- 05 Mai 08 - แกะรอยแกะมาแกะดาว

แกะรอยแกะมาแกะดาว

La chase du mouton sauvage étoilé

     วันนี้ตั้งใจจะตื่นสาย หมายใจว่าจะไม่ปล่อยให้มีสิ่งภายนอกมาบังคับให้ต้องลุกขึ้น งานการรอได้ งานบ้านรอได้ แต่ก็ดันมีเหตุภายในทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ บีบบังคับให้ต้องลุกจากแตียง นั่นคือ ฝันร้าย กับ ปวดฉี่

     ลืมตาปิดสวิตช์ฝันร้าย ลุกจากเตียงไปปลดทุกข์แล้วเปิดคอมพ์ งานช่วงนี้มีอะไรบ้างหนอ มีงานแปลเอกสารจากสมาคมฝรั่งเศสสองสามหน้าที่ต้องส่งวันพร่งนี้ มีตรวจแก้ต้นฉบับแปล มีติดต่อตามเรื่องลิขสิทธิ์ มีอีเมลให้เขียนถึงนักแปลสำหรับการทำงานเล่มใหม่ๆ มีหนังสือเล่มใหม่รอเริ่มต้นแปล มีคอลัมน์ให้เขียนสองชิ้น มีเรื่องให้เขียนลงบล้อก

     เฮ้อ...มีความสุขจัง เวลารู้ว่ามีงานให้ทำ สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันอยู่ในช่วงพักรอเริ่มงานชิ้นใหม่ รอนักแปลส่งต้นฉบับกลับมาดูรอบสุดท้าย รอสนพ.ตัดสินใจเรื่องหนังสือที่จะให้แปล รู้สึกว่างเปล่าเสียไม่มีดี พอนักแปลส่งต้นฉบับกลับมาให้ พอเริ่มทำงานอีกครั้ง พอสมาธิเริ่มเข้าสู่เนื้องาน จิตใจก็สงบ ไม่เผลอแว่บไปคิดถึงเรื่องที่รบกวนหัวใจในช่วงหลังๆนี้เลยแม้แต่น้อย

     ฉันเลยได้ฉุกคิดเล็งเห็นว่า การทำงานเป็นการทำสมาธิของฉัน ฉันต้องมีงานมาให้ยึดเหนี่ยว ถ้าให้อยู่เฉยๆ สำรวมจิตใจหลับตาทำสมาธิ ฉันไม่สามารถปัดเรื่องต่างๆออกไปได้อย่างหมดจด เมื่อวันศุกร์ ฉันตัดสินใจคลี่คลายความขัดแย้งที่รบกวนปัจจุบันเพื่อให้จิตใจได้มีความสงบสุข ...ได้ผล ความปรองดองกลับคืนมาอีกครั้ง ฉันตัดเรื่องชวนเศร้าหมองออกไปได้ แต่ก็สงบสบายใจอยู่ได้ไม่นาน จิตใจที่ไม่เคยชินกับความสงบยามไม่ได้ทำงานของฉันเริ่มควานหาเรื่องโน้นเรื่องนี้มากองสุมๆให้รกหัวใจเล่นๆ ความกังวลถึงอนาคตคืบคลานเข้ามา สลับกับความละอายใจและคำหยามเยาะการกระทำของตัวเองในอดีต ... ดูสิคนเรา

     เอาน่า ... เรื่องของอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่ไม่นอน อาจจะร้ายได้ แต่ก็อาจจะดีได้เช่นกัน ส่วนเรื่องในอดีต มันผ่านไปแล้ว คิดไปก็ไลฟ์บอย เหมือนเกาแผลเป็นแสบๆคันๆ แต่อย่าไปคิดถึงมันเลยจะดีกว่า




     อัพเดทชีวิตกันเหอะเนอะ

     เสาร์-อาทิตย์ที่ผ่านมา เป็นสุดสัปดาห์ของการ "ตามล่าแกะ เอามาแกะดาว" ตากล้องประจำสนพ.กำมะหยี่ คือ หวานใจ สามีของฉันเอง เกิดอยากจะถ่ายรูปไฟแช็กที่มีรูปแกะดาวสลักอยู่ตามที่ปรากฎในเรื่อง "แกะรอยแกะดาว" มาใช้เป็นปกของหนังสือเล่มนี้ที่เราจะตีพิมพ์ในอีกไม่กี่เดือนนี้

     พ่อเจ้าประคุณลงทุนซื้อไฟแช็กดูปองด์ เพียรหารูปแกะเพื่อนำมาเป็นแบบให้ช่างสลักแต่ก็ไม่ถูกใจ สุดท้ายเลยตัดสินใจออกตามล่าถ่ายรูปแกะมาแกะดาวด้วยตนเอง และแกะที่ออกตามล่าก็ใช่ว่าจะเป็นแกะที่ไหนก็ได้นะคะ ต้องเป็นแกะที่เลี้ยงในทุ่งเค็ม (Pré salé lamb)อันเป็นทุ่งหญ้าที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล ได้รับลมเค็มๆจากทะเล เนื้อแกะที่เลี้ยงแบบนี้เลยนุ่มหวาน มีกลิ่นหญ้าหอมกรุ่น อร่อยกว่าเนื้อแกะทั่วไป

