- 05 OCTOBRE 10 คลี่ คลาย ขึ้น

คลี่ คลาย ขึ้น



เมื่อวาน ฉันจิตตกเล็กๆ เหมือนถูกหลุมหนืดดูด ใจมันเหี่ยว อยากจะล้มตัวลงนอนท่าเดียว เล่าให้หวานใจฟัง เขาว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉันอยู่บ้านคนเดียวทั้งวันไม่ได้พบปะพูดคุยกับผู้คน ฉันต้องออกไปข้างนอกบ้าง วันนี้เปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับโรงเรียนสอนขับรถเพื่อสอบใบขับขี่ มีขั้นตอนมากมาย ต้องสอบข้อเขียน สอบลงถนน เดี๋ยวก็คงได้ออกจากบ้านสมใจ

บอกตัวเองให้อดทน ช่วงที่แย่ที่สุดผ่านไปแล้ว การปรับตัวได้ผ่านครึ่งกลางมาแล้ว สลัดความเคยชินเดิมๆ ออกไปได้แล้ว เหลือแค่จัดแจงชีวิตข้างหน้าให้เรียบร้อย เป็นบททดสอบอีกบทหนึ่ง ถ้าไม่ติดคิดมากเฟ้อฟุ้ง ทำใจนิ่งๆ เข้าไว้ ก็จะเห็นว่าชีวิตขยับเข้าที่ทีละนิด เริ่มเข้าทางทีละหน่อย วันศุกร์นี้ คุณ ก. กลับมาช่วยงานบ้าน สภาพรกรุงรังในบ้านจะลดลง บ้านจะสะอาดตาน่ามองขึ้น ฉันจะได้มีกะใจทำงานการอาชีพของตัวเองมากขึ้น ไม่ต้องห่วงหน้า ไม่ต้องพะวงหลัง ค้างๆ คาๆ แล้วก็ไม่มีอะไรดีขึ้นสักอย่าง

วันนี้นอกจากดูแลต้นฉบับที่ค้างมานานมากของกำมะหยี่แล้ว ฉันว่าจะหยิบ “ตัวตน” ที่แปลค้างอยู่มาปัดฝุ่นด้วย ลองดูสิว่าการกลับมาจับงานแปลอีกครั้งจะทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นจริงอย่างที่คุณนพดลว่าหรือเปล่า ลึกๆ แล้วฉันว่าน่าจะได้ผล ฉันว่าช่วงนี้ฉันอ่อนแอลง เพราะได้รับการตามใจมากไป เลยไม่ค่อยมีแรงฮึดสู้กับตัวเอง พอแพ้ตัวเอง ก็ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน พอไม่มีผลงานออกมา ฉันก็ยิ่งห่อเหี่ยวถูกฉุดจมเหวลึกลงไปอีก

แปลกดีนะ อันที่จริงแล้วศัตรูตัวร้ายที่จ้องทำลายเราอย่างโหดร้ายที่สุด คนที่สามารถทำให้เราเจ็บปวดได้มากที่สุดนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน มันคือตัวของเราเอง

ข่าวดีอีกอย่างคือ อีกแค่สิบวันไอ้ลูกหมาจะมาฮ่องกงแล้ว ถึงจะต้องไปอยู่ศูนย์กักกันไม่ได้กลับมาบ้านเลยก็ยังดี ยังแวะไปหาได้ทุกวัน ฉันไม่เคยเลี้ยงหมาเป็นลูกแบบนี้มาก่อน เลยไม่แน่ใจว่าการต้องพรากจากกันเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ฉันหมดเรี่ยวแรงกำลังใจผสมมากับเรื่องอื่นๆ ด้วยหรือเปล่า รู้แต่ว่าคิดถึง พอเปิดรูปดูในคอมพ์ใจมันตื้นตันฟูมฟายอยู่ลึกๆ ทุกครั้งไป อย่างไรก็ตามฉันมั่นใจว่า มีไอ้ลูกหมามาอยู่ข้างๆ กัน สุขภาพจิตของฉันจะดีกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้แน่่นอน

