“ประสาร” หวังการประชุมร่วม คลัง–กนง.–ภาคเอกชนวันนี้ (13 พ.ค.) จะไม่ใช่การบีบบังคับหรือกดดันให้ กนง.ต้องลดดอกเบี้ย ขณะที่การประชุม กนง. 29 พ.ค.นี้ สามารถลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายได้ แต่ต้องมีเหตุผลรองรับ ไม่ใช่ลดแล้วโดนร้อง “ยี้” หรือทำให้คนขาดความเชื่อถือ

นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 29 พ.ค.นี้ว่า กรอบที่จะใช้พิจารณาอัตราดอกเบี้ยนโยบาย กนง.จะพิจารณาภาพรวมของเศรษฐกิจใน 7 ด้าน ซึ่ง ขณะนี้ กนง.กำลังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจไตรมาส 1 ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ในวันที่ 20 พ.ค.นี้ รวมทั้งการขยายตัวของการส่งออกและการใช้จ่ายภาคเอกชนเดือน เม.ย.รวมถึงการขยายตัวของภาคเศรษฐกิจจริงที่มีโอกาสจะเป็นฟองสบู่ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ

“กนง.ไม่ได้ปิดกั้นว่า ลดดอกเบี้ยนโยบายลงไม่ได้ เพราะถ้าข้อมูลเศรษฐกิจไม่ร้อนแรงและเข้าสู่ภาวะปกติ และการส่งออกได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาท หรือการใช้จ่ายภาคเอกชนชะลอตัวลง ก็อาจมีการผ่อนคลายอัตราดอกเบี้ยลงได้ เพราะถือว่ามีความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอตัว มีน้ำหนักมากกว่าอัตราเงินเฟ้อ ต้องเข้าใจว่าดอกเบี้ยมีหน้าที่ดูแลระบบเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่ได้ดูแลเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างเดียว และหากมีการลดดอกเบี้ย ตลาดต้องเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจไทยมีพื้นฐานสอดคล้องกับดอกเบี้ยที่เปลี่ยนแปลงจริงๆ ไม่ใช่ลดแล้ว คนร้องยี้ว่า ไม่น่าเชื่อถือ”

ผู้ว่าการ ธปท. ยังกล่าวถึงการประชุมร่วมระหว่างกระทรวงการคลัง กนง.และภาคเอกชน วันที่ 13 พ.ค.นี้ ว่า เป็นไปตามคำเชิญของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ที่ต้องการให้ทุกหน่วยงานมาแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และหวังว่าการประชุมครั้งนี้จะไม่ใช่การบังคับให้ กนง.ต้องลดดอกเบี้ยนโยบายภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มขึ้น เพราะตนเป็น 1 ใน กนง.เท่านั้น ยังมี กนง.อีก 6 ท่านที่มีภาวะเป็นผู้ใหญ่ และมีความรู้ในการพิจารณา ส่วนการหารือกับนายกิตติรัตน์ ก่อนหน้านี้ที่ยังมีความเห็นแตกต่างกันนั้น นายประสารกล่าวว่า การหารือมีหลาย

ส่วนที่มีความเข้าใจตรงกันว่า การแข็งค่าของเงินบาทมาจากผลกระทบของเงินทุนไหลจากการอัดฉีดสภาพคล่องของประเทศเศรษฐกิจหลัก และต่างชาติก็มีความเชื่อมั่นเศรษฐกิจไทย แต่มีบางเรื่องที่ยังมีความเห็นแตกต่างกัน เช่น การให้น้ำหนักกับเครื่องมือที่ใช้ดูแลค่าเงินบาท โดยมองว่าความเห็นที่แตกต่างเกิดขึ้นได้ แต่ขอให้ทุกฝ่ายพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดตามอำนาจหน้าที่ของตนเอง และขอให้เคารพอำนาจหน้าที่ของแต่ละฝ่ายด้วย

สำหรับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางประเทศในภูมิภาคนี้ เช่น ออสเตรเลีย เกาหลีใต้ และเวียดนามนั้น เพราะเศรษฐกิจประเทศเหล่านี้เริ่มชะลอตัวลงจากสาเหตุต่างๆกัน อยากให้ดูเศรษฐกิจที่ใกล้เคียงกับไทย เช่น มาเลเซีย ซึ่งล่าสุดหลังเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ธนาคารกลางมาเลเซียได้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 3% เท่าเดิม

นายประสารยังกล่าวว่า แม้เงินบาทขณะนี้อ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 29.50-29.60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ แต่ยังต้องติดตามใกล้ชิด เพราะต้องมองการเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทในอนาคตด้วย ซึ่ง ธปท.ได้เตรียมมาตรการการบริหารเงินทุนระหว่างประเทศที่ผสมผสานใน 3 ด้าน ทั้งอัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนฯ และมาตรการจำกัดการเคลื่อนย้ายเงินทุน ซึ่งขณะนี้โอกาสที่จะใช้มาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าก็มีความเป็นไปได้ “คนที่มาเป็นผู้ว่าการ ธปท. มาแล้วก็ต้องไป ตั้งแต่เข้ามาทำงานวันแรกก็รู้แล้วว่าจะต้องออกเมื่อไร แต่ความน่าเชื่อถือขององค์กรเป็นสิ่งสำคัญ และเราไม่ต้องการสร้างความขัดแย้ง ซึ่งที่ผ่านมาการดำเนินการของ ธปท.ได้รับความเชื่อถือจากทั่วโลกว่ามีประสิทธิภาพ และประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ซึ่งกำลังจะตั้งธนาคารกลางอย่างจริงจัง ก็ใช้นโยบายการเงินของไทยเป็นแบบอย่าง ดังนั้น อย่าทำอะไรที่ทำให้เกิดการขาดความเชื่อมั่น เพราะจะต้องเดินหน้าต่อ อย่าถอยหลังและเข้าไปต่อคิวใหม่ในเวทีโลก” นายประสารกล่าว.