     โชคดี อ่าวลาซอมม์ (baie de la Somme) หนึ่งในสถานที่เลี้ยงแกะทุ่งเค็มอันเลื่องชื่อของฝรั่งเศสอยู่ในจังหวัดเดียวกับบ้านต่างจังหวัดที่บุสซี คืนวันศุกร์ แวะกินกุสกุสร้านประจำรองท้องก่อนแล้วเราสองคนก็เริ่มออกเดินทาง กระโดดขึ้นจิ๊บจิ๊บมุ่งหน้าขึ้นเหนือในทันที

     เช้าวันรุ่งขึ้น จิ๊บจิ๊บพาตระเวนดูทั่วอ่าวลาซอมม์อยู่พักใหญ่ เราสองคนสอดส่ายสายตามองหาฝูงแกะแต่ก็ไม่เห็นมีสักกะตัว สัตว์ที่กินหญ้าอยู่ในทุ่งหญ้าข้างทางมีแต่สัตว์อื่นๆ เช่น วัว กระทิง ม้า ละเลียดกินหญ้าเหมือนเยาะเย้ย หวานใจเริ่มร้อนรนจนถึงขั้นหมดหวัง หรือว่าช่วงนี้เป็นช่วงของการล้มแกะ เลยไม่มีแกะตามทุ่งหญ้าหนอ

     แวะจิบเบียร์ กินอาหารกลางวันที่อูร์เดล (Hourdel)ซึ่งเป็นบริเวณแหลมที่ยื่นออกไปไกลที่สุดของอ่าวลาซอมม์ กินอิ่มท้องแล้ว หวานใจเริ่มอารมณ์ดีขึ้น ปลงแล้วว่าคงจะหาแกะไม่เจอ งั้นขับรถเล่นถ่ายรูปกันเพลินๆดีกว่า แกะเกอะช่างมัน

     เลี้ยวรถเข้าไปในถนนแคบๆ เลาะเข้าหมู่บ้านเล็กๆ ถ่ายรูปบ้านเรือนเก่าแก่จะพังมิพังแหล่ แวะเข้าห้องน้ำที่ศูนย์แคมปิ้งแห่งหนึ่ง สั่งเบียร์มาดื่มที่ลานหน้าร้านรับแสงแดดจ้าจัดต้นฤดูใบไม้ผลิกันคนละแก้ว หวานใจเดินวนถ่ายรูปรอบๆ

     ที่ลานหน้าร้านนั้นมีกลุ่มนักแคมปิ้งประมาณสิบกว่าคนนั่งดื่มเหล้าเรียกน้ำย่อยกันตั้งแต่บ่ายสอง ส่งสำเนียงพื้นถิ่นปิการ์ดีเฮฮา พอเราสองคนลุกขึ้นเตรียมจะออกจากที่นั่น ก็มีคนหนึ่งในกลุ่มร้องว่า ถ่ายรูปหน่อย แน่ล่ะว่าเขาร้องบอกหวานใจเพราะเห็นถือกล้อง ส่วนแคนดีกล้องของฉันนอนนิ่งอยู่ในกระเป๋า

     กล้องของหวานใจเป็นกล้องฟิล์มมามิยะ ถ่ายรูปขนาดกลางสำหรับคอลเล็คชั่นปิกาดีบ้านเกิด จะเอามาใช้ถ่ายพร่ำเพรื่อคงไม่เหมาะ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้จะปฏิเสธก็คงไม่ได้ ในเมื่อนานๆจะมีคนที่อยากให้ถ่ายรูปตัวเองที ฉันเลยเปิดกระเป๋าหยิบแคนดี้ขึ้นมาถ่ายให้ ก่อนจะกลับไปขึ้นจิ๊บจิ๊บแวะเข้าไปซื้อขาแกะทุ่งเค็มที่ร้านขายเนื้อในหมู่บ้าน

     เป็นการแก้แค้นเล็กๆ ถึงไม่ได้รูป ได้กินก็ยังดี



     ซื้อขาแกะแล้ว ขับรถออกจากหมู่บ้านนั้น ข้างทางมีลานเปิดขายผลไม้ ฉันบอกให้หวานใจแวะเข้าไป ขณะกำลังชะลอรถเลี้ยวเข้าไปเตรียมจะจอด ฉันกับหวานใจก็ร้องกรี๊ดออกมาแทบจะพร้อมกัน เพราะภาพที่เห็นตรงหน้าในทุ่งหญ้าข้างๆลานขายผลไม้ มีฝูงแกะกำลังกินหญ้าเป็นร้อยๆตัว

