อยากจะขึ้นต้นบล้อกนี้ด้วยการพูดว่า "เวลาช่างไหลเร็วรี่ กระพริบตาอีกทีเจอกลางเดือนมีนา" หากยั้งใจไว้เพราะช่วงหลังนี้ฉันขึ้นต้นบล้อกด้วยประโยคทำนองนี้ติดๆ กันหลายครั้งแล้ว
แต่ทำอย่างไรได้ ฉันรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ นี่นา
ถึงบล้อกแก็งค์จะปิดปรับปรุงยาวนานกว่าเคย แต่ฉันยังไม่วายแวะเข้ามาดูทุกครั้งที่ออนไลน์ ซึ่งหมายถึงทุกวัน วันละหลายๆ ครั้ง เอิ๊ก ... แปลกดี ฉันไม่มีอาการลงแดง กระหือรืออยากจะเขียนจนจะขาดใจตายอย่างที่หวาดเกรงไว้ก่อนหน้านี้ คงเป็นเพราะตารางชีวิตค่อนข้างแน่นเอี้ยด ไม่เหลือเวลาให้เจียดมานั่งสงบๆ ทบทวนเรื่องราวที่เกิดขึ้นเสียเท่าไหร่
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันเหินฟ้าสิบสามชั่วโมงแบบไม่หลับไม่นอน นั่งตาเป๋งดูหนังไปสามสี่เรื่องรวด แล้วโผเผลงเครื่องมานั่งรอต่อปีกกลับเมืองไทยที่สนามบินสิงค์โปร์สามชั่วโมง นั่งหลับๆ ตื่นๆ อีกเกือบสองชั่วโมง (มั้ง...จำไม่ได้แล้ว สมองไม่รับรู้อะไรแล้วในตอนนั้น) ออกจากสนามบินต่อแท็กซี่ถึงกรุงเทพฯ ตอนเที่ยงวันจันทร์โดยสวัสดิภาพ เข้าไปรบกวนซุกหัวนอนที่บ้านฟ๊าบหนึ่งคืน ซัดเตกิลาของเพื่อนแกล้มท้อดองไปเกือบหมดขวด ... แหม มันเข้ากั๊นเข้ากัน
บ่ายอังคาร นั่งรถทัวร์กลับระยองบ้านเรา พักผ่อนยังไม่ทันหายเหนื่อยดี เอ้า... เที่ยงคืน ทำงานแปลข่าวต่อ ฉันทำเสร็จตั้งแต่ตอนตีสองสอบห้า แต่ยังโต๋เต๋นั่งอ่านบทความที่ตัวเองเขียนตามหน้านิตยสารต่างๆ ที่คุณนายแม่จัดเตรียมคั่นหน้าไว้ให้ ถึงจะเขียนเองกับมือ จำได้แทบทุกประโยค แต่การอ่านบทความที่ตีพิมพ์บนหน้านิตยสารมันช่างต่างกับอ่านบนหน้าจอคอมพิวเตอร์เสียนี่กระไร ... โฮะๆๆๆ
อ่านงานตัวเอง รอบที่ร้อย และงานคนอื่นๆ ร่วมเล่มไปเรื่อยๆ พร้อมกับละเลียดจิบคอนยัค เงยหน้าขึ้นมาอีกตี หวาย... ตีห้า ขึ้นนอนดีกว่า
วันนี้... ตั้งใจว่าจะตื่นเช้าหน่อย จนแล้วจนรอดทำได้แค่สิบเอ็ดโมงกว่าๆ มึนหัวตึบๆ แต่ยังไงก็ต้องลุก เพราะวันนี้มีภารกิจหลักคือต้องเอาเอกสารไปส่งที่สรรพกร ตามจดหมายเรียกที่เขาส่งมาขอดูใบหักภาษี ณ ที่จ่าย จากแบบเสียภาษีที่ฉันยื่นทางอินเตอร์เน็ตก่อนไปฝรั่งเศส
พ่ออาสานั่งรถไปเป็นเพื่อน ระหว่างทางเราพูดคุยกันเรื่องโน้นนี้นั้น ฉันอัพเดทเรื่องการแต่งงานของตัวเอง พ่อเม้าท์คุณนายแม่ คุยถึงเรื่องกฎหมายสมรส เรื่องภาษีและสรรพเพเหระ ปกติเวลาอยู่บ้าน ฉันจะไม่ค่อยได้คุยกับพ่อเสียเท่าไหร่เพราะมีคุณนายแม่เป็นทั้งสื่อมวลชน (คอยซักถาม) และโฆษก (คอยกระจายข้อมูล) ให้อยู่แล้ว พอได้อยู่ด้วยกันตามลำพังที ก็เป็นโอกาสได้พูดคุยกันประสาพ่อลูกที
