'ธีระชัย'แรง!! โพสต์เฟซบุ๊ก อัด'โต้ง'ล้วงลูก ธปท.
'ธีระชัย'แรง!! โพสต์เฟซบุ๊ก อัด'โต้ง'ล้วงลูก ธปท.
"ธีระชัย" อดีต รมว.คลัง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว สับ "โต้ง" ไม่ควรแทรงแซง ธปท. กดดันให้ลดดอกเบี้ยตามต้องการ ระบุการตัดสินใจควรเป็นหน้าที่ฝ่ายวิชาการ ระบุอย่าอ้างเกรงแบงค์ชาติขาดทุนกว่า 4 แสนล้านบาท กระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจ เตือนความจำ ในอดีตทำไมเคยเสนอโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท เป็นภาระแบงค์ชาติ
เมื่อเวลาประมาณ 22.30 น. วันที่ 5 ก.พ.56 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้โพลต์เฟซบุ๊กส่วนตัว โดยใช้หัวข้อว่า "รัฐมนตรีคลังไม่ควรแทรกแซงแบงค์ชาติ" โดยแบ่งเป็น 3 ตอน โดยเนื้อหา กล่าวถึงกรณีนายนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกและรัฐมนตรีคลังได้ทำหนังสือถึงบอร์ดธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุในฐานะลูกหม้อธปท.และเคยเป็นรมว.คลัง เห็นว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ โดยพยายามกดดันให้บอร์ด และบีบให้ธปท.ลดดอกเบี้ย ถือเป็นการแทรงแซงธปท.โดยตรง สำหรับเนื้อหาทั้งหมด ได้แก่ รัฐมนตรีคลังไม่ควรแทรกแซงแบงค์ชาติ - นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกและรัฐมนตรีคลังได้ทำหนังสือถึงบอร์ดแบงค์ชาติ เพื่อย้ำว่ากรรมการแบงค์ชาติทุกคนจะต้องร่วมรับผิดชอบ ต่อผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และต่อความเสียหายที่แบงค์ชาติทำ - นายกิตติรัตน์อ้างว่าเป็นห่วงเป็นใยกับการที่แบงค์ชาติมีขาดทุนสะสมกว่า 400,000 ล้านบาท และไม่ต้องการให้ขาดทุนดังกล่าว กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ หรือเป็นหนี้สาธารณะ - ผมเองต้องแสดงความเห็นเรื่องนี้ ในฐานะที่เคยเป็นลูกหม้อแบงค์ชาติ และเคยเป็นรัฐมนตรีคลัง - แต่ขอย้ำว่ามิใช่เพื่อนัยทางการเมืองใดๆ ทั้งนี้ ตั้งแต่พ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 17 มกราคม 2555 ไปแล้วนั้น ผมไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับพรรคการเมืองใดทั้งสิ้น จึงแสดงความเห็นจากแง่มุมวิชาการและประสบการณ์เป็นสำคัญ - วิธีการทำหนังสือไปขู่กรรมการแบงค์ชาติอย่างนี้ ผมเห็นว่าเป็นการไม่ให้เกียรติ เป็นการทึกทักเอาเองว่ากรรมการแบงค์ชาติเพิกเฉยต่อภาวะเศรษฐกิจ หรือต่อผลขาดทุนของแบงค์ชาติ - ผมไม่เคยเห็นรัฐมนตรีคลังผู้ใดทำเช่นนี้ในอดีตที่ผ่านมา ไม่ว่าในประเทศไทย หรือในประเทศอื่นใด การ ทำหนังสือดังกล่าว เป็นการพยายามบีบให้กรรมการกลัว และเป็นการกดดันแบงค์ชาติให้ลดดอกเบี้ย ตามที่รัฐมนตรีคลังต้องการ จึงเป็นการแทรกแซงแบงค์ชาติโดยตรง รัฐมนตรีคลังไม่ควรแทรกแซงแบงค์ชาติ (2) -การ ทำนโยบายการเงินของประเทศหนึ่งๆ นั้น มีทางเลือกสองทาง ทางหนึ่งคือทำนโยบายของตัวเองเป็นอิสระ ส่วนอีกทางหนึ่ง ไม่ทำนโยบายของตัวเอง แต่ไปขอยืมใช้นโยบายการเงินของประเทศหลัก - เหตุที่บางประเทศต้องไปขอยืมใช้นโยบายการเงินของประเทศอื่นนั้น เป็นเพราะสะดวกบ้าง เป็นเพราะนโยบายของตนเองอาจจะไม่ได้รับความเชื่อถือบ้าง เป็นประเทศเล็กที่ค้าขายส่วนใหญ่กับประเทศหลักบ้าง