     พอจอดรถได้ ฉันรีบกระโดดลง ตั้งกล้องเล็งยิงแกะทันที ถึงเลนส์ที่ฉันใช้จะไม่ได้เป็นเลนส์ซูม ภาพที่ได้เป็นแค่ภาพจิ๊บๆจ๊อยๆก็ตาม ส่วนหวานใจเตรียมเลนส์ซูมมาแล้วน่าจะยิงได้ภาพดีกว่า แต่ก็เจออุปสรรคด้านเวลา เพราะยังไม่ได้ประกอบเลนส์กับตัวกล้อง แถมเก็บกล้องไว้ท้ายรถ กว่าจะเปิดท้าย กว่าจะประกอบกล้องเสร็จ

     พอหันกลับไปหาแกะ เราสองคนก็ต้องร้องกรี๊ดขึ้นมาพร้อมกันอีกรอบ เพราะหมาไล่แกะวิ่งเข้ามาต้อนแกะให้ไปจับกลุ่มรวมตัวกินหญ้าห่างออกไปจากริมถนนที่เราจอดรถอยู่


     -- ความพยายามอยู่ที่ไหน แกะอยู่ที่นั่น -- เราไม่ย่อท้อ ออกรถเลียบริมถนนเล็งหาจุดมีแกะอยู่ใกล้ถนนมากที่สุด พอเจอจุดนั้นก็จอดรถ หวานใจปีนขึ้นหลังคาจิ๊บจิ๊บ ยกกล้องติดเลนส์ซูมขนาดมหึมา เล็ง แล้ว ยิง ยิง ยิง จนสาสมใจ


     ไม่นานนัก ภารกิจก็สำเร็จดั่งใจหมาย สองสามีภรรยาเริงร่าขับรถกลับบ้าน จุดเตาผิง ยกเก้าอี้โซฟาหนังออกไปตั้งริมสนาม ละเลียดเบียร์




     รอรับประทานขาแกะอร่อยติดดาว





ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 05 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 5 พฤษภาคม 2551 17:48:07 น.
Counter : 821 Pageviews.  

- 02 MAY 08

พฤษภาแล้วจ้ะ

Au mois d'avril, ne quitte pas un fil, au mois de mai, pas guère, juin juillet août, tout


     "เดือนเมษา ห่มผ้าหนาๆ เดือนพฤษภา แต่งตัวตามสบาย มิถุนา กรกฎา สิงหา ถอดหมดก็ยังได้"

     ถ้าไม่ได้มีโอกาสมาอยู่ในประเทศเมืองหนาวที่ฤดูกาลต่างๆแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดเจน รู้สึกได้ถึงกระดูก ฉันคงไม่เข้าใจว่าทำไมในวรรณกรรมต่างประเทศ โดยเฉพาะเมืองหนาวถึงชอบพูดถึงเรื่องฤดูกาลกันนัก

     พอได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของฤดูกาลต่างๆ เห็นสีสันที่ผลัดกันเข้ามาให้ชม ได้อยู่ที่นี่แบบครบรอบทั้งปี ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่า ฤดูกาลนั้นมีความสำคัญกับความคิด ความรู้สึก พฤติกรรมของคนที่อยู่ประเทศตะวันตก ถึงขนาดมีสุภาษิตคำพังเพยเกี่ยวกับฤดูกาลและเดือนต่างๆ อย่างที่ฉันยกมาเปิดหัวข้อในวันนี้

     ตอนอยู่เมืองไทย ฉันไม่ค่อยรู้สึกถึงเรื่องฤดูกาลสักเท่าไหร่ เพราะจะว่าไปก็มีแต่หน้าร้อน ร้อนมาก ร้อน Ship Hi สลับกับหน้าฝนที่เลื่อนไปเลื่อนมา มากระปริบกระปรอย มามั่งไม่มามั่ง การได้อยู่ในอุณหภูมิที่ร้อนค่อนข้างสม่ำเสมอ ดีหรือเปล่า บางทีฉันก็ตั้งคำถามนี้กับตัวเอง

     ดีน่ะดีแน่ คือ ไม่ต้องทนหนาวสั่น เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แต่ที่อาจจะไม่ดีคือ อารมณ์ ความรู้สึกและความรู้สึกชื่นชมการเปลี่ยนแปลงของอากาศ คงจะปรากฎไม่มากนักในความรู้สึกของคนไทย (หรือคนอื่นรู้สึก แต่ฉันไม่รู้สึกก็ไม่รู้ ฮ่าๆ)



     กลับมาอัพเดทชีวิตกันดีกว่าเนอะ

     เมื่อวานวันที่ 1 พฤษภาคม วันแรงงาน ที่ฝรั่งเศสเป็นวันหยุดทำงานเหมือนประเทศทั่วไปในโลก หวานใจได้หยุดงานเช่นกัน เราตกลงกันว่าจะหลบการเดินขบวนกลางกรุงปารีสไปเดินเล่นกันที่แวร์ซายส์ ซึ่งอยู่ห่างออกไปทางตะวันตกเฉียงใต้ของปารีส

     ตอนแรกว่าจะขับลาดุชเชส มอเตอร์ไซค์ดุคาติสีแดงเพลิงที่จอดรออยู่ในที่จอดรถไป แต่ลองเช็คพยากรณ์อากาศแล้ว มีโอกาสว่าฝนจะตกสูง เราเลยเปลี่ยนใจนั่งจิ๊บจิ๊บไปแทน