พอถึงสำนักงานสรรพากรระยอง ฉันเข้าไปติดต่อ ปรากฎว่าฉันยื่นแบบเสียภาษีผิดประเภท แทนที่จะเป็นภงด.90 สำหรับคนอาชีพอิสระที่มีรายได้จากการเขียนและลิขสิทธิ์ ฉันดันไปยื่น ภงด.91 สำหรับผู้มีรายได้จากการจ้างงานประจำ
ไม่เป็นไร ยื่นผิดก็ยื่นใหม่ได้ เจ้าหน้าที่สรรพากรใจดีจัดการกรอกข้อความใส่แบบฟอร์มบนจอคอมพิวเตอร์ให้ฉันใหม่จนเสร็จเรียบร้อย ฉันจะได้รับเงินภาษีที่ถูกหักคืนน้อยกว่าเดิม เพราะต้องหักรายได้ตามมาตรา 40 (3) ค่าแห่งลิขสิทธิ์ด้วย ฉันทิ้งใบหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ เผื่อเขาจะขอดูอีกรอบสำหรับการยื่นครั้งนี้ ถ้าไม่มีปัญหาอะไรทางสรรพากรจะส่งเช็คคืนภาษีมาให้
เรียบร้อยไปหนึ่งเรื่อง .... แวะจ่ายค่ามือถือ กินก๋วยเตี๋ยว เยี่ยมย่า ก่อนกลับบ้าน
ส่วนเรื่องงานในตอนนี้ เฉพาะหน้ารอท่าอยู่คือการแปลหนังสือการ์ตูนนิยายภาพของ Enki Bilal ซึ่งจะต้องทำให้เสร็จประมาณกลางเดือนหน้า นอกจากนั้นก็มีงานแปลสิ่งพิมพ์ต่างๆ ของงาน La fete พรุ่งนี้ฉันมีนัดกับเจ้าหน้าที่สถานทูตให้เข้าไปคุยงานกันตอนสี่โมงเย็น ... กะว่าจะออกจากบ้าน ขึ้นรถเที่ยวสิบเอ็ดโมงครึ่งหรือเที่ยวครึ่งน่าจะทัน ฉันรวบยอดธุระปะปังงไว้ว่าจะเข้าไปที่ออฟฟิศฟรีฟอร์มแล้วต่อด้วยมติชนในวันศุกร์ทีเดียวเลย
เอาล่ะ นี่คือชีวิตในช่วงนี้
แล้วชีวิตช่วงก่อนหน้านี้ล่ะเป็นยังไง จะมีใครอยากรู้มั้ยเนี่ย ...
ชีวิตช่วงก่อนหน้านี้ กิจกรรมที่ทำสรุปได้สี่ห้าอย่าง คือ กิน - นอน -ทำงาน - ไปพิพิธภัณฑ์ -
กิน
ไปฝรั่งเศสเที่ยวนี้ ฉันกินแหลก กินอุตลุต เพราะมีเพื่อนร่วมกินคือหวานใจ นอกจากจะซื้อของมาทำกินกันเองที่อพาร์ทเมนต์และที่บ้านต่างจังหวัดวันหยุดเสาร์อาทิตย์แล้ว เรายังไปกินตามร้านอาหารต่างๆ ในปารีส โดยเลือกจากหนังสือไกด์ร้านอาหาร เน้นร้านถูกๆ อร่อยๆ เข้าว่า ถือคติร้านแพงๆ เก๋ๆ น่ะจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ มีเกลื่อนกลาดถมไป ไม่เห็นจะสนุกเร้าใจตรงไหน
ของถูกและดีในปารีสต่างหากที่เพิ่มสีสันให้ชีวิต ถือเป็นส่วนหนึ่งของการผจญภัยเนื่องจากเป็นของหายาก ... ฉันกะว่าจะไปทดลองชิมดูให้ครบทุกร้าน เพื่อใช้ประกอบในหนังสือ "เที่ยวปารีสแบบมิวๆ" ด้วย
ภาพประกอบนี้ถ่ายเมื่อคืนวันศุกร์ ฉันกับหวานใจไปกินราเคล็ตต์กันที่บ้านของเดเด้ เพื่อนรักของหวานใจ อิ่มอร่อยแบบไม่อั้น พอหนังท้องตึง หนังตาฉันเริ่มหย่อน หลับคาโซฟา
ผู้ที่สนใจอยากดูภาพอาหารเพิ่มเติม
สามารถคลิกไปดูกระทู้ที่ฉันเอาภาพไปโชว์ในห้องหนอนได้
>> ที่นี่...
นอน
ช่วงอยู่ปารีส ฉันนอนน้อยกว่าตอนที่อยู่บ้านระยองเสียอีก ยังไม่ถึงเที่ยงคืนฉันก็มุดเข้าเตียงแล้ว ส่วนเวลาตื่นก็ไม่เคยเกินเก้าโมงเช้า ช่วงแรกๆ ตื่นเจ็ดโมงเช้าด้วยซ้ำ แต่หลังๆ ชักไม่ไหวฮ่ะ
ที่ฉันสามารถเข้านอนเร็วได้ คิดว่าเป็นเพราะชีวิตในปารีสบีบบังคับให้ฉันต้องออกกำลังด้วยการเดิน เดิน และเดิน มากกว่าชีวิตที่เมืองไทย ทั้งเดินไปลงรถไฟใต้ดิน เดินในสถานี เดินขึ้นสู่ถนน เดินตามถนน เดินขึ้นบันไดอพาร์ทเมนต์
คนที่ไม่เคยขยับเนื้อขยับตัวเลยอย่างฉัน พอต้องออกกำลังและขับไขมันสะสมออกมาสู้ความหนาวที่ไม่เคยคุ้น พลังงานก็เลยตกฮวบฮาบทุกคืนหลังกินอาหารค่ำ
คนที่น่าสงสารก็คือหวานใจที่รัก เที่ยวนี้เราสองคนไม่ค่อยได้กรุ๊กกริ๊กจุ๊กจิ๊กกันเสียเท่าไหร่... แม่คุณเล่นนอนหลับเป็นตายหรือไม่ก็เมาพับคาเตียงอย่างนั้น
ทำงาน
วันจันทร์ถึงศุกร์ ไม่เคยมีวันไหนที่ฉันได้อยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำงานเลย ช่วงเวลาทำงานของฉันคือตอนเก้าโมงเช้าจนถึงบ่ายโมง หลังจากหวานใจออกไปทำงานตอนแปดโมง ฉันก็เริ่มเปิดโน๊ตบุ๊ค ต่อเน็ตเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ดูรายงานข่าวทางทีวีเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการเขียนคอลัมน์
เก้าโมงเช้าเป๊ง เปิดไฟล์ เริ่มทำงานประจำวันนั้น ที่กินเวลามากที่สุดคืองานสัมภาษณ์มาร์แต็ง ปาจ ในสองสัปดาห์แรก มีทั้งหาข้อมูล สรุปข้อมูล เขียนประวัติ เติมเนื้อหาสารพัด
ระหว่างนั้นก็มีงานเขียน "จากยุโรป" ที่เดี๋ยวลงสลับเล่มเดี๋ยวลงติดต่อ สัปดาห์ไหนไม่มีของฉันลง ฉันจะห่อเหี่ยวขี้เกียจและเซ็ง สัปดาห์ไหนได้ลง จะสดชื่น กระดี๊กระด๊า กำลังใจมาเพียบ ตอนหลังๆ ฉันเริ่มจับทางเพื่อทำใจได้แล้วว่าคอลัมน์นี้ไม่ได้เป็นคอลัมน์ประจำที่ขาดไม่ได้ของมติชนสุดสัปดาห์ ถ้าพื้นที่เขาจะลงให้ ถ้าไม่มีก็ไม่ได้ลง
ข้อดีอย่างหนึ่งคือ ฉันไม่ต้องเครียดกับการต้องส่งต้นฉบับทุกๆ สัปดาห์ เขียนไปเรื่อยๆ เขียนเสร็จก็ส่ง ได้ลงก็ลง ไม่ได้ลงก็รอลงเล่มต่อๆ ไป ... สบายใจดีเสียอีก ไม่ต้องกังวลว่ากำลังถ่วงงานของคนอื่นอยู่
ส่วนงานแปลที่รักและคิดถึงอย่างสูง .... ได้แปล Vous revoir วันนึงมั้ง เริ่มแกะการ์ตูน Bilal ได้สี่ห้าหน้า
