20 JUILLET 09 จัดสมดุล เพื่อชีวิตที่ดีจริงๆ

จัดสมดุล เพื่อชีวิตที่ดีจริงๆ

A la recherche de l'equilibre de ma vie.

     วันจันทร์ของสัปดาห์ใหม่วนเข้ามาอีกแล้ว เริ่มต้นวันทำงานวันแรกด้วยสมองอันว่างเปล่า หยิบถังรองน้ำไล่รดน้ำต้นไม้ตามระเบียง อย่างน้อยเริ่มต้นวันด้วยการทำตัวมีประโยชน์ต่อใครสักคน แม้จะเป็นเพียงต้นไม้ต้นเล็กๆ ก็สบายใจล่ะ

     วันนี้เป็นวันพิเศษวันหนึ่งในชีวิตของฉัน เป็นวันแรกที่ฉันจะเริ่มปรับเปลี่ยนตัวเอง จัดสมดุลในชีวิต เพื่อจะได้มีชีวิตที่ดีมีคุณภาพจริงๆ

     ลงมาเปิดต่อวิทยุออนไลน์เข้าเครื่องแอมป์ คราวนี้ต่อใช้ไฟจากแบ็ตเตอรี ไม่ต่อตรงกับไฟฟ้าบ้านที่มาๆ ขาดๆ แล้ว เพราะเครื่องเสียงราคาแพงของหวานใจเริ่มมีอาหารป่วยไข้ทีละเครื่องสองเครื่อง เริ่มจากพรีแอมป์ และตอนนี้เครื่องเล่นซีดีชักจะไม่ยอมเปิดเข้าออกแล้ว ต้องยกเครื่องแบ็คอัพบนห้องนอนมาใช้แทน เสียงดีไม่เท่า แต่ก็ยังพอฟังได้อยู่

     ฟังเครื่องเสียงออดิโอฟิลีมาสี่ห้าปี ตอนนี้หูฉันชักจะสูงขึ้นแฮะ ทนฟังเสียงจากลำโพงโน้ตบุ้คไม่ไหวแล้ว มันบีบอัดอู้อี้ ไม่มีมิติ ไม่มีพลังขับเคลื่อน ไม่มีรายละเอียด หึหึ ต้องกระเสือกกระสนต่อขยายเข้าลำโพงใหญ่ ถึงเสียงจากวิทยุออนไลน์จะไม่ค่อยดีเท่าฟังจากแผ่นไวนิล แต่ก็ไล่เลี่ยกับซีดีห่างกันไม่กี่จุด และที่สำคัญฟรี ไม่ต้องลุกขึ้นไปเปลี่ยนบ่อยๆ ทนฟังโฆษณาที่นานๆ โผล่มาทีเอาหน่อย ไม่เป็นไร


     อากาศที่บังกาลอร์ช่วงนี้ ยังคงมีลมพัดแรงจัด อากาศเย็นสบาย ไม่แห้งหรือชื้นเกินไป เป็นเมืองที่อากาศดีแม้แต่เพื่อนชาวอินเดียที่มาจากเดลลียังออกปาก แฮ่ม ... ค่ะ ว่าแล้วก็เข้าหัวข้อเสียเลย สิ่งที่ชีวิตของฉันขาดหายไปแบบสุดขั้วที่อินเดียนี้คือการขาดสังคมเพราะไม่มีเวลาคบหาสมาคมกับใคร หวานใจเองต้องเจอคนที่แปลงกายเป็นเสือสิงห์กระทิงแรด สุนัขจิ้งจอกและงูเห่ามากมายในตอนกลางวันที่ทำงาน ตอนกลางคืนหรือเสาร์-อาทิตย์เลยอยากอยู่กับฉัน ไม่อยากเจอใคร พอเป็นอย่างนี้ คนที่ทำงานในบ้านตลอดเวลาอย่างฉันจะได้เจอใครกับเขาล่ะ

     แต่ว่าตอนนี้ แต่นแต๊นนน -- ฉันเริ่มเปิดตัวมีเพื่อนกับเขาแล้วนะ เป็นเพื่อนร่วมชั้นโยคะชื่อทีน่า เธอเคยชวนฉันคุยเรื่องอาหารไทย ชวนไปเข้าห้องยิม ชวนไปเดินห้างเปิดใหม่ใกล้บ้าน ชวนดื่มชาที่บ้าน แต่ฉันปฏิเสธตลอด จนเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ฉันได้ข่าวว่าลูกชายของเธอหกล้มหัวแตกต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล เลยขอเบอร์โทรศัพท์จากเพื่อนร่วมชั้นอีกคน ส่งเอ็สเอ็มเอสให้กำลังใจ ตอนเย็นเอาเครื่องแกงที่ซื้อมาฝากจากเมืองไทยไปให้ และเมื่อเธอชวนดื่มชา ฉันลังเลอยู่หนึ่งวินาทีก่อนจะตอบรับ นั่งจิบชาพุดคุยสักพักก่อนขอตัวกลับ แถมยังเสนอว่าคอร์สวันอังคารหน้า มาเรียนที่บ้านฉันก็ได้ เพราะห้องนั่งเล่นกว้างขวาง เฟอร์นิเจอร์ไม่เยอะ

     เล่าให้หวานใจฟัง หวานใจหัวเราะใหญ่ บอกว่าฉันมีความพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างสูงล้ำทีเดียว

