นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เปิดเผยว่า ข้อมูลที่เครดิตบูโรมีอยู่ในปัจจุบัน พบว่ามีทั้งหมด 68 ล้านบัญชีสินเชื่อ คิดเป็น 24 ล้านบัญชีลูกหนี้ เฉลี่ย 5 บัญชีสินเชื่อต่อ 1 บัญชีลูกหนี้ในจำนวนบัญชีลูกหนี้ทั้งหมดนี้ เป็นบัญชีลูกหนี้บัตรเครดิต 37% เป็นบัญชีสินเชื่อส่วนบุคคล 30% เป็นบัญชีสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ 14% และบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัย 12% ซึ่งบัญชีสินเชื่อรถยนต์ มีจำนวนเพิ่มค่อนข้างมากเพราะมาตรการรถยนต์คันแรก โดยได้เพิ่มจาก 10% มาเป็น 14%

ข้อมูลเหล่านี้สถาบันการเงิน หรือผู้ให้บริการสินเชื่อสามารถนำไปสร้างประโยชน์ได้ และอยากเห็นหน่วยงานภาครัฐมีการนำข้อมูลแบบนี้ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ด้วย เช่นเดียวกับประชาชนก็ควรได้รับข้อมูลนี้เช่นกันเพื่อจะได้ตระหนักว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ “ตอนนี้เครดิตบูโรค่อนข้างกังวล ตรงกับสภาพัฒน์และทางการที่มีการพูดถึงว่ากลุ่มที่มีรายได้ไม่มาก มีหนี้ต่ำกว่า 100,000 บาท และมีการค้างชำระ 90 วัน กลุ่มนี้มีรายได้ไม่มาก อาจมีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาทต่อเดือนลงมาและเป็นกลุ่มที่มีความสามารถในการกู้ต่ำ มีโอกาสผิดนัดชำระสูงถือว่าอยู่ในกลุ่มที่มีภาวะเสี่ยง”

ทั้งนี้หากเครดิตบูโรไม่ส่งสัญญาณ ก็จะเป็นอันตรายได้ในอนาคต การ ที่ได้รับรู้ข้อมูลก่อน จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมโดยจะไม่ทำอะไรให้ผิดอีก ดังนั้นทั้งฝ่ายผู้ให้กู้และผู้กู้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ แม้ว่า ณ เวลานี้ การผิดนัดชำระหนี้ยังถือว่าต่ำอยู่เมื่อเทียบกับยอดสินเชื่อที่ปล่อยไปของสถาบันการเงิน ซึ่งในระบบสถาบันการเงินมีการปล่อยสินเชื่อบัตรเครดิตไปแล้วประมาณ 250,000-260,000 ล้านบาท เป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ เอ็นพีแอล 5,000-6,000 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งยังไม่มีอะไรเป็นนัยสำคัญโดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันมีการเพิ่มมาแค่ 3% เท่านั้น

ขณะที่สินเชื่อส่วนบุคคลทั้งระบบมีการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว  260,000-270,000 ล้านบาท แต่มีเอ็นพีแอลอยู่ที่ 7,000-8,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังต่ำอยู่ “ตอนนี้เครดิตบูโรได้ส่งสัญญาณเตือน เพื่อบอกว่าเริ่มเสี่ยงบ้างแล้วควรห้ามหรือระมัดระวังกลุ่มไหนบ้าง  การส่งสัญญาณครั้งนี้จะช่วยให้สถาบันการเงินรู้จักการบริหารความเสี่ยงได้ดีกว่าเดิม”.