ธปท.เผยเช็คเด้งเดือน ม.ค.ปีนี้พุ่ง 7.66 หมื่นใบ มีมูลค่า 1.23 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.35% สาเหตุเกิดจากผลกระทบจากการเมือง ฉุดเศรษฐกิจชะลอ จนธุรกิจค้าขาย–โรงแรม–ผู้รับเหมาก่อสร้างเงินสดขาดมือ ปล่อยเช็คเด้ง ด้านแบงก์คุมเข้มหวั่นใช้เงินผิดประเภท

ผู้สื่อข่าวรายงานจากธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) ว่า บริการเรียกเก็บเงินตามเช็คทั่วประเทศ เดือน ม.ค.2557 การเก็บเงินตามเช็คทั้งระบบผ่านศูนย์ 1.การเรียกเก็บเงินตามเช็คในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 2.การเรียกเก็บเงินตามเช็คภายในจังหวัดในเขตภูมิภาค และ 3.การเรียกเก็บเงินตามเช็คข้ามเขตจังหวัด พบว่ามีปริมาณเช็คทั้งสิ้น 6.38 ล้านใบ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 692,000 ใบหรือ 12.16% โดยมีมูลค่าเช็ครวมทั้งสิ้น 3.2 ล้านล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน 98,400 ล้านบาท หรือ 3%

ทั้งนี้ หากดูในรายละเอียดจะพบว่าเช็คเรียกเก็บทั้งหมดมีปริมาณเช็คคืนไม่มีเงินหรือเช็คเด้งทั้งสิ้น 76,600 ใบ เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 10,000 ใบหรือ 15.06% มีมูลค่าเช็คเด้งรวมทั้งสิ้น 12,300 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อน 2,070 ล้านบาท หรือ 20.35%

อย่างไรก็ตาม เมื่อแยกดูตามศูนย์เขตก็พบว่าเช็คเด้งในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลมากที่สุด 40,800 ใบ มูลค่ารวม 8,450 ล้านบาท รองลงมาเป็นเช็คข้ามเขตจังหวัดมีปริมาณ 23,900 ใบ มีมูลค่ารวม 2,050 ล้านบาท และถัดมาเป็นเช็คเด้งภายในจังหวัดในเขตภูมิภาคปริมาณ 11,900 ใบ มีมูลค่ารวม 1,740 ล้านบาท

สำหรับสาเหตุที่ปริมาณเช็คเด้งที่เพิ่มขึ้น น่าจะเป็นผลมาจากสภาพคล่องของภาคธุรกิจรายย่อยหรือเอสเอ็มอีเริ่มจ่ายเงินตามเช็คไม่ได้ เพราะเงินสภาพคล่องหมุนเวียนขาดมือ เนื่องจากขายสินค้าได้น้อยลง สืบเนื่องมาจากประชาชนในภาคครัวเรือนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่าย ส่วนหนึ่งมีหนี้เดิมสูงอยู่แล้ว ทำให้ก่อหนี้เพิ่มไม่ได้มากนัก เพราะธนาคารพาณิชย์ก็ระวังการให้กู้เพราะห่วงหนี้เสีย

นายเวทย์ นุชเจริญ รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ยอดเช็คเด้งในเดือน ม.ค.ที่เพิ่มขึ้น เป็นการส่งสัญญาณถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศหดตัวลง และแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการบางรายเริ่มมีปัญหาความสามารถในการชำระหนี้และขาดสภาพคล่อง โดยธุรกิจที่เริ่มมีความเสี่ยงเกิดปัญหาเช็คเด้ง เช่น ธุรกิจค้าขาย  โรงแรม และร้านอาหารในเขตกรุงเทพฯ บางแห่ง ได้รับผลกระทบการชุมนุมทางการเมือง มีคนมาซื้อสินค้าและใช้บริการลดลง ขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กำลังซื้อลูกค้าลดลงจากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้อุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น เฟอร์นิเจอร์ และของตกแต่งได้รับผลกระทบตามไปด้วย

นอกจากนี้  ผู้รับเหมารายเล็กได้รับผลกระทบจากรัฐบาลไม่ได้มีโครงการลงทุนใหม่ ทำให้ไม่มีงานใหม่ในมือ ส่วนการเบิกเงินเกินบัญชีหรือโอดีของเอสเอ็มอีรายย่อย ธนาคารจะระมัดระวังเกรงว่าจะมีการนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์การขอกู้เงิน

“เอสเอ็มอีบางรายเริ่มขอขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้หรือยืดหนี้ออกไป เพราะขาดสภาพคล่อง ซึ่งหากเป็นอย่างนี้นานๆอาจทำให้เกิดวิกฤติได้ ดังนั้นแนวทางแก้ปัญหาเบื้องต้นผู้ประกอบการต้องมีแผนฉุกเฉินรองรับด้วยการลดต้นทุนการผลิต ลดธุรกรรมที่ไม่จำเป็นลง เพิ่มเงินทุนหมุนเวียน และลดเวลาการทำงานหรือชั่วโมงทำงาน เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดได้”.