     แวร์ซายส์ เป็นหนึ่งในชานเมืองของปารีสที่ขึ้นชื่อเรื่องความเก่าแก่ เก๋ไก๋ เป็นที่อยู่ของคนรวย เดิมทีหวานใจก็มองภาพแวร์ซายส์ว่าหยิบโหย่ง หัวเก่าอนุรักษ์นิยม น่าเบื่อ เนื่องจากได้ยินแต่คำเลื่องลือประกอบกับภาพลักษณ์หรูหราของปราสาทแวร์ซายส์อันเลื่องชื่อลือไกล แต่มาวันหนึ่ง พ่อคุณมีโอกาสไปเยือนแวร์ซายส์ด้วยตัวเอง เพราะสั่งซื้อลำโพงคู่ใหม่ที่ร้านที่นั่น เลยได้เห็นเสน่ห์ของแวร์ซายส์ ที่มีตลาดสดใหญ่กลางเมือง บ้านเรือนสะอาดสะอ้านสวยงาม ความคิดแคบๆก็เลยเปิดกว้างขึ้น

     ส่วนฉันเองไม่เคยตั้งอคติ มีความคิดลบกับอะไรล่วงหน้าอยู่แล้ว เลยรู้สึกเฉยๆ


     กินอาหารกลางวันเสร็จ สองสามีภรรยาเดินเล่น สะพายกล้องคนละตัวถ่ายรูปแถวตลาดสดที่ปิดเงียบเนื่องในวันแรงงาน แล้วขับรถกลับเข้าปารีส แวะเข้าไปย่านมาเรส์ ย่านเก่าแก่เพื่อไปดูลาดเลาห้องพักที่เราจะต้องย้ายมาอยู่เป็นการชั่วคราวก่อนจะไปอยู่อินเดียกันสองอาทิตย์ เนื่องจากบริษัทขนย้ายจะมาเก็บข้าวของในอพาร์ทเมนต์ที่เนยยี่ลงเรือส่งไปบังกาลอร์กลางเดือนมิถุนายน

     ระหว่างที่เดินเล่นไปเรื่อยๆ นอกจากพยายามปรับความรู้สึกให้คุ้นเคยกับย่านที่ต้องมาอยู่ใหม่แล้ว ฉันกับหวานใจก็มองหาทำเลสำหรับร้านอาหารไทย ที่เราตั้งโครงการเอาไว้ว่าจะเปิดหลังจากไปอยู่อินเดียมา โดยระหว่างนี้จะคอยเก็บไอเดียจากร้านอาหารประเภทต่างๆที่เราเข้าได้เข้าไปลิ้มลองมาผสมเล็กผสมน้อย เพื่อเซ็ตคอนเสปต์ เปิดโฉมหน้าใหม่ให้กับร้านอาหารไทย ตั้งใจว่าจะให้เชฟหม่องมานั่งแท่นดูแลในครัว



     เป็นหนึ่งในฝันหวานๆที่เรามีร่วมกัน สร้างความสุขใจเมื่อยามพูดถึง ชวนครึ้มอกครึ้มใจดีไม่น้อยเลย




>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 02 พฤษภาคม 2551    
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 18:22:55 น.
Counter : 807 Pageviews.  

- 30 AVRIL 08

ชั่งหัวมัน

let it be.


ขอมอบเพลงนี้ให้กับทุกท่านที่รู้สึกว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับปัญหารุมเร้า

ขอมอบเพลงนี้ให้ทุกท่านที่รู้สึกพลุ่งพล่านงุ่นง่านหงุดหงิดหัวใจ

ขอมอบเพลงให้ท่านเตือนตัวเองว่า ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

จะร้ายแรงหรือเล็กน้อย

ในบางครั้ง

เราต้องรู้จัก


... ชั่งหัวมัน



แม่นแล้ว 'ชั่ง'หัวมัน!



When I find myself in times of trouble
Mother Mary comes to me
Speaking words of wisdom, let it be.
And in my hour of darkness
She is standing right in front of me
Speaking words of wisdom, let it be.
Let it be, let it be.
Let it be, let it be.
Whisper words of wisdom, let it be.
เมื่อฉันมีปัญหา
แม่เมรีมาหา
กล่าวคำขลัง ชั่งหัวมัน
เวลาฉันมืดมน
แม่ยืนตรงหน้า
แม่บอกว่า ชั่งหัวมัน
ชั่วหัวมัน ชั่งหัวมัน
ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
กระซิบคำขลัง ชั่งหัวมัน


And when the broken hearted people
Living in the world agree,
There will be an answer, let it be.
For though they may be parted there is
Still a chance that they will see
There will be an answer, let it be.
และเมื่อคนอกหัก
ทั้งโลกพร้อมพรัก
คำตอบจะโผล่มาเอง ชั่งหัวมัน
จะผ่านอะไรมา
ยังมีหวังได้เห็น
คำตอบจะโผล่มาเอง ชั่งหัวมัน


Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
There will be an answer, let it be.
คำตอบจะโผล่มาเอง ชั่งหัวมัน

Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Let it be, yeah let it be.ชั่งหัวมัน แม่นแล้ว ชั่งหัวมัน
Whisper words of wisdom, let it be.
กระซิบคำขลัง ชั่งหัวมัน

(instrumental break)

Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Let it be, yeah let it be.ชั่งหัวมัน แม่นแล้ว ชั่งหัวมัน
Whisper words of wisdom, let it be.
กระซิบคำขลัง ชั่งหัวมัน

And when the night is cloudy,
There is still a light that shines on me.
Shine until tomorrow, let it be.
I wake up to the sound of music
Mother Mary comes to me
Speaking words of wisdom, let it be.
ในคืนหมองเมฆ
แสงยังส่องมาถึง
ส่องยันวันพรุ่ง ชั่งหัวมัน
ตื่นกับเสียงเพลง
แม่เมรีมาหา
กล่าวคำขลัง ชั่งหัวมัน


Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
There will be an answer, let it be.
คำตอบจะโผล่มาเอง ชั่งหัวมัน

Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Let it be, let it be.ชั่งหัวมัน ชั่งหัวมัน
Whisper words of wisdom, let it be.
กระซิบคำขลัง ชั่งหัวมัน


>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 30 เมษายน 2551    
Last Update : 30 เมษายน 2551 22:14:43 น.
Counter : 925 Pageviews.  

- 29 AVRIL 08

เรื่อยๆมาเรียงๆ

Et la vie continue...comme d'habitude.


     เมื่อวันเสาร์ไปบ้านต่างจังหวัดที่บุสซี ควันหลงจากทริปบูร์โกญ หวานใจต้องเอาไวน์ที่ซื้อมาไปเก็บในตู้เก็บไวน์ และยังมีโครงการจะสั่งซื้อไวน์แบบ primeur ซึ่งเป็นไวน์ที่เพิ่งวางขายหลังจากใส่ขวดหมาดๆผ่านทางอินเตอร์เน็ต เพราะไวน์บางตัวราคามีแต่จะขึ้นกับขึ้น ในเมื่อพอมีกำลังซื้อเก็บตั้งแต่ตอนนี้ได้ ทำไมต้องรอซื้อไวน์เก่าเก็บแพงๆด้วย เก็บเองเลยไม่ดีกว่ารึ

     ดังนี้เอง หวานใจจึงสั่งซื้อตู้เก็บไวน์เพิ่มอีกหนึ่งตู้ เอาไว้ที่บ้านของพ่อแม่เขา พอบริษัทส่งไวน์มาส่งจะได้ทยอยเก็บในห้องใต้ดินเลย ไม่ต้องขนย้ายไปที่บ้านบุสซีให้เสียเวลา เป็นการกระจายความเสี่ยงในกรณีโจรเข้าบ้านด้วย



     เย็นวันอาทิตย์ กลับมาที่บ้านเนยยี่ ตอนหัวค่ำเข้าเมืองปารีสไป New Morning บาร์แจ๊ซระดับตำนานของปารีส เพื่อดูคอนเสิร์ตของ ELIANE ELIAS นักเปียโน-นักร้องชาวบราซิลที่มีชื่อเสียงโด่งดังในอเมริกาและในฝรั่งเศส

     ไปถึงตอนทุ่มนิดๆ แวะไปหาอะไรรองท้องก่อน เพราะคอนเสิร์ตจะเริ่มตอนสองทุ่ม ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะหงุดหงิดฟังเพลงไม่เพราะ เดินสอดส่ายสายตาไปในละแวกนั้น เจอร้าน "ดุรุม" อาหารของชาวเคิร์ด เป็นแผ่นโรตีสดย่างแล้วม้วนห่อใส้ต่างเช่น เนื้อสับ ไก่ แกะ ผักสลัด มะเขือเทศ ใส่แปร์ซิลสดกับหอมแดง นั่งม้านั่งเตี้ยกินกันหน้าร้านนั่นเอง รสชาติใช้ได้ถูกใจ ราคาถูกเงิน

     ทุ่มครึ่งเดินไปที่ถนนที่ตั้งของนิวมอร์นิ่ง แล้วก็ให้ตกใจ ว้าย...คนเข้าคิวต่อรอเข้ายาวเหยียด รอกันอยู่ครึ่งชั่วโมง ประตูบาร์เปิด ฉันเห็นประกาศที่ติดว่าถ่ายรูปได้ ถ้าไม่ใช้แฟลชแล้วก็เจ็บใจ โธ่ รู้อย่างนี้เอาแคนดี้มาเสียก็ดีหรอก (รูปที่ถ่ายทั้งหมดในบล้อกวันนี้ เป็นรูปที่ถ่ายจากมือถือค่ะ)ก่อนเริ่มแสดง โฆษกประกาศว่านักดนตรีขอร้องว่าอย่างถ่ายรูประหว่างการแสดง ... ฉันเลยหายเจ็บใจเป็นปลิดทิ้ง

