ธ.ก.ส. เตรียมวงเงิน 10,000 ล้านบาท พร้อมหั่นดอกเบี้ยลงเหลือ 4% จากปัจจุบัน 7% ซับน้ำตาชาวนากว่า 200,000 รายที่ได้รับผลกระทบจากลดราคาจำนำข้าว ให้ไปลงทุนเพาะปลูกข้าวฤดูกาลใหม่ ด้าน บุญทรง พร้อมเทสต๊อกข้าว เตรียมเปิดประมูลเป็นการทั่วไปเร็วๆนี้ ขณะที่ผู้ส่งออก ยันราคาที่รัฐจะขายให้ต้องทำให้แข่งขันในตลาดโลกได้
นายบุญไทย แก้วขันตี รองผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้ามาตรการช่วยเหลือเกษตรกร 200,000 รายทั่วประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดวงเงินรับจำนำข้าวเปลือกเจ้า 100% เหลือตันละ 12,000 บาท จากตันละ 15,000 บาท ว่า ขณะนี้ ธ.ก.ส.ได้พิจารณาถึงมาตรการที่จะนำออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบดังกล่าวแล้ว และจะเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการ (บอร์ด) ธ.ก.ส. ในเร็วๆ นี้ ในเบื้องต้น ธ.ก.ส.จะเตรียมวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท และจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 3% จากระดับปกติ 7% เหลือเพียง 4% เพื่อให้ชาวนากลุ่มนี้นำไปลงทุนเพาะปลูกข้าวในฤดูกาลใหม่ อย่างไรก็ตาม หากวงเงิน 10,000 ล้านบาทไม่เพียงพอต่อความ ต้องการ ธ.ก.ส. จะเพิ่มวงเงินให้อีก ทั้งนี้ ขณะนี้โครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปรังปี 56 มีข้าวเข้าโครงการแล้วกว่า 4 ล้านตัน ใช้เงินไปแล้ว 60,000 ล้านบาท จากเป้ารับจำนำ 7 ล้านตัน วงเงิน 105,000 ล้านบาท
ชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากการปรับลดราคาจำนำเหลือ 12,000 บาทต่อตัน จะมีประมาณ 200,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. แต่หากมีชาวนาคนใดที่ไม่ได้เป็นลูกค้าธนาคาร แต่หากเป็นลูกค้าของสหกรณ์ ทาง ธ.ก.ส.ก็อาจจะให้สินเชื่อผ่านสหกรณ์
นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวภายหลังการประชุมร่วมกับสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เพื่อหารือถึงแนวทางการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลว่า ได้หารือถึงแนวทางการเปิดระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาล ซึ่งได้ข้อยุติว่าจะเปิดประมูลเป็นการทั่วไป โดยผู้ส่งออกขอให้มีการเปิดระบายอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกสัปดาห์ ซึ่งได้มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศไปจัดทำรายละเอียดปริมาณ ชนิดข้าว และช่วงเวลาประมูลที่เหมาะสม หากได้ข้อสรุปก็จะเปิดการประมูลทันที ขณะเดียวกัน จะเชิญตัวแทนจากตลาดซื้อขายสินค้าเกษตรล่วงหน้าแห่งประเทศไทย (เอเฟต) มาหารือเพื่อเพิ่มช่องทางในการระบายข้าวในสต๊อกของรัฐบาลด้วย
สำหรับราคาที่จะใช้ในการประมูล จะยึดราคาตลาดเป็นหลัก ยอมรับว่าการระบายข้าวของรัฐบาลต้องขาดทุนเป็นธรรมดา แต่จะพยายามดูช่วงเวลา และราคาที่เหมาะสมในการระบาย เพื่อให้ขาดทุนน้อยที่สุด คาดว่าจากการเร่งระบายของรัฐบาล จะทำให้ปีนี้การส่งออกข้าวของไทยเป็นไปตามเป้าหมายที่ 8 ล้านตัน ส่วนการตรวจพบการทุจริตของโรงสีที่จังหวัดพิจิตร กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา รวมทั้งขึ้นบัญชีดำโรงสีดังกล่าวแล้ว