หลังจากไอ้ลูกหมามาสองสามวัน ก็ถึงคิวลูกเลี้ยง รอบนี้มาพร้อมกันเลยสองคนทั้งสาวหลุยส์ เจ้าของผลงานรูปวาดที่นำมาประกอบบล้อกในวันนี้ และหนุ่มอองตวน

การมีเด็กสองคนมาให้ดูแลเป็นโจทย์ใหม่อีกโจทย์หนึ่งในชีวิตแม่เลี้ยงมือใหม่ตลอดกาลนานๆ ได้ลับฝีมือทีอย่างฉัน เมื่อก่อนตอนที่แยกสลับกันมาทีละคน ฉันจะจัดกิจกรรมที่เหมาะกับแต่ละคนไว้ พอมาสองคนอย่างนี้ นอกจากกิจกรรมที่จะให้เด็กๆ ทำร่วมกันแล้ว ยังจะมีเรื่องความเป็นธรรม และการให้ความรักอย่างเท่าเทียมกันด้วย





>>ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 05 ตุลาคม 2553    
Last Update : 5 ตุลาคม 2553 11:43:52 น.
Counter : 881 Pageviews.  

- 04 OCTOBRE 10 ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป

ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป



วันนี้อากาศพิลึกกึกกือมาก อึมครึม ท้องฟ้าเป็นสีขาวหมองหม่น ฝนจะตกก็ไม่ตก แดดจะออกก็ไม่ออก

บ้านยังคงรก ข้าวของยังคงเกลื่อน กระเป๋าเดินทางยังวางเปิดอ้าอยู่ในห้องนั่งเล่น ในครัว จานชามช้อนรอล้างอยู่ในอ่างล้างจาน แต่ฉันเลิกตระหนกตกใจ ค่อยๆ เก็บค่อยๆ เล็มไปเรื่อยๆ คืบหน้าไปทีละนิด ตัดเรื่องไปทีละเรื่อง

เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา นับเป็นสุดสัปดาห์ที่ไม่เลวเลยทีเดียว เราสองคนตัดสินใจซื้อรถยนต์มือสองมาใช้ได้เรียบร้อยแล้ว เป็นโตโยต้า เซลิกา 1998 สีแดงสด เปิดประทุนได้ด้วย เดี๋ยววันอังคารก็ได้รถมาใช้แล้ว ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าตั้งชื่อว่าอะไร ต้องดูก่อนว่าเจ้าหล่อนมีนิสัยอย่างไร โล่งใจไปหนึ่งอย่าง จบเรื่องค้างๆ คาๆ ไปอีกเรื่อง คราวนี้ฝนจะตก รถแท็กซี่จะไม่มีก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เดี๋ยวภายในอาทิตย์นี้ ฉันต้องหาโรงเรียนสอนขับรถให้ได้ จะได้ไปเรียนเพื่อสอบใบขับขี่ฮ่องกงให้เรียบร้อย

กิจกรรมอีกอย่างคือไปดูคอนเสิร์ตเชลโลของนักเชลโลใหญ่ Mischa Maisky โดยมีลูกสาวของเขาขึ้นเวทีเล่นเปียโนด้วยที่ศูนย์วัฒนธรรมฮ่องกง คอนเสิร์ตคลาสสิกแตกต่างกับคอนเสิร์ตดนตรีประเภทอื่นๆ คือ ไม่ค่อยมีความเร้าใจมาช่วยกระชากฉุดรั้งให้จดจ่อกับดนตรีที่บรรเลงเท่าไหร่นัก ส่งผลให้การนั่งนิ่งๆ ฟังเพลง ดูลีลาบนเวที กลายเป็นศึกย่อยๆ ในจิตใจ ระหว่างที่ฟังและดูการบรรเลง จิตของฉันก็ประหวัดลากเอาเรื่องต่างๆ เข้ามาก่อกวน เรื่องโน้นนิด เรื่องนี้หน่อย ต้องออกแรงใจขับไล่ออกไป ไม่ต่างกับการไปนอนนวดเลยทีเดียว และก็เหมือนกับการตั้งสมาธิจดจ่อกับการนวดตรงหน้า เมื่อสมาธิตั้งปักหลักได้แล้ว เสียงเพลงจะนำใจเราหลุดลอย เคลิบเคลิ้ม ซาบซึ้งตรึงใจ ดูเสร็จแล้วอิ่มอกอิ่มใจ