     ถึงจะมาต่อคิวรอตั้งครึ่งชั่วโมง แต่เมื่อเข้าไปในโถงแสดงข้างใน ปรากฎว่าที่นั่งด้านหน้าถูกจับจองหมดแล้ว เหลือแต่เก้าอี้ที่ตั้งเรียงๆกันแถวหลังสุด หลังสุดก็หลังสุดวะ อย่างน้อยก็ยังได้นั่ง อีกอย่างนึง ฉันลืมเอาแว่นไปด้วย ถึงจะยืนได้ แต่ยืนไกลจากเวทีอย่างนั้น ยังไงก็เบลออยู่ดี ดังนั้นฉันจึงตัดใจไม่สนว่าจะต้องเห็นลีลาการเล่นของนักดนตรี ใช้หลับตาฟังเสียงเอาตลอดรายการ



คลิกลูกศร เพื่อฟังฝีมือการเล่นเปียโนของ ELIANE ELIAS




     วันจันทร์

     ฉันกับหวานใจตื่นแต่เช้า ออกจากบ้านด้วยกัน หวานใจไปส่งที่ศูนย์การศึกษาถาวร ที่ฉันต้องไปเข้าคอร์สรับรู้ข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส เป็นหนึ่งในขั้นตอนการรับคนต่างชาติเข้าเมืองตามนโยบายใหม่ของท่านประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี แห่งฝรั่งเศส ที่บอกว่า "ฝรั่งเศสจะไม่รับคนต่างชาติทั้งหมด แต่เมื่อจะรับ เราจะต้อนรับอย่างดี" เมื่อเข้าคอร์สนี้แล้ว ต่อไปเมื่อถึงกำหนดที่สามารถขอสัญชาติฝรั่งเศสแล้วแต่กรณีของแต่ละคน ใบประกาศที่ได้ในตอนจบจะใช้ประกอบการขอด้วย


     ไปถึงสถานที่นัดก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง สภาพตึกเก่าโทรม สกปรกตามประสาเขตชานเมือง สักพัก "นักเรียน" เริ่มทยอยกันมา บางคนฉันคุ้นหน้าคุ้นตาตั้งแต่ตอนที่ไปตรวจร่างกายเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน

     เก้าโมงเป๊ง ประตูเหล็กด้านหน้าศูนย์การศึกษาเปิด คนที่รออยู่ทยอยกันเข้ายื่นจดหมายและบัตรประจำตัวให้เจ้าหน้าที่รับไปซีร็อกซ์ แล้วเข้าไปนั่งรอในห้องรอด้านใน สักพักหนึ่งก็มีคนเรียกตัวเข้าชั้นเรียน

     "อาจารย์" ที่มาสอนเป็นหนุ่มลูกครึ่งโมร็อคโก-ฝรั่งเศส เปิดคอมฉายไฟล์พาวเวอร์พอยต์ ค่อยๆ ไล่อธิบายไปตั้งแต่บรรพบุรุษของฝรั่งเศส

     เริ่มต้นมาก็เริ่มทะแม่งๆแล้ว เพราะทัศนคติของอาจารย์คนนี้ต่อประเทศฝรั่งเศสและคนฝรั่งเศสแย่มาก ทุกอย่างติดลบหมด เช่น ฝรั่งเศสเลือกบรรพบุรุษเป็นชาวโกล เพราะทนไม่ได้ที่พระเจ้าชาญมาญเป็นคนเชื้อสายเยอรมันที่เคยมารุกรานสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่เลือกเอาแต่ความดีเข้าตัว ชอบแทรกแซงประเทศอื่น เห็นตัวเองดีเลิศ ไม่เห็นหัววัฒนธรรมประเพณีคนอื่น ทำตัวเจ้าปัญหาทั้งๆที่ก็ไม่ได้เก่งกาจเรื่องความสัมพันธ์ต่างประเทศเหมือนอังกฤษ หรือมีอิทธิพล มีคนฟังเสียงเหมือนเยอรมัน

     ฝรั่งเศสดูดเลือดกดขี่เหยียดหยามประเทศอาณานิคม คนที่มาปลดปล่อยปารีสช่วงหลังสงครามโลกไม่ได้มีแต่พวกอเมริกัน มีพวกแขกอาหรับและนิโกรด้วย แต่ไม่เคยได้รับการพูดถึง เป็นประเทศที่ดีแต่ปาก ชอบเล่นสำนวนเอาภาษาสวยๆคลุมเครือกลบเกลื่อนความคิดชั่วร้าย พัฒนาการต่างๆในประเทศมักมีเหตุผลแอบแฝงอยู่ เป็นประเทศที่สิทธิสตรีได้มาล่าช้ามาก ระบบราชการเอาแน่เอานอนไม่ได้ คุณภาพการศึกษาถดถอย มีปัญหาการเหยียดสีผิวทั้งทางตรงและทางอ้อมที่ไม่มีทางจะแก้ได้ ฯลฯ