เป็นประเทศที่ไม่มีกลไกให้ภาคเอกชนป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนบ้าง เป็นต้น - ในอดีตย้อนไปหลายสิบปี ประเทศหลักที่ประเทศอื่นๆ นิยมขอยืมใช้นโยบายด้วยนั้น คือประเทศอังกฤษ แต่ปัจจุบันคือประเทศสหรัฐ - กรณีที่ประเทศใดไปขอยืมใช้นโยบายการเงินของประเทศสหรัฐนั้น ก็ต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามสหรัฐทุกประการ ค่าเงินก็จะผูกโยงกับดอลลาร์ - แต่ประเทศที่ขอยืมใช้นโยบายการเงินของสหรัฐนั้น มักจะมีปัญหาว่า ในบางขณะ ระดับดอกเบี้ยที่เหมาะสมกับสหรัฐ อาจจะไม่เหมาะสมกับประเทศตัวเอง - กรณีประเทศไทยสมัยก่อนก็ขอยืมใช้นโยบายการเงินของสหรัฐมาเป็นเวลานาน แรกๆ ก็ผูกเงินบาทไว้กับดอลลาร์แบบตายตัว หลังๆ ก็ใช้ระบบตะกร้า แต่เงินในตะกร้าส่วนใหญ่ก็คือดอลลาร์นั่นเอง - แต่การขอยืมใช้นโยบายการเงินของสหรัฐ ได้นำประเทศไทยไปสู่วิกฤตต้มยำกุ้ง ไทยจึงได้เปลี่ยนไปใช้ระบบลอยตัว มีนโยบายการเงินเป็นอิสระ - เมื่อมีนโยบายการเงินเป็นอิสระแล้ว ไทยก็ไม่จำเป็นต้องคงอัตราดอกเบี้ยเงินบาท ไว้เท่ากับดอลลาร์ แต่สามารถกำหนดให้เหมาะกับสภาวะเฉพาะของประเทศไทยได้ - ดังนั้น หากแบงค์ชาติจะลดดอกเบี้ย ก็ควรจะเป็นผลจากปัจจัยในประเทศเป็นหลัก ส่วนผลดีในการชะลอเงินทุนไหลเข้านั้น ก็ควรเป็นปัจจัยประกอบพิจารณาเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้น - แบงค์ชาติไม่ควรลดดอกเบี้ยเพียงเพื่อสะกัดเงินทุนไหลเข้าปัจจัยเดียว - การลดดอกเบี้ยควรจะทำหรือไม่ รัฐมนตรีคลังจึงควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของนักวิชาการ นักเศรษฐศาสตร์ และกรรมการนโยบายการเงิน ควรปล่อยให้เขาถกเถียงกัน ไม่ใช่เข้าไปแทรกแซง รัฐมนตรีคลังไม่ควรแทรกแซงแบงค์ชาติ (3) - สำหรับการที่นายกิตติรัตน์อ้างข้อกังวลว่าแบงค์ชาติขาดทุนกว่า 400,000 ล้านบาทนั้น ขอเรียนว่าไม่จำเป็นต้องกังวล - ตราบใดที่การบริหารเศรษฐกิจโดยรวมของแบงค์ชาติและของกระทรวงการคลังเป็นที่ น่าเชื่อถือ ก็จะไม่มีผู้ใดมีข้อกังวลเกี่ยวกับขาดทุนของแบงค์ชาติ - ขาดทุนแบงค์ชาตินั้นเป็นการสะท้อนบัญชีเศรษฐกิจของประเทศ เพราะขาดทุนเกือบทั้งหมดนั้น เกิดจากการที่แบงค์ชาติเข้าไปสะสมทุนสำรอง - การที่แบงค์ชาติเข้าไปสะสมทุนสำรอง ก็เพื่อมิให้เงินบาทแข็งตัวเร็วเกินไป - หากเงินบาทแข็งเร็วจนปรับตัวไม่ทัน นักธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมก็จะถูกกระทบ อาจถึงขั้นปิดกิจการ และจะกระทบต่อการจ้างงาน - แบงค์ชาติจึงเอาตัวเข้าไป ช่วยรับภาระแทนธุรกิจขนาดกลางขนาดย่อมเหล่านี้ ขาดทุนของแบงค์ชาติ จึงมีตัวเลขกำไรเกิดขึ้นในภาคธุรกิจ เป็นภาพสะท้อนในกระจกเงา เป็นจำนวนที่ไม่น้อยกว่ากัน - ผมจึงเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องไปกังวลกับขาดทุนแบงค์ชาติมากจนเกินไป และก็มีหลายประเทศในโลก ที่ธนาคารกลางหรือองค์กรที่มีทุนสำรองของประเทศ มีผลการดำเนินงานขาดทุน - นอกจากนี้ ขาดทุนแบงค์ชาติ ก็ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ ไม่ว่าตามกฎหมายไทย หรือตามนัยทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งทั่วโลกก็ถือปฏิบัติตามนี้ ดังนั้น ข้อกