกับหมูย่าง ดังที่แจ้งไว้เมื่อบล้อกที่แล้ว

     ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี เริ่มต้นเรียกน้ำย่อยกันก่อนด้วยไส้กรอกอีสาน ต่อด้วยต้มข่าไก่กับเนื้อผัดขิงกินกับข้าวสวย ส่วนหมูย่างฉันไม่ได้เอาออกเสิร์ฟเพราะเห็นว่ากับข้าวที่อยู่บนโต๊ะมากเพียงพอแล้ว ขืนให้กินมากไป เดี๋ยวจะอิ่มจนกินข้าวเหนียวมะม่วงไม่ไหว

     มะม่วงเนี่ยเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้จากเมืองไทย ที่ฉันอุตส่าห์หอบหิ้วข้ามเมืองมาจากเขตสิบสาม ก่อนจะมาบรรจงห่อหนังสือพิมพ์แล้ววางใกล้ๆ ซุกมุมเครื่องทำความร้อนในห้องอาบน้ำเพื่อบ่มให้มะม่วงดำเนินการทำตัวให้สุกหวานอร่อยไม่เสียชื่อที่มาจากเมืองไทย

     มื้ออาหารค่ำมื้อนั้นเป็นไปอย่างเอร็ดอร่อย สนุกสนาน พูดคุยกันหลายเรื่อง ฉันคุยจ้อผิดปกติ อาจจะเป็นเพราะเพื่อนทั้งสองไม่ได้พยายามพูดช้าๆ หรือพูดเร็วๆ กับฉัน จนฉันรู้สึกรำคาญไม่อยากพูด หรือทำเป็นบ้าใบ้พูดไม่ได้ไปเลยอย่างที่ทำกับคนฝรั่งเศสมาแล้วหลายคน

     สามีภรรยาคู่นี้น่ารักดี ภรรยาออกแนวค้นหาความสงบสุขให้ตัวเอง เล่นโยคะ เข้าคอร์ส์ล้างพิษ กินอาหารสมุนไพร ส่วนสามีก็ดูรักและตามใจภรรยาดีจัง คำพูดที่ฉันประทับใจมาก คือ ตอนที่ภรรยาชิมต้มข่าไก่ แล้วบอกว่าอร่อยดี เธอทำอาหารใส่พืชสมุนไพรบ่อยๆ แต่ไม่อร่อยแบบนี้ สามีของเธอรีบแก้ให้ว่า อาหารที่เธอทำน่ะ ไม่ใช่ว่าอร่อยน้อยกว่าหรอกนะ แต่อร่อยต่างกันต่างหาก


     หวานใจเปิดเครื่องเสียงให้แขกฟังตามปกติ แล้วอยู่ดีๆ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แอมป์หลอดก็เกิดไหม้ขึ้นมา หวานใจตกใจเสียขวัญ สุดท้ายต้องหันไปใช้บริการเครื่องเล่นซีดี ผ่านแอมป์ติดหูฟังที่เก้าอี้นวดแทนในช่วงดึกๆ


     เช้าวันรุ่งขึ้น หวานใจรีบหาร้านที่ขายหลอดแอมป์เป็นการใหญ่ ฉันทำข้าวต้มขาวกินกับหมูย่างแม่สายบัวเมื่อคืน แล้วผัดหมูผัดขิงเพิ่มลงไป กินกันร้อนๆ อร่อยดี

     ช่วงบ่าย แวะไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารเจ้าประจำ แวะซื้อหลอดแอมป์แล้วขับจิ๊บจิ๊บไปบ้านต่างจังหวัดที่อาเมียงส์ ระหว่างการเดินทาง ฉันนั่งนึกๆ ถึงมื้ออาหารเมื่อคืนแล้วนึกขึ้นได้ว่าฉันลืมใส่ใบมะกรูดในต้มข่าไก่...

