พิษวิกฤติอียูไม่จบ สศอ.เผยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาส3ติดลบ10.2%
สศอ. แจงดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมไตรมาส 3 ติดลบ 10.2% และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65.5% สะท้อนวิกฤติเศรษฐกิจ อียู เริ่มส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมไทย คาดการณ์ จีดีพี ภาคอุตสาหกรรม ปี 56 ขยายตัว 4.0-5.0% และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมขยายตัว 3.5 4.5%
เมื่อวันที่ 25 ต.ค. นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิด เผยว่า ภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ไตรมาสที่ 3 ติดลบ 10.2% และอัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ 65.5% สาเหตุหลักมาจากการลดลงของกลุ่มอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออก ที่ถูกกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจของตลาดคู่ค้าไทยที่ชะลอตัว ส่วนการผลิตที่ยังคงมีระดับเพิ่มสูงขึ้นเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เน้นตอบสนองความต้องการในประเทศ เช่นรถยนต์ วัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ด้วยแรงกระตุ้นจากการใช้จ่ายบริโภคและลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงผลของนโยบายของรัฐ เช่น โครงการรถคันแรก โครงการจำนำสินค้าเกษตร โครงการป้องกันน้ำท่วม
สำหรับการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมไปตลาด อียู ในเดือนกันยายน ลดลง 9.7% น้อยกว่าเดือนสิงหาคม ที่ลดลง 22.9% โดยภาพรวมของการส่งออกสินค้าไป อียู ในไตรมาส 3 หดตัว 17.8% ซึ่งสินค้าหลักที่ส่งออก คือ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณี และ เครื่องประดับ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องใช้ไฟฟ้า และผลิตภัณฑ์ยาง ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรายสาขาที่สำคัญ ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ ในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุน เช่น การขยายนโยบายรถยนต์คันแรก การแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดมากขึ้น และโรงงานผลิตรถยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์ สามารถกลับมาดำเนินการผลิตได้เป็นปกติ จึงมีการเร่งการผลิตรถยนต์ เพื่อให้ทันต่อความต้องการของลูกค้า โดยมีการผลิตรถยนต์ จำนวน 648,751 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 36.68 โดยแนวโน้มอุตสาหกรรม ในไตรมาสที่ 4 คาดว่าจะมีการผลิตรถยนต์ 2,350,000 คัน เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 61.20 มีการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ 1,250,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวก่อนของปีก่อน 57.41% และการส่งออก 1,100,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกับของปีก่อน 49.53%
อุตสาหกรรมปูซีเมนต์ ในไตรมาสที่ 3 การผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) คาดว่า ขยาย14.60 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ทั้งภาคธุรกิจและภาคอุตสหากรรม การขยายกำลังการผลิตของวัสดุก่อสร้าง และวัสดุทดแทนไม้ ที่ใช้ปูนซีเมนต์เป็นวัตถุดิบหลักได้รับความนิยมมากขึ้น การใช้ปูนซีเมนต์ในการฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานที่เสียหายจากอุทกภัย รวมทั้งนโยบายเร่งรัดพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมขนส่งสู่ชานเมือง ทำให้ความต้องการปูนซีเมนต์ในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ส่วนแนวโน้มของภาวะอุตสหากรรมปูนซีเมนต์ ในไตรมาสที่ 4 ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 18.11% และเมื่อเฉลี่ยทั้งปีคาดว่ายอดการผลิตจะขยายตัว 11.82 %
ส่วนการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม ปีนี้ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ภาคอุตสาหกรรม จะขยายตัวร้อยละ 5.5 6.5 และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม จะขยายตัว 5.0 6.0 % ส่วนในปี 2556 จีดีพี ภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัว4.0 5.0 % และ ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม จะขยายตัว 3.5 4.5% โดยมีปัจจัยบวกคือการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนภาครัฐยังมีแนวโน้มที่จะขยาย ตัวจากการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐ แรงกดดันด้านราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนปัจจัยเสี่ยงคือการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า การฟื้นตัวของบางอุตสาหกรรมที่อาจจะล่าช้าไปจนถึงสิ้นปี 2555 ต่อเนื่องถึงปี 2556 และการแข็งค่าของเงินบาท หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่ม.
โดย: ไทยรัฐออนไลน์