     "อาจารย์" บอกว่าเขาเองอยู่ฝรั่งเศสมา 30 ปีแล้ว และไม่เคยคิดจะขอเปลี่ยนสัญชาติ

     นั่งฟังแล้วก็อึ้งๆ มองในทางอ้อม อาจารย์คนนี้กลายเป็นคนฝรั่งเศสที่ไม่เคยพอใจกับอะไรเลยไปแล้ว มุมมองตรงๆ เอ่อ... ตกลงคอร์สนี้มีจุดประสงค์ให้คนต่างชาติทำใจรอสิ่งร้ายๆของฝรั่งเศส เตรียมตัวให้เป็นคนมองโลกในแง่ร้าย หวาดระแวงไว้ก่อนเหมือนคนฝรั่งเศสใช่มั้ย

     นี่หรือ "การต้อนรับอย่างดี" ที่ท่านประธานาธิบดีต้องการ


     ตัวฉันเอง ไม่ได้เลิฟฝรั่งเศสเท่าไหร่ ไม่เคยคิดจะขอสัญชาติเลยแม้แต่น้อย ฉันพอจะรู้จักข้อเสียต่างๆของคนในประเทศนี้พอๆกับข้อดี ใช่ว่าจะมองในแง่เลวร้ายไปเสียหมด ฉันรอฟังหัวข้อต่างๆ ฟังคำเสียดสี ฟังคำตำหนิฝรั่งเศสไปเรื่อยๆ รอให้ถึงช่วงที่พูดถึงสิ่งดีๆบ้าง แต่ก็ไม่เจอ ปิดคอร์สตอนสี่โมงครึ่ง ฉันคันปากยิบๆอยากจะถาม "อาจารย์" เหลือเกินว่า



     ถ้าประเทศนี้มันห่วยแตกขนาดนี้ แล้วทนอยู่ได้ยังไง อยู่เพื่ออะไร ตั้ง 30 ปี



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 29 เมษายน 2551    
Last Update : 29 เมษายน 2551 17:34:32 น.
Counter : 1015 Pageviews.  

- 25 AVRIL 08

จดหมายจากมาร์เกซ

อะโหล ... หนึ่ง สอง สาม Smiley 

ทดสอบ Free TextEditor ใหม่ของพันทิป ลูกเล่นแพรวพราว ไอคอนน่ารักๆเพียบ

ตอนแรกแอบนึกในใจ มันเกินวัยเราหรือเปล่าหว่า แต่แล้วก็นึกถึงคำในจดหมายร่ำลาของกาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ ที่อ่านในบล้อกของคุณแอน -ผู้ร่วมก่อการสนพ.กำมะหยี่ ว่า




To all men I would say how mistaken they are when they think that they stop falling in love when they grow old, without knowing that they grow old when they stop falling in love.

(ฉันจะบอกกับผู้คนทั้งหลายว่าพวกเขาคิดผิดเพียงใด ที่คิดว่าตนเลิกตกหลุมรักเพราะแก่ตัว โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขาแก่ตัวเพราะหยุดตกหลุมรัก)


ในกรณีนี้มาปรับเข้ากับอาการลังเลไม่รับความกุ๊กกิ๊กน่ารัก ชุ่มชื่นหัวใจ เพราะนึกว่าตัวเองแก่แล้วได้เป็นอย่างดี Smiley และ พอกลับไปอ่านจดหมายฉบับแล้ว ฉันก็เลยอยากจะแปลขึ้นมา(ช่วงนี้ว่างงานฮ่ะ)  


ในจดหมายฉบับนั้นเขาเขียนว่า


หากพระเจ้าจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับฉันในตอนนี้เพียงหนึ่งวินาที และประทานชีวิตที่ยาวนานกว่านี้ให้สักนิด ฉันจะใช้มันอย่างสุดความสามารถ

ฉันจะไม่พูดทุกอย่างที่อยู่ในใจ หากจะไตร่ตรองทุกสิ่งที่จะกล่าวออกไปให้มากกว่าเดิม

ฉันจะให้คุณค่ากับสิ่งต่างๆ ไม่ใช่เพราะมูลค่าของมัน หากเพื่อสิ่งที่มันประสงค์จะบ่งบอก

ฉันจะหลับเพียงเล็กน้อย ฝันให้มากขึ้น เพราะฉันรู้ว่า ทุกนาทีที่เราหลับลง เราสูญเสียแสงสว่างไป 60 วินาที

ฉันจะเดินยามคนอื่นหยุด ฉันจะตื่นยามคนอื่นหลับ

หากพระเจ้าจะประทานชีวิตให้ฉันมากกว่านี้สักนิด ฉันจะแต่งกายง่ายๆ ฉันจะเผชิญหน้ากับดวงตะวัน ละทิ้งไม่เพียงร่างกาย หากจะเปิดจิตใจรับความเมตตาของมัน

ฉันจะบอกกับผู้คนทั้งหลายว่าพวกเขาคิดผิดเพียงใด ที่คิดว่าตนเลิกตกหลุมรักเพราะแก่ตัว โดยไม่รู้เลยว่าพวกเขาแก่ตัวเพราะหยุดตกหลุมรัก