     ลำดับต่อไป คือ การลดปริมาณการดื่มและหาความสุขง่ายๆ ที่หลงลืมไป -- งานการทางกำมะหยี่เริ่มซาลงแล้ว ฉันมีเวลาเงยหน้าโงหัวขึ้นมาจัดการชีวิตส่วนตัวของตัวเองมากขึ้น จากที่ต้องเคร่งเครียดทำงานที่ไหลมาไม่ขาดสายจนช่วงค่ำไม่มีกะใจจะทำอะไรอื่น นอกจากผ่อนคลายหน้าทีวีและจอกสุราเมามายให้ลืมให้หลับแบบไม่มีสติหลงเหลือ ก่อนจะโผเผตื่นขึ้นมารีดเค้นพลังในวันรุ่งขึ้นย้อนกลับสู่วงจรอุบาทแบบเมื่อวานอีกครั้ง ฉันก็เริ่มหาวิธีกล่อมตัวเองให้คลายเครียดขึ้นนอนได้อย่างถูกสุขอนามัยกว่า คือ การอ่านหนังสือ

     แปลกแต่จริง การอ่านหนังสือหลังอาหารค่ำตอนกลางคืนกลายเป็นกิจกรรมที่ทำให้ฉันหลับได้ผลชะงัด ต่างจากการอ่านหนังสือเพื่อแปลหรือเพื่ออีดิตในช่วงหลางวัน ฉันเว้นการอ่านหนังสือตอนกลางคืนเพื่อหย่อนใจไปนานทีเดียว เพราะรู้สึกว่าตอนกลางวันอ่านมามากพอแล้ว เพิ่งกลับมาอ่านใหม่ด้วยการปรับโหมดอ่านเพื่อความสำราญล้วนๆ (แต่ก็แอบทำงานด้วยนิดหน่อย เพราะอ่านแล้วต้องตัดสินใจว่าจะซื้อลิขสิทธิ์มาแปลดีหรือเปล่า) เมื่อไม่นานมานี้เอง




     อีกกิจกรรมหนึ่งที่จะเพิ่มเข้ามาเป็นการเปิดประสาทสัมผัส รับรสชาด เพิ่มความรู้ทางวัฒนธรรมของอินเดีย ประเทศที่ฉันมาอาศัยอยู่ เริ่มต้นจากการทำความรู้จักอาหารอินเดีย --- ฉันตั้งใจจะออกไปกินอาหารอินเดียมื้อกลางวันนอกบ้านให้บ่อยขึ้น ปกติฉันก็ทำบ้างไม่ทำบ้างขึ้นอยู่กับความหนักหนาของงานการหน้าจอ ถ้าหนักมากก็กินง่ายๆ ข้าวคลุกไข่ต้มหรือปลาทอด กับน้ำพริก "โกจู" (มะเขือเทศ หอม กระเทียม พริก ผักชี-- เผาทั้งหมดให้มีกลิ่นหอมๆ แล้วบดคลุกให้เข้ากันเติมเกลือ ได้รสเปรี้ยวๆ เค็มๆ เผ็ดๆ อร่อยถูกใจ)ที่มันจุฬาทำให้กิน หรือไม่ก็ต้มมาม่าใส่ลูกชิ้นที่ซื้อตุนจากเมืองไทย

     มาตอนนี้งานไม่เยอะ มีเวลาแล้ว ฉันจึงคิดออกไปกินอาหารอินเดียกับมันจุฬาบ่อยขึ้น เหตุผลหลักคือ หวานใจไม่ยอมออกไปกินอาหารค่ำที่ร้านอาหารอินเดีย อ้างว่าตอนกลางวันเขากินอาหารอินเดียที่ทำงานเกือบทุกวัน ดังนั้นมื้อค่ำ เขาขอเถอะ ฉันเอออวยให้ตามคำขอมาหนึ่งปี (กรี๊ด ฉันอยู่อินเดียมาปีนึงแล้วหรือนี่) ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่า ไม่ไหวแล้ว ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ต่อไป ฉันไม่ได้รู้จักอาหารอินเดียแน่ๆ วางเอาไว้ว่า เดี๋ยวพอเริ่มรู้จักอาหารมากขึ้นอาจจะลองไปเข้าคอร์สสอนทำอาหารอินเดียให้เป็นกิจจะลักษณะด้วย

     สิ่งสุดท้าย คือ การบำรุงบำเรอร่างกาย ที่อยากทำให้ได้อย่างสม่ำเสมอ นอกจากการออกกำลังกายทุกวันแล้วคือการชาร์จแบ็ตคลายเส้นที่ตึงเปรี๊ยะให้ตัวเองวันละนิด ด้วยการนอนเก้าอี้นวดในบ้าน หรือไม่ก็ขยับออกไปสปาใกล้บ้าน รวมไปถึงการจัดเวลางีบนอนกลางวัน ช่วงบ่ายด้วย



     วางโครงการไว้สวยหรู แต่ฉันก็รู้อยู่ล่ะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ หรอก ใช่ว่ามีสามีดี มีงานการดี มีฐานะการเงินดีแล้วชีวิตจะดีได้เลยโดยอัตโนมัติ ทุกอย่างต้องมีสมดุลและสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการมีวินัย เมื่อฉันสามารถควบคุมตัวเองไม่ให้เหลวไหล จนทำความตั้งใจทั้งหลายทั้งปวงข้างบนให้เป็นกิจวัตรปกติได้สำเร็จ ฉันถึงจะตอบรับคำพูดของใครๆ ที่ว่า ชีวิตของฉันช่างดีจริงๆ ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ


ป.ล. ภาพประกอบวันนี้คือหน้าปกหนังสือแปลของฉัน เรื่อง "ช้ำจนชิน"ที่สำนักพิมพ์วงกลมจะจัดพิมพ์วางแผงเร็วๆ นี้ ค่ะ

>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่






Create Date : 20 กรกฎาคม 2552
Last Update : 20 กรกฎาคม 2552 13:42:05 น. 0 comments
Counter : 898 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.