สนุกไปอีกแบบ สนุกแบบนิ่งๆ


ป.ล. ๑ - เมื่อกี้คุณ ก. แม่บ้านโทรฯ มาจากเมืองไทยบอกว่าจะกลับมาวันศุกร์นี้แล้ว เย้ๆๆๆ

ป.ล. ๒ - วันที่ 15 นี้ ไอ้ลูกหมาจะบินจากอินเดียมาเข้าบ้านกักกันโรคที่ฮ่องกงแล้ว เย้ๆๆๆๆๆๆๆ



>>ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 04 ตุลาคม 2553    
Last Update : 4 ตุลาคม 2553 15:07:21 น.
Counter : 967 Pageviews.  

- 02 OCTOBRE 10 - กลับ บ้าน เรา

กลับ บ้าน เรา




กลับมาถึงฮ่องกงตอนหัวค่ำเมื่อวาน นานๆ ครั้งจะได้ขึ้นเครื่องตอนบ่ายๆ จากสุวรรณภูมิ ได้เห็นบรรยากาศที่แปลกไปจากสนามบินตอนกลางคืนคือได้เห็นท้องฟ้าผ่านหลังคากระจกใต้ท่อเหล็กที่พาดไปพาดมา ( ถ่ายรูปเอาไว้ในโทรศัพท์เครื่องที่ใช้เมืองไทย ยังไม่ได้อัพขึ้นคอมพ์ สไลด์ข้างบนเลยเป็นแค่ภาพจากไอโฟนเริ่มจากตอนเครื่องลอยอยู่บนอากาศเรียบร้อยแล้ว)

หวานใจมารับที่สนามบิน นั่งรถไฟแอร์พอร์ต เอ็กเพรส ถึงสถานีเกาลูนแล้วต่อแท็กซี่กลับบ้าน

บ้าน - กล่องซีเมนต์เหลี่ยมๆ ติดกระเบื้องโมเสคกะเทาะเป็นหย่อมๆ ข้างในมีข้าวของรกๆ ระเกะระกะ โซฟาปรากฎร่องบุ๋มยุบลงตามน้ำหนักตัวตรงจุดประจำข้างหน้าต่าง ที่สำคัญคือมีหวานใจคนสำคัญอยู่ข้างๆ

การที่ต้องแยกจากกันชั่วครู่ชั่วคราว ทำให้เราซาบซึ้งในความผูกพันที่มีให้ต่อกัน ที่เหลือก็แค่ตักตวงความสุขตรงหน้าให้เต็มที่ พยายามไม่นึกไกลมองข้ามช็อตในแง่ร้ายถึงการสูญเสีย พอถึงเวลาแล้ว ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ก็จะรู้เองว่าต้องทำอะไร อย่างไร แล้วกลไกการเลือกมองแต่ในแง่ดีซึ่งตอนนี้กลายเป็นนิสัยประจำตัวของฉันไปแล้วจะจัดสรรให้