     แวะเข้าบ้านนอกไปเปิดเครื่องทำความร้อนทิ้งไว้ก่อนค่อยเข้าเมืองตามคำร้องขอแกมบังคับของฉัน เพราะคราวที่แล้ว ฉันหนาวจนตัวแข็งขยับทำอะไรไม่ได้เลย เข้าเมืองไปรับโปสเตอร์ของบิลัลที่เอาไปส่งเข้ากรอบไว้ งานเรียบร้อยถูกใจมาก สมกับที่นึกภาพไว้แป๊ะเลย แวะตลาดซื้อของกินสำเร็จรูปมานอนเอกเขนกกินแกล้มไวน์ ฟังเพลงกันเพลินๆ



     วันอาทิตย์ ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟัน กินอาหารเช้า เก็บบ้าน ขึ้นจิ๊บจิ๊บไปถ่ายรูปกัน หวานใจให้ฉันลองขับจิ๊บจิ๊บดู ไหนๆ ฉันก็มีใบขับขี่สากลกับเขาแล้ว ควรจะหัดขับรถให้คล่องเอาไว้ เผื่อมีเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ช่วยกันได้ เริ่มต้นเบาะๆ ในถนนที่ตัดผ่านทุ่งนาก่อนเดี๋ยวค่อยขึ้นถนนในวันหลัง พอเจอมุมสวยๆ หวานใจสั่งให้หยุดรถแล้วลงไปถ่ายรูป ส่วนฉันหยิบแคนดี้ออกมายิงจากในรถ เนื่องจากขาดความกล้าหาญชาญชัยที่จะออกไปเผชิญกับความหนาวเย็นข้างนอก


     ก่อนกลับบ้าน แวะกินอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารก่อนขึ้นทางด่วนสำหรับพวกคนขับรถสิบล้อ อาหารไม่ได้เลิศเลอแต่ให้เยอะกินแล้วอิ่มดี




     สุดสัปดาห์ที่ผ่านมาก็เอวังด้วยประการฉะนี้ ขอตัวกลับไปทำงานที่จะต้องทำให้ผ่านไปก่อนเน้อ



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 17 ธันวาคม 2550    
Last Update : 17 ธันวาคม 2550 22:59:36 น.
Counter : 787 Pageviews.  

- 14 DECEMBRE 07

ออกไปเดินเล่นนอกบ้าน

--- Petit promenade en ville ---

     เมื่อคนติดบ้านหนึบอย่างฉันจะออกไปข้างนอกทั้งที มันต้องรวบรวมทำธุระต่างๆ ให้มากที่สุด จะได้คุ้มค่ากับกำลังใจที่ตั้งสติรวบรวมอยู่หลายวัน ตอนแรกว่าจะออกไปตั้งแต่วันอังคาร แต่ก็ผัดผ่อนเรื่อยมา อ้างว่ายังสภาพจิตใจและร่างกายไม่พร้อมบ้าง สภาพอากาศไม่เป็นใจอุณหภูมิลดต่ำเกินไปบ้าง

     แต่สุดท้าย ก็สามารถบังคับตัวเองให้ออกนอกบ้านจนได้ ภาระกิจหลักๆ ที่หัวใจบังคับให้ต้องทำให้สำเร็จ คือ ไปรับฟิล์มกับคอนแท็ครูปที่หวานใจเอาไปส่งล้างไว้ที่ PICTO แล็ปภาพระดับมืออาชีพชื่อเลื่องแถวบาสตีย์ (ไม่รักจริง ฉันไม่ไปหรอกนะ จะบอกให้) ฉันลองเปิดค้นดูข้อมูลในอินเตอร์เน็ตว่าแถวนั้นมีพิพิธภัณฑ์ตั้งอยู่ในละแวกข้างเคียงหรือเปล่า ได้คำตอบว่ามี Musée de Fumeur

     เข้าทางเป๊ะ จะได้เข้าไปเก็บข้อมูลถ่ายภาพไว้สำหรับลงคอลัมน์ มิวเซ่/Musée ใน Happening เสียเลย

     นอกจากนั้น ฉันยังถือโอกาสเติมธุระส่วนตัวนัดเจอกับเป๊ป เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ ฉันมาอยู่ที่นี่ได้เดือนกว่าๆ แล้วแต่ยังไม่มีโอกาสไปเจอหน้าค่าตาเพื่อนฝูงเลย บวกเพิ่มด้วยการไปกินก๋วยเตี๋ยวหมูที่แว่บเข้ามายั่วน้ำลายหลายวันแล้ว

     ต่อด้วยไปซื้อกับข้าวที่ตังแฟร์ ซุปเปอร์มาร์เก็ตขวัญใจชาวเอเชียที่มีทุกอย่างสำหรับทำกับข้าวไทย เพราะคืนนี้ หวานใจเชิญเพื่อนมากินอาหารค่ำที่บ้าน ฉันเลยหาเรื่องใส่ตัวอาสาจะทำอาหารไทยให้ลิ้มลองกัน


     เป๊บพาขึ้นรถรางแทรมเวย์ไปเขตสิบสาม ฉันไม่เคยขึ้นมาก่อนก็เลยออกแนวตื่นเต้นกรี๊ดกร๊าด ระหว่างที่กินก๋วยเตี๋ยวแกล้มส้มตำแถวเขต 13 ฉันปรึกษาเพื่อนเรื่องเมนูอาหารค่ำที่จะทำ สรุปได้ว่า จะทำต้มข่าไก่ เนื้อผัดขิง กับหมูย่าง ต่อด้วยของหวานของโปรดหวานใจคือข้าวเหนียวมะม่วง



     ออกจากตังแฟร์ ใส่กับข้าวที่ซื้อมาอันประกอบด้วย ขิง ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด กะทิกระป๋อง ข้าวเหนียว ลงเป้สะพายหลังที่หนักจนหลังแอ่น มือข้างหนึ่งถือถุงพลาสติกสีเหลืองอ๋อย ข้างในมีลิ้นจี่กับมะม่วงน้ำดอกไม้ขนาดใหญ่เบิ้มสามลูก ขึ้นรถไฟใต้ดินไปโผล่ที่บาสตีย์ เดินดุ่มๆ จนถึง PICTO รับฟิล์มที่ล้างแล้ว ส่งฟิล์มสำหรับส่งล้างใหม่ จ่ายเงิน แล้วแยกกับเป๊บ ก่อนจะเดินเดี่ยวต่อไปที่ Musée de Fumeur

     ทำธุระการงาน ถ่ายรูปเก็บข้อมูลเสร็จ ตอนที่จะจ่ายเงินซื้อโปสเตอร์กับโปสการ์ดเพื่อปิดจ๊อบและให้รางวัลกับตัวเอง เจ้าหน้าที่มิวเซียมถามว่าฉันถ่ายรูปให้ตัวเองหรือลงหนังสือ ฉันตอบไปว่าฉันกำลังเขียนคอลัมน์เกี่ยวกับพิพิธภัณฑ์แปลกๆ เฉพาะด้านในปารีสลงนิตยสารที่เมืองไทยอยู่ เขาเลยให้โปสเตอร์กับโปสการ์ดมาฟรีๆ และบอกว่าฉันสามารถเข้าไปใช้รูปในเวบไซต์หรือมีข้อมูลที่ต้องการถามให้ติดต่อมาได้ตลอด และถ้าหนังสือออกแล้ว ส่งมาให้ดูบ้าง เขาจะยินดีมาก ฉันรับปากแล้วเปิดประตูออกมา



     ออกจากพิพิธภัณฑ์ยาสูบ เดินเลาะข้ามถนนที่จัตุรัสวอลแตร์ เพื่อเดินย้อนกลับไปลงสถานีรถไฟฟ้าบาสตีย์ ขณะที่เดินเลียบสวนหน้าอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง ฉันสะดุดตากับรูปปั้นที่ตั้งอยู่ข้างหน้าในสวนเล็กๆ ริมถนน เลยวางข้าวของ ควักแคนดีออกมาส่อง ไม่นานนักก็มีชายหน้าตาท่าทางดีอายุประมาณ 40 คนหนึ่งขี่จักรยานมาจอดข้างหลัง แล้วทักว่าฉันเป็นช่างภาพเหรอ

     ฉันได้แต่หัวเราะหึๆ ส่วนเขาพอเห็นแคนดี กล้องชั้นดีที่มืออาชีพใช้กัน คาดว่าเขาจะได้คำตอบแบบถามเองเออเองว่าฉันเป็นช่างภาพจริงๆ โดยไม่รอคำตอบรับจากฉัน จากนั้นเขาชวนคุยต่อถามฉันว่ารู้หรือเปล่าว่า Léon Blum (เลอ็ง บลุม) ชื่อที่ติดอยู่ที่ฐานรูปปั้นนี้เป็นใคร ฉันตอบไปว่าไม่รู้

     เขาเลยได้ทีเล่าใหญ่เลยว่า บลุมเป็นอดีตประธานาธิบดีฝรั่งเศสที่น่าจะมีหัวเอียงซ้าย แต่น่าเสียดายที่ในรูปปั้นนี้ เขาผินหน้าเข้าหาที่ทำการเทศบาลนครปารีสเขต 11 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ อำนาจของผู้ปกครองที่กดขี่และกอบโกยความร่ำรวย แทนที่จะหันไปทางจัตุรัสเพื่อมองราษฎรเดินดิน บลาๆๆๆ