สิ่งที่ดีอีกอย่างนึงเวลาอยู่ปารีส คือ ได้ซื้อหนังสือที่น่าสนใจมาเปิดอ่านเพื่อเตรียมเสนอแปลได้ดังใจ ไม่ต้องรอ ไม่ต้องเสียดายค่าส่ง
ฉันปรารภ (ต๊าย... คำหรู เขียนถูกหรือเปล่าก็ไม่รู้) กับหวานใจว่า การได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองชอบ การได้อ่านหนังสือเพื่อการทำงานแบบนี้ เป็นสิ่งที่นำความสุขมาให้จริงๆ หรือเปล่า เพราะทุกขณะจิตคล้ายเป็นการทำงานไม่มีหยุดหย่อน บางทีชีวิตแบบหวานใจที่แยกระหว่างงานเพื่อหาเงิน กับสิ่งที่ชอบคือการถ่ายรูปได้อย่างเด็ดขาดนั้นอาจจะเป็นชีวิตที่ผ่อนคลายกว่าชีวิตปนเปเปะปะแบบฉัน ซึ่งช่วงหลังๆ นี่ใครๆ ก็พากันพูดกรอกใส่หูว่าเป็นดั่งชีวิตในฝัน
ไปพิพิธภัณฑ์
ปารีสเป็นสรวงสวรรค์ของคนชอบดูงานศิลปะ เพราะมีพิพิธภัณฑ์มากมายให้เลือกชมตามอัธยาศัย
ที่จริง ฉันไม่คิดว่าฉันเป็นคนร๊ากศิลปะ หรือมีศิลปะในหัวใจสักเท่าไหร่หรอก ฉันไปพิพิธภัณฑ์เพื่อจะได้เปิดหูเปิดตาดูทัศนคติและโลกทัศน์ของเพื่อนร่วมโลกเก่งๆ พิพิธภัณฑ์เป็นสถานที่ที่สงบเงียบ เวลาเหมือนจะหยุดเดินเมื่อเข้าไป ไม่มีความเร่งรีบ ไม่มีเสียงดังหนวกหู ผู้คนจะมีมารยาทดีเป็นพิเศษเวลาอยู่ตามพิพิธภัณฑ์ ที่สำคัญทำให้ฉันได้ชื่นชมคนที่สร้าง "ผลงาน" ออกมา
จะว่าไป ฉันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเป็นงานประเภทไหน จะงานวาดหรืองานจักสาน ถ้าเป็นการทำด้วยสมองและสองมือ ฉันพร้อมจะชื่นชม แต่ที่เข้าไปพิพิธภัณฑ์เพราะมันหาดูง่ายกว่าตะกร้าที่ถักทออย่างประณีตจริงๆ เท่านั้นเเอง
ไปปารีสเที่ยวนี้ นอกจากพิพิธภัณฑ์โรแด็งและศูนย์จอร์จ ปอมปิดู ที่เล่าไปเมื่อบล้อกก่อนๆ ฉันก็ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่กับด็อกเซ่
ข่าวดีที่ได้รู้ คือ พิพิธภัณฑ์ใหญ่ทั้งสองแห่งนี้อนุญาตให้ถ่ายรูปงานศิลปะที่ตั้งโชว์ประจำได้แต่ห้ามใช้แฟลช (อี๊... ใครจะใช้เหรอ แฟลชน่ะ หยาบคายจริงๆ) ฉันเลยเกิดความคิดมีโปรเจคใหม่ (อีกแล้วครับท่าน) ว่าจะถ่ายรูปคอลเล็กชั่นส่วนตัวชื่อ "งานศิลปะในพิพิธภัณฑ์" ด้วยไฟล์ raw และหัดใช้โฟโตช้อฟแต่งภาพตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้นปี
ผู้ที่สนใจอยากดูภาพรูปปั้นเพิ่มเติม
สามารถคลิกไปดูกระทู้ที่ฉันเอาภาพไปโชว์ในห้องหนอนได้
>> ที่นี่...
>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่