กลับมาฮ่องกงคราวนี้ ฉันไม่ได้หอบซื้ออะไรจากเมืองไทยทั้งสิ้น ไม่เหมือนตอนที่อยู่อินเดียที่ขาดแคลนสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะอาหารไทย จนต้องกักตุนยกใหญ่ สุดท้ายก็ใช้ไม่หมด ต้องเที่ยวไล่แจกผู้คน ยิ่งเห็นสมบัติมากมายตอนย้ายบ้าน ยิ่งทำให้ต่อมชอปปิ้งฝ่อ เห็นอะไรวางขายก็มองผ่านเลย ไม่ซื้อแล้ว ไม่สะสมแล้ว พอกันที ใช้เท่าที่มีอยู่ให้หมดก่อนละกัน

เช้านี้ตื่นมา ภารกิจแรกคือหาตั๋วคอนเสิร์ตที่จะเล่นพรุ่งนี้ที่ซื้อไว้เมื่อสองเดือนที่แล้ว หาไปโกรธตัวเองไปที่มีนิสัยเก็บสมบัติไม่ค่อยเป็นที่เป็นทาง หรือไม่ก็เก็บดีเกินไป เก็บแล้วลืมเองว่าเก็บไว้ตรงไหน จนเวลาจะใช้หาไม่เจอ




>>ฝากข้อความ เชิญคลิกที่นี่






 

Create Date : 02 ตุลาคม 2553    
Last Update : 2 ตุลาคม 2553 21:59:38 น.
Counter : 859 Pageviews.  

- 30 SEPTEMBRE 10 เรื่องบ้านๆ

เรื่องบ้านๆ

Photobucket
กลับระยองมาสามสี่วันแล้ว ถึงจะตั้งใจกลับบ้านมาเป็นเด็กดีของพ่อแม่ แต่อยู่ไม่เท่าไหร่ฉันก็ดีแตก ตั้งท่าช่วยเช็ดถูบ้านอยู่ได้วันเดียว แล้วก็เลี้ยวหาที่หลบซ่อนตัวในโลกใบเดิม โลกหนังสือ

อารามอยากจะให้เวลาผ่านไปเร็วๆ ฉันตระกรุมตระกรามอ่านหนังสือทำสถิติจบเล่มห้าร้อยหน้าภายในสี่ชั่วโมง เล่มแรกเป็นนิยายชวนฝันอ่านง่ายๆ ไหลๆ เล่มต่อไปเป็นวรรณกรรมค่อนข้างหนัก แต่ก็จบในอัตราความเร็วไล่เลี่ยกัน เล่มที่สามเป็นความเรียงอัตชีวประวัติ ชั่วบ่ายเดียวก็พลิกถึงหน้าสุดท้าย

ไม่ได้ภาคภูมิใจอะไร แค่แปลกใจนิดๆ นี่ฉันเป็นหนักขนาดนี้เชียว หรือเป็นเพียงสิ่งแวดล้อมรอบตัว ฉันมานั่งอยู่ในบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่ก็จริง แต่ไม่มีเงา ไม่มีเศษเสี้ยวความเป็นฉันอยู่ในบ้านนี้อีกแล้ว ยิ่งกลับมาเป็นเด็กอยู่ในความดูแลของพ่อแม่ ไม่มีหน้าที่ความรับผิดชอบชี้ชัดกำกับ จึงฉวยโอกาสล่องลอย ทำตัวไร้ค่า เหมือนเวลาไหลย้อน หากไม่ได้ไหลย้อนที่ ณ เวลาแสนสุข แต่กลับไปอยู่ในช่วงข้อต่อผกผันชวนใจสั่น แต่ก็นั่นล่ะ มานึกๆ ดูแล้ว ฉันนึกไม่ออกจริงๆ ว่าชีวิตของฉันช่วงไหนเป็นช่วงเวลาแสนหวานที่ฉันอยากย้อนกลับไปที่สุด ...