     ฉันหัวเราะก๊าก บอกเขาไปว่า แต่ดูสิ ทิศทางลมที่พัดผ้าพันคอของท่านก็พัดไปทางจัตุรัสนะ ขณะที่ฉันกำลังจะพูดต่อว่า แล้วที่เขาหันไปดูที่ทำการเทศบาลน่ะ อาจจะเพื่อจับตาดูว่าเจ้าหน้าที่รัฐทำงานรับใช้ประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นหรือเปล่า

     เขาไม่ใส่ใจฟังหรือรอให้ฉันเอ่ยประโยคออกมาให้จบ ตัดบทถามว่า ตกลงฉันเป็นช่างภาพใช่มั้ย ฉันตอบคำถามแบบคลุมๆ เครือๆ ไปว่า ฉันทำงานให้นิตยสารที่เมืองไทย

     "อื้อ น่าสนใจนี่ นิตยสารอะไรเหรอ" ยังไม่ทันที่ฉันจะตอบไป เขาพูดต่อว่า "ผมเป็นช่างภาพเหมือนกัน ผมเป็นอเมริกัน นี่คุณพูดอังกฤษได้หรือเปล่า"

     พอรู้ว่าฉันพูดอังกฤษได้ เขาก็เริ่มพูดอังกฤษกับฉัน ด้วยการพูดซ้ำถึงบลุม ด้วยใจความเดิมในภาษาอังกฤษ "บลุมเคยเป็นประธานาธิบดีที่น่าจะมีหัวเอียงซ้าย แต่น่าเสียดายที่ในรูปปั้นนี้ เขาผินหน้าเข้าหาที่ทำการเทศบาลนครปารีสเขต 11 ... บลาๆๆๆ ..."


     พอรู้ว่ามาเจอคนช่างพูดแต่ไม่คิดจะรับฟัง หูฉันก็เลยฟังเขาพูดแบบผ่านๆ สายตาสอดส่ายหามุมจะยิงภาพไปเรื่อยๆ มีอยู่ครั้งหนึ่งพอฉันยกล้องขึ้น เขาถอยจักรยานหนี บอกว่าอย่าถ่าย ฉันหัวเราะตอบไปว่า "ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่ถ่ายรูปคน"

     เขาลังเลอยู่แป๊บนึง แล้วควักนามบัตรให้ฉัน ฉันรับมาดู บนนามบัตรมีชื่อสั้นๆ กับที่อยู่เวบไซต์แห่งหนึ่ง เขาบอกฉันว่า เขาทำงานเป็นช่างภาพแฟชั่น ... และเขามีสตูดิโออยู่แถวๆ นี้ ...

     "อ๋อ เหรอคะ" ฉันหัวเราะ (อีกแล้ว) แล้วทำหน้าตาซื่อๆ

     เขาเอ่ยลาแล้วขี่จักรยานจากไป



     ส่วนฉันเดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินกลับบ้าน เปิดเบียร์ขาวเย็นๆ จิบได้สองสามอึก เล่นเกม Solitaire ในเครื่องน้องซาวง ผล็อยหลับไปงีบหนึ่งจากความอ่อนล้า เนื่องจากบ่ายวันนี้เดินนานผิดปกติวิสัย นานจนกระทั่งรองเท้าไอชุนที่ได้ชื่อว่าใส่สบายเท้าออกฤทธิประท้วงกัดส้นเท้าทั้งสองข้าง

     ประมาณสองทุ่มหวานใจเลิกงานขับจิ๊บจิ๊บกลับบ้าน เรานัดเจอกันที่ซุปเปอร์โมโนพรีซ์ ซื้อไส้กรอกแมร์เกซมาย่างกินกับมันบด อิ่มอร่อยถูกใจ ที่โต๊ะอาหาร ฉันเล่าเรื่องอีตาช่างภาพอเมริกันให้หวานใจฟัง พอเล่าถึงตอนที่เขาบอกว่า เขามีสตูดิโออยู่แถวๆ นั้น หวานใจหัวเราะก๊าก อุทานว่า "โอ้ ดร๊ากเกอร์ ดร๊ากเกอร์"



...       แปลว่า "โธ่ พ่อคนเจ้าชู้" หรือจะแปลให้แสบสันต์ได้อารมณ์ถึงพริกถึงขิง คงต้องใช้คำว่า "ชิชะ อ้ายคนหน้าหม้อ" กระมัง



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 14 ธันวาคม 2550    
Last Update : 14 ธันวาคม 2550 19:43:04 น.
Counter : 916 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.