นายบุญทรง กล่าวว่า การนัดรวมตัวกันของเกษตรกรในวันนี้ (25 มิ.ย.) เพื่อยื่นหนังสือเปิดผนึกให้กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อให้ทบทวนการปรับลดราคารับจำนำ ก็พร้อมที่จะไปชี้แจงให้เกษตรกรเข้าใจด้วยตนเอง และไม่เชื่อว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้น ยกเว้นมีมือที่ 3 มาทำอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้เหตุการณ์บานปลาย อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ยังไม่ได้เสนอทบทวนหลักเกณฑ์การจำนำข้าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันนี้ เพราะได้พิจารณาและอนุมัติการปรับเงื่อนไขของโครงการอย่างเป็นทางการไปแล้ว
ส่วนนางกอบสุข เอี่ยมสุรีย์ นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ภาคเอกชนช่วยเสนอแนวทางในการระบายข้าวของรัฐบาล นอกเหนือจาก 5 แนวทางที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้อนุมัติเป็นกรอบไว้ คือ การขายแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี), การบริจาค, การซื้อขายผ่านเอเฟต, การขายให้หน่วยราชการของรัฐ และทำข้าวสารบรรจุถุง โดยให้ไปหารือร่วมกับกรมการค้าต่างประเทศ และต้องการให้ดำเนินการโดยเร็วที่สุด แต่ไม่ว่าจะเป็นวิธีการใด คงต้องนำเสนอให้ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) พิจารณาอนุมัติก่อน
คงเป็นแนวทางเก่าๆ เช่น การเปิดประมูลทั่วไปครั้งละไม่มาก ส่วนการจะให้ผู้ส่งออกร่วมมือกับบริษัทระหว่างประเทศ (เทรดดิ้ง เฟิร์ม) จากต่างประเทศที่สนใจซื้อข้าวรัฐ ยื่นประมูลเสนอซื้อข้าวรัฐ ก็ทำได้ เพราะบริษัทเหล่านี้เป็นลูกค้าของเราอยู่แล้ว และวิธีเดิมที่จับคู่ผู้ส่งออก ให้ไปซื้อข้าวหอมมะลิโดยตรงจากโรงสีนั้น ก็คงต้องทำในช่วงที่ข้าวใหม่ออกเท่านั้น ขณะที่วิธีการอื่นๆ ก็คิดกันอยู่บ้างแล้ว แต่ยังไม่ตกผลึก เพราะวิธีการใดๆ ที่จะออกมา คงต้องพิจารณารายละเอียดหลายอย่าง เช่น คุณภาพข้าวที่เก็บในแต่ละโกดังต่างกัน ไม่ใช่ทำออกมาแล้วใช้ร่วมกันทั้งหมดไม่ได้
สำหรับราคาในสต๊อกที่จะขายให้กับผู้ส่งออกนั้น นางกอบสุขกล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้พูดถึง คงจะอ้างอิงราคาตลาดโลก และต้องเป็นราคาที่ผู้ส่งออกสามารถทำตลาดในต่างประเทศได้ แต่ไม่ใช่ต้องลดราคาต่ำมาก เพื่อไปแข่งขันกับเวียดนาม ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า ข้าวไทยมีการรมยามาก จนไม่ปลอดภัยกับผู้บริโภคนั้น ยืนยันว่า ข้าวต้องมีการรมยาเพื่อกำจัดมอดและแมลงทุกๆ 3 เดือนอยู่แล้ว และยาที่ใช้ก็เป็นยาที่องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (เอฟเอโอ) อนุญาตแล้ว ซึ่งยานี้จะระเหิดไปเอง ไม่เหลือตกค้างจนเป็นอันตรายกับผู้บริโภค.