อืม อ่านแล้วรันทดดีนะ ฉันเองยังตกใจเลย เอาเหอะ ช่างมัน ชีวิตฉันมันดีกว่าคนอีกหลายสิบล้าน คงเป็นเพราะอย่างนี้มั้ง ฉันเลยไม่ค่อยอยากย้อนไม่ว่าจะย้อนกายไปที่เดิมๆ หรือย้อนใจไปคิดถึงเรื่องในอดีตสักเท่าไหร่ ส่งต่อเป็นนิสัยไม่ค่อยพกความรักความแค้นในอดีตติดตัวมาด้วย หลายคนคิดว่าฉันเป็นคนมองโลกในแง่ดีเวลาเจอใครมาเอาเปรียบ แต่จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เป็นแม่พระ ฉันแค่อยากตัดคนเหล่านั้นออกไปจากใจจากชีวิตของฉันให้เร็วที่สุด เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน และวิถีทางที่จะตัดได้ง่ายที่สุดคือทำใจมองในแง่บวก องุ่นเปรี้ยวมะนาวหวานไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ลืม ส่วนเพื่อนเก่าๆ ที่เพิ่งมาเจอกันใหม่ ฉันจะปฏิบัติตัวกับเขาหรือเธอที่อยู่ตรงหน้า ไม่เคยลากอดีตมาสวมทับปัจจุบัน เพราะคนเปลี่ยนแปลงทุกวัน ฉันในวันนี้กับฉันในวันนั้นไม่ใช่คนเดียวกัน เขาหรือเธอในวันนี้ก็ไม่ใช่คนในวันนั้น การมาเจอเพื่อนเก่าแล้วจะต่อติดหรือไม่ติด จึงอยู่ที่เขาหรือเธอคนนั้นรับความเป็นตัวฉันในวันนี้ได้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องที่ว่าในอดีตฉันเป็นอย่างไร

อืม... ไหนๆ ก็หมกมุ่นกับตัวเองมาชั่วพักนึงแล้ว ลองขุดต่อไปให้ถึงที่สุดเลยแล้วกัน ลากมันออกมาแล้วไม่ต้องมานั่งสงสัยอีกว่าตัวเองเป็นอะไร ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ถอนพิษออกไปทีเดียว รู้เท่าทันตัวเองแล้วจะได้ไม่ต้องทำอีก

ถ้าจะให้วิเคราห์จริงๆ ตามหลักการละครที่เรียนมานานมากแล้ว จึงอาจจะคลาดเคลื่อนได้ แต่ก็แอบมั่นใจจากประสบการณ์ที่ผ่านเจอ สรุปได้ว่า มนุษย์หรือตัวละครแต่ละคนจะมี Theme หรือ ประเด็น ฝังใจของตัวเอง ไอ้ประเด็นประจำตัวนี้ล่ะที่กำหนดพฤติกรรม แนวความคิด ทัศนคติ และเป็นตัวขับดัน เป็นแรงจูงใจให้ทำอะไรต่างๆ ดีบ้าง เลวบ้าง ไม่ว่าจะทำตัวยอกย้อนวกวนไปในทางใด สุดท้ายมันจะย้อนกลับมาที่ประเด็นเดิม ประเด็นประจำตัวนี้เป็นปัจจัยที่ทำให้คนเรามีตัวตนและแตกต่างกัน ถึงแม้จะมีแรงบันดาลใจฉาบฉวยผิวหน้าเหมือนกันเป๊ะ อย่างเช่น คนอยากดังหรือคนเห็นแก่เงินแต่ละคนมีเหตุผลเบื้องหลังเบื้องลึกต่างกัน และบ่อยครั้งชื่อเสียงหรือเงินทองก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ไม่อาจคลี่คลายประเด็นลึกๆ ได้

ถ้าจะลองขุดรากลึกๆ ฉันคิดว่า ประเด็นจริงๆ ที่ขมวดจนฉันมีสภาพเหมือนแกว่งไปแกว่งมาในตอนนี้ คือ การโหยหาบ้านของตัวเอง ความต้องการมีพื้นที่ของตัวเอง ไม่ต้องแบ่งพื้นที่ขยับหลบใคร ไม่ต้องตกอยู่ใต้สายตาใคร ไม่ต้องตั้งรับการตัดสินจากใคร ไม่ว่ามันจะเกิดจากความห่วงใยหรือไม่ก็ตาม ฉันออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก ไปอาศัยอยู่หอพักบ้าง บ้านญาติบ้าง บ้านพ่อแม่บ้าง ฉันไม่เคยมีความรู้สึกเป็นส่วนตัวจริงๆ ได้แต่อาศัยเกาะแอบอิงคนอื่น

