ผู้ว่าแบงก์ชาติ ห่วงผู้มีรายได้น้อยต่ำกว่า 10,000 บาท ถูกเศรษฐกิจบีบรัด จนไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้ที่กู้ไว้ หลังพบเริ่มขาดส่งหนี้บ้างแล้ว ชี้ทางแก้ต้องเพิ่มรายได้ และลดค่านิยมใช้เงินเกินตัว

เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ในขณะนี้ผู้ที่มีรายได้น้อย หรือรายได้ต่ำกว่า 10,000 ต่อเดือน มียอดหนี้สินเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก เนื่องจากที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ และบริษัทปล่อยสินเชื่อที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน (นอนแบงก์) มีการแข่งกันปล่อยสินเชื่อบุคคล ทั้งประเภทมีหลักประกัน และประเภทไม่มีหลักประกันให้กับคนที่มีรายได้น้อยเพิ่มขึ้นมาก และส่วนหนึ่งของสินเชื่อเหล่านี้ ธปท.เริ่มมีสินเชื่อค้างชำระมากกว่า 1 เดือนเพิ่มขึ้น ทำให้ธปท.ต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงสินเชื่อบุคคลประเภทนี้เป็นพิเศษว่า จะกลายเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ในอนาคตหรือไม่

“เท่าที่ติดตามดู สินเชื่อบุคคลของผู้ที่มีรายได้น้อย 10,000-15,000 บาทต่อเดือน ก็มีหนี้สินเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ยังไม่มีปัญหาเรื่องความสามารถในการชำระหนี้ และในส่วนของสินเชื่อของผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่านั้น เริ่มมีปัญหาในการชำระหนี้บ้าง เช่น อาจจะไม่ส่งหนี้ 1 เดือน แต่ธปท.ก็เข้าใจ เพราะรายได้ของเขาน้อย หนี้ที่มีตอนนี้ บางรายอาจจะมากเท่ารายได้ หรือใกล้เคียงกับรายได้แล้ว ดังนั้น สิ่งที่ต้องทำคือ พยายามให้เขามีรายได้มากขึ้น ซึ่งส่วนนี้ธปท.คงทำไม่ได้ ขณะที่สิ่งที่ทำได้คือ ดูแลให้เข้าก่อหนี้ให้เหมาะสมกับรายได้ที่เขามี ไม่เดือดร้อน”

นายประสาร กล่าวต่อว่า ต้องพยายามให้ความรู้ความเข้าใจว่า ประชาชนควรจะออมก่อนใช้ และหากออมไม่ได้ก็ไม่ควรที่จะก่อหนี้มากเกินกว่าความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ โดยครอบครัวหรือตนเองไม่เดือดร้อน โดยเฉพาะขณะนี้ที่ภาวะเศรษฐกิจไทย และภาวะเศรษฐกิจโลกมีการเปลี่ยนแปลงในทางชะลอตัวลง จะต้องพิจารณาความเสี่ยงในการก่อหนี้ของตัวเองมากขึ้นด้วย เพราะรายได้ของประชาชนอาจจะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่แย่ลง และกระทบต่อหนี้ถึงภาระการผ่อนชำระหนี้ด้วย โดยส่วนหนึ่งธปท.จะรณรงค์ในเรื่องของการให้ความรู้กับประชาชน โดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย ให้เข้าใจการออมก่อนใช้ และการก่อหนี้ที่เหมาะสม นอกจากนั้น ในส่วนของแบงก์พาณิชย์ หรือนอนแบงก์เองก็ต้องมีส่วนดูและรับผิดชอบสังคมในส่วนนี้ด้วย

ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวอีกว่า ในช่วงต่อไป ธปท.อาจจะมีการพูดคุยหารือขอความร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์ ให้มีการพิจารณามากขึ้นในการการปล่อยสินเชื่อประเภทนี้และไม่ควรที่จะไปเร่ง โปรโมตหรือกระตุ้นให้ผู้มีรายได้น้อยขอสินเชื่อเพิ่มขึ้นไปใช้ในการซื้อ สินค้าฟุ่มเฟือย หรือนำไปใช้จ่ายโดยไม่ได้ผลตอบแทนกลับมา เพราะในช่วงที่ผ่านมา ธนาคารพาณิชย์ และนอนแบงก์ มีการแข่งขัน และออกแคมเปญต่างๆ มากระตุ้นสินเชื่อบริโภคค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้คนส่วนหนึ่ง มีความคิด สามารถใช้จ่ายเงินในอนาคตไปก่อนได้ง่ายๆ เพราะมีเงินที่สถาบันการเงินพร้อมเสนอให้กู้ตลอดเวลา

“บางทีผมว่า เราควรกลับมาที่พื้นฐานการใช้เงินที่ถูกต้องคือ ออมก่อนใช้ หรือใช้จ่ายเท่าที่มี กู้เท่าที่ชำระได้ แต่ที่ผ่านมา กลายเป็นค่านิยมที่เราสนับสนุนให้เอาเงินในอนาคตมาใช้จ่ายสนับสนุนให้ก่อหนี้ ขณะที่ธนาคารพาณิชย์และนอนแบงก์ที่แข่งขันกันปล่อยสินเชื่อลงมาเล่นในตลาดนี้มาก มีสินเชื่อบุคคลให้กู้ที่หลากหลายวัตถุประสงค์ ก็มีส่วนทำให้คนที่มีรายได้น้อยหันมากู้เงินเพื่อการใช้จ่ายมากขึ้น ดังนั้น เมื่อเราเห็นว่าหนี้ของผู้มีรายได้น้อยเพิ่มมากและอาจส่งผลต่อความสามารถในการชำระหนี้ก็ต้องจับตาในเรื่องนี้ต่อไป”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้รายงานตัวเลขการปล่อยสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภล่าสุด สิ้นเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา พบว่ายังคงขยายตัวในอัตราที่สูงถึง 16.5% และเป็นการขยายตัวที่สูงต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2556 โดยสินเชื่อที่เร่งตัวสูงคือ สินเชื่อเพื่อซื้อรถยนต์ และสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคล