พาณิชย์ เผยยอดส่งออกเดือน ก.ย.55 พลิกกลับมาโต 0.2% บวกครั้งแรกในรอบ 4 เดือน เหตุมูลค่าส่งออกรถยนต์โตกระฉูด 16.8% และตลาดใหม่ขยายตัว รับ มูลค่าส่งออกปีนี้โตอย่างเก่งแค่ 5% ต่ำสุดรอบ 3 ปี แต่ยังดีกว่าเพื่อนบ้านที่ติดลบระนาว
เมื่อวันที่ 24 ต.ค. นายภูมิ สาระผล รมช.พาณิชย์ เปิดเผยถึงสถิติการค้าระหว่างประเทศของไทยเดือน ก.ย.55 ว่า การส่งออกมีมูลค่า 20,788.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนับจากเดือน พ.ค.ที่ขยายตัว 10.18% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 648,610.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.55% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 19,635.6 ล้านเหรียญฯ ลดลง 7.70% เมื่อคิดเป็นเงินบาทมีมูลค่า 620,094.8 ล้านบาท ลดลง 2.87% ส่งผลให้มีดุลการค้าเกินดุล 1,152.8 ล้านเหรียญฯ หรือเกินดุล 28,516 ล้านบาท
ส่วนในช่วง 9 เดือน (เดือน ม.ค.-ก.ย.) 55 การส่งออกมีมูลค่ารวม 172,347.7 ล้านเหรียญฯ ลดลง1.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือคิดเป็นเงินบาท 5.346 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.17% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 184,302.2 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 5.76% หรือคิดเป็นเงินบาท 5.783 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.20% ส่งผลให้มีดุลการค้าขาดดุล 11,954.5 ล้านเหรียญฯ หรือ ขาดดุล 436,586.8 ล้านบาท
สำหรับปัจจัยบวกที่ส่งผลให้การส่งออกกลับมาเติบโตได้ มาจากการขยายการส่งออกที่เพิ่มขึ้นในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ รวมถึงการเติบโตในอุตสาหกรรมยานยนต์ แต่ยังมีปัจจัยลบจากวิกฤติเศรษฐกิจยุโรปที่กำลังลุกลามไปหลายประเทศ จนกระทบต่อการส่งออกไทย แต่คาดว่าการส่งออกทั้งปี 55 จะขยายตัวได้ 5% จากปีก่อน ต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15% นอกจากนี้ กระทรวงพาณิชย์ยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกไปยังตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง
ช่วงเวลาที่เหลือคงไม่สามารถทำให้การส่งออกปีนี้ขยายตัวได้ตามเป้าหมายเดิมที่กำหนดไว้ 15% โดยคาดว่าอาจจะเติบโตได้เพียง 5% เท่านั้น แม้จะเป็นการเติบโตต่ำสุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ปี 52 ที่มูลค่าการส่งออกติดลบถึง 14.26% แต่ยังถือว่าการส่งออกของไทยไทยดีกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก เพราะสิงคโปร์ เกาหลีใต้ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซียต่างขยายตัวติดลบหมด นายภูมิ กล่าว
นายภูมิ กล่าวด้วยว่า มูลค่าการส่งออกในเดือน ก.ย.ที่เติบโตได้ 0.2% นั้น เป็นการเพิ่มขึ้นของสินค้าในหมวดอุตสาหกรรม ที่เพิ่มขึ้น 8.4% แต่หมวดสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรม ลดลง 22.8% ส่วนเมื่อแยกเป็นรายตลาด พบว่า ตลาดหลัก ลดลง 5.7% ตลาดศักยภาพสูงลดลง 8.8% แต่ตลาดศักยภาพระดับรองเพิ่มขึ้น 6.9% และตลาดอื่นเพิ่มขึ้น 451.7%.