โชคดีที่มาเจอหวานใจ เพราะเรานิสัยใจคอคล้ายๆ กัน เราต่างหวงแหนและเคารพความเป็นส่วนตัวของตัวเองและอีกฝ่ายเท่าๆ กัน ชีวิตคู่ของเราจึงแบ่งเป็นสามโลก โลกของเธอ โลกของฉัน และโลกของเรา ถ้าเราอยากมีความสุข เราก็แค่ประคองโลกทั้งสามให้มีสมดุล ไม่เอนเอียงไปทางโลกไหนมากเกินไป

เขียนมาถึงตรงนี้ ฉันแริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหวานใจถึงบอกว่าเขาไม่อยากเห็นเครื่องประดับบ้านห้อยแขวนแบบอินเดียที่ฉันชอบในห้องนั่งเล่นที่ฮ่องกง คงเป็นเพราะเขาอยากมีพื้นที่โล่งตาแบบที่เขาชอบ เพราะถึงเขาจะรักฉัน ตามใจฉัน ปล่อยให้ฉันแต่งบ้านเอง แต่เขาก็คงอยากจะมีมุมที่เขารู้สึกว่าเป็นพื้นที่กลางๆ ไม่เอนเอียงไปตามรสนิยมของฉันมากนัก... โอเค รู้อย่างนี้จะได้หายน้อยใจ

ข้อดีมีเยอะ แต่ข้อเสียใช่ว่าจะไม่มี การอยู่กับหวานใจ ใช่ว่าจะราบเรียบสะดวกใจไปเสียหมด พอสถานที่อยู่อาศัยเริ่มจะกลายเป็นบ้าน พอเริ่มปรับใจปรับกายได้ ก็ต้องย้ายไปที่อื่น ลองคิดถึงหัวอกคนอยากมีบ้าน อยากลงหลักปักฐาน อยากกินผลไม้จากต้นไม้ที่ตัวเองปลูกกับมืออย่างฉันสิ อารมณ์ไม่ต่างกับการต้องอกหักทุกสองหรือสามปีทีเดียวเชียวล่ะ

น่าจะเป็นตรงนี้ล่ะ ที่ส่งผลกระทบกับพฤติกรรมของฉัน ตอนนี้ฉันยังไม่รู้สึกลงตัวกับที่อยู่ที่ฮ่องกงเท่าไหร่ ข้าวของยังจัดไม่เสร็จครึ่งๆ กลางๆ พักอยู่แป๊บๆ เดี๋ยวก็ต้องเดินทางทิ้งบ้าน ชีวิตฉันเลยเหมือนกับลอยๆ พอกลับมาบ้านพ่อแม่ที่ตอนนี้ปรับปรุงใหม่ เติมต่อจนเปลี่ยนไป ภาพที่เคยชินตาหายวับราวกับสายน้ำเปลี่ยนเส้นทาง ฉันจึงรู้สึกเหมือนเป็นคนนอกที่เพียงแวะมาพักชั่วครู่ ไม่มีความผูกพัน ไม่มีความรู้สึกว่ามันเป็นบ้านของฉัน มาประเดี๋ยวประด๋าว เดี๋ยวก็ไปแล้ว

เพื่อจะได้ลืมว่าตัวเองเข้ามาอยู่ในบ้านคนอื่น ในโลกของคนอื่น ฉันเลยทำตัวให้เล็กที่สุด เงียบที่สุด เคลื่อนไหวน้อยที่สุด ปิดตัวเองอยู่หลังหนังสือ พร้อมกับนับเวลาถอยหลัง รอวันกลับไปหาหวานใจ และภารกิจการทำพื้นที่สามชั้นแห่งนั้นให้เป็นบ้าน

เมื่อกายเข้าบ้านได้แล้ว ใจจะได้เข้าบ้านเสียที






>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 30 กันยายน 2553    
Last Update : 30 กันยายน 2553 12:44:25 น.
Counter : 942 Pageviews.  

- 27 SEPTEMBRE 10 กลับเป็นเด็ก

กลับเป็นเด็ก

นั่งหัวอึมครึมจากฤทธิ์ยาแก้ไข้หวัดและแก้ไอที่กินไปหลังข้าวสามจานที่เติมเพราะคุณนายแม่หาหอยนางรมดองมาให้ และหอยดองเป็นอาหารที่ทำให้ต้องกินข้าวเยอะๆ ถึงจะอร่อย ยิ่งกินแกล้มแตงกวาอ่อนๆ ด้วยแล้วยิ่งไปกันใหญ่

มาถึงบ้านระยองเมื่อวานตอนหัวค่ำ วันเสาร์บ่ายๆ พี่วิพี่เขยขับรถไปรับจากโรงแรมที่บางกอกกลับศรีราชาบ้านพี่มีนพี่สาวแสนสวย ได้อยู่ช่วงสั้นๆ กับผ้าไหม หลานสาวที่หน้าตาเหมือนฉันจนหวานใจเรียกมินิมี กับหนุ่มน้อยใบหม่อนช่างพูดคุย พูดเจื้อยแจ้วได้ตลอดเวลา นอนบ้านพี่มีนหนึ่งคืน นอนอย่างเต็มอิ่มเป็นคืนแรกในรอบหนึ่งสัปดาห์ ที่โรงแรมเป็นอะไรก็ไม่รู้ นอนสะดุ้ง ตื่นเฮือกๆ ทุกคืน จะว่าตื่นเพราะเกรงจะพลาดอาหารเช้าเกินเวลากำหนดก็ไม่ใช่ เพราะฉันออกไปกินเกาหลาเลือดหมู กินก๋วยเตี๋ยว แถวนั้น เพราะไม่ค่อยโปรดอเมริกันเบรกฟาสต์เสียเท่าไหร่

นานๆ ได้อยู่กับเด็กๆ ที ได้รู้สึกว่าเด็กเป็นผ้าขาวที่รอให้ชีวิตระบายสีสันลงไปจริงดังเขาว่ากัน เด็กไม่มีนอกมีใน ใสๆ ไม่มีหน้ามีหลัง ทำให้ฉันนึกถึงข้อความหนึ่งในหนังสือเล่มหนึ่งที่อ่านผ่านตา ในนั้นมีประโยคหนึ่งเขียนว่า เธอมีงานมากมายต้องทำ ไม่มีเวลารู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาแบบผู้ใหญ่ ตอนที่อ่านก็แอบเห็นด้วยนิดๆ ว่า เออ จริงเนอะ เป็นผู้ใหญ่เนี่ยน่าจะเท่ากับความซับซ้อน สงสัยจะหมายถึงการต้องเผชิญปัญหา ปัญหาอะไรสักอย่าง บางทีปัญหาไม่มีจริง ก็คิดฟุ้งสร้างขึ้นมาเอง หรือไม่ก็แอบมองชีวิตคนอื่นแล้วก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจนถึงขั้นอิจฉาริษยา จุดไฟขึ้นมาแผดเผา ทำตัวมีปัญหาไปเรื่อยๆ

เอาง่ายๆ ไม่ต้องมองไกล ตัวฉันเองนี่ล่ะ ช่วงนี้ฉันพูดคำว่าปัญหาบ่อยๆ ราวกับกำลังเผชิญเรื่องคอขาดบาดตาย ที่จริงแล้วมันไม่มีอะไรสักเท่าไหร่หรอก ถ้าจะแผ่ปมที่ม้วนขยุกๆ เอาไว้เองจะเห็นว่ามันไม่มีอะไรเลย ยิ่งมองคนอื่น มองปัญหาของคนอื่น ก็ยิ่งไม่รู้ว่าฉันก็ยังรู้สึกหดหู่ยู่ๆ ยี่ๆ ได้ลงคอได้ยังไง สงสัยฉันจะเป็นผู้ใหญ่แล้ว อยู่นิ่งๆ เฉยๆ ใสๆ ไร้ปัญหา เหมือนเด็กๆ ไม่เป็นแล้ว

คิดได้ดังนี้ วันนี้พอกลับมาอยู่บ้านกับพ่อแม่อีกครั้ง เลยไม่ลากอีโก้อีเก้งหนูเก่งหนูโตแล้วเข้าบ้าน มาอย่างสงบสันติ สามสี่วันนี้ตั้งใจว่าจะไม่เถียงคุณนายแม่ ไม่คิดลบจับผิดไม่บ่นไม่แสดงท่าอวดดี ปล่อยตัวปล่อยใจกลับเป็นเด็ก ทำตัวตรงกับสายตาและความรู้สึกของคนที่รักเราสุดหัวใจสองคนมองมา กองไอ้ความซับซ้อนยอกย้อนของความเป็นผู้ใหญ่เอาไว้ที่หน้ารั้วบ้าน ใช้เวลาไปเรื่อยๆ ตามจังหวะของคนในบ้าน แถมยังแอบขยัน ทำตัวเป็นลูกกตัญญูช่วยหยิบจับเช็ดถูบ้านที่กลับมาคราวนี้ดูเล็กลงจากขนาดในความรู้สึกมากจนน่าประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เมื่อห้าหกปีก่อน ตอนที่เกาะพ่อแม่ ทำงานแปลงกๆ อยู่บ้านหลังนี้ บ้านมันก็ไม่ได้ดูเล็กอะไร ต้องเป็นเพราะฉันตัวใหญ่ขึ้น ตัวอ้วนขึ้น ความรู้สึกเรื่องขนาดใหญ่เล็กสูงเตี้ยของสิ่งต่างๆ เลยเปลี่ยนไปด้วยแน่ๆ เลย





>> ฝากข้อความเชิญคลิกที่นี่







 

Create Date : 27 กันยายน 2553    
Last Update : 27 กันยายน 2553 13:51:17 น.
Counter : 932 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  99  100  101  102  103  104  105  106  107  108  109  110  111  112  113  114  115  116  117  118  119  120  121  122  123  124  125  126  127  128  129  130  131  132  133  134  135  136  137  138  139  140  141  142  143  144  145  146  147  148  149  150  151  

Mutation
Location :
somewhere in Hong Kong SAR

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




ฉั น คื อ ใ ค ร

     สาวพฤษภชาวแกลงแห่งเมืองระยอง ลอยละล่องเรื่อยไปจนปาเข้าสามสิบ กว่าจะได้พบอาชีพที่ต้องจริตจนคิดตั้งตัวเป็นนักแปลรับจ้างเร่ร่อนไร้สังกัด ปัจจุบันเปิดสำนักพิมพ์เล็กๆ ชื่อ "กำมะหยี่"

     จุดหมายในชีวิต หลังจากผันผ่านคืนวันมาหลายปีดีดัก ขอพักไม่หวังทำอะไรใหญ่โต ขอเพียงมีชีวิตสุขสงบ ได้ทำสิ่งที่ดีๆ ทำตามหน้าที่ของตนในทุกด้านอย่างดีที่สุด แค่นั้นพอ

      ฉันมีหวานใจ- สามี - สุดที่รักแสนดีชาวฝรั่งเศส แถมเรือพ่วงสองลำเล็กๆ ตอนนี้มาใช้ชีวิตกันอยู่ที่ฮ่องกง



Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Mutation's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.