ฉันจะมอบปีกให้เด็กๆ หากฉันจะปล่อยให้พวกเขาหัดบินด้วยตัวเอง

กับคนเฒ่า ฉันจะบอกว่าความตายไม่ได้เข้ามาเมื่อพวกเขาแก่ชรา หากมากับความหลงลืม

ฉันได้เรียนรู้สิ่งต่างๆมากมายไปกับพวกคุณ ฉันได้เรียนรู้ว่าทุกคนต้องการมีชีวิตอยู่บนยอดเขา โดยไม่รู้เลยว่าความสุขที่แท้จริงมาจากการเดินทางที่เริ่มต้นขึ้น และวิธีการที่ใช้ในการใต่ให้ถึงยอดเขา

ฉันได้เรียนรู้ว่าเมื่อเด็กทารกใช้มือเล็กๆจับนิ้วมือของผู้เป็นพ่อ ผู้เป็นพ่อจะติดกับไปตลอดชีวิต

ฉันได้เรียนรู้ว่า คนๆหนึ่งมีสิทธิและหน้าที่ในการดูถูกคนอีกคน ต่อเมื่อชายผู้นั้นจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือในการลุกขึ้นจากพื้นเท่านั้น

จงพูดในสิ่งที่รู้สึกเสมอ อย่าพูดในสิ่งที่คิด หากฉันรู้ว่าฉันจะได้เห็นคุณหลับครั้งสุดท้ายในวันนั้ ฉันก็จะกอดคุณไว้สุดแรงและจะอ้อนวอนต่อพระเจ้าขอให้ฉันเป็นเทพอารักขานำทางวิญญาณของคุณ

หากฉันรู้มาก่อนว่าช่วงเวลาเหล่านั้นเป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่จะได้เจอคุณ ฉันคงจะพูดว่า "ฉันรักคุณ"

มีวันพรุ่งนี้มาเสมอ และชีวิตได้ให้โอกาสเราทำสิ่งที่ถูกต้องอีกครั้ง แต่ไม่ใช่สำหรับฉัน และทั้งหมดที่ฉันมีคือวันนี้เท่านั้น ฉันอยากจะบอกว่าฉันรักคุณมากแค่ไหน และฉันจะไม่มีวันลืมคุณ

พรุ่งนี้ไม่ได้เป็นหลักประกันให้กับใครเลย ไม่ว่าเด็กหรือแก่ วันนี้อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่จะได้เห็นบรรดาคนที่คุณรัก เพราะเหตุนี้จึงไม่ควรรอ ลงมือทำเสียแต่วันนี้ เผื่อว่าจะไม่มีวันพรุ่งนี้ให้ทำ ฉันมั่นใจว่าคุณจะเสียใจที่พลาดโอกาสที่จะส่งยิ้ม กอด จูบ ในวันนี้ และยุ่งเกินกว่าจะมอบสิ่งที่พวกเขาปรารถนาเป็นสิ่งสุดท้ายให้

จงอยู่เคียงข้างคนที่คุณรัก บอกพวกเขาด้วยคำพูดและแสดงให้เห็นต่อหน้าว่าคุณต้องการและรักพวกเขาขนาดไหน

เราและดูแลพวกเขาให้ดี ใช้เวลาที่มีบอกพวกเขาว่า "ฉันเสียใจ", "ขอโทษนะ", "ได้โปรด", "ขอบใจ"

แสดงให้เพื่อนๆและคนที่คุณรักรู้ว่าพวกเขาสำคัญกับคุณขนาดไหน

ส่งจดหมายฉบับนี้ให้คนที่คุณรัก ถ้าคุณไม่ทำในวันนี้ ... พรุ่งนี้จะเป็นเหมือนวันวาน และถ้าคุณไม่เคยทำมาก่อนก็ไม่ได้สำคัญอะไร ตอนนี้ถึงเวลาทำแล้ว

เพื่อคุณ
ด้วยรักยิ่ง

Gabriel Garcia Marquez  



Gabriel Garcia Marquez. กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ

กาเบรียล การ์เซีย มาร์เกซ (เกิด 6 มีนาคม ค.ศ. 1927) เป็นนักเขียนนิยาย เรื่องสั้น บทภาพยนตร์และนักข่าวชื่อดังชาวโคลัมเบีย มีชื่อเรียกในโคลัมเบียว่า "กาโบ" เป็นหนึ่งในบรรดานักเขียนชื่อดังจากอเมริกาใต้ เขาออกจากโรงเรียนกฎหมายเพื่อเริ่มทำงานนักข่าว และเขียนงานประเภทสารคดี กับเรื่องสั้น รวมทั้งนิยายชื่อดังเช่น ร้อยปีแห่งความโดดเดี่ยว (One Hundred Years of Solitude -1967) เป็นหนึ่งในนักเขียนคนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 20 และได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี ค.ศ.1982

ปัจจุบันมาร์เกซเก็บตัวไม่ออกสังคม เพราะเป็นโรคมะเร็ง เขาเขียนจดหมายร่ำลากับเพื่อนๆ ต่อมาได้เผยแพร่ในอินเตอร์เน็ต และประทับใจผู้คนมากมาย



>> ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่








 

Create Date : 25 เมษายน 2551    
Last Update : 25 เมษายน 2551 19:09:49 น.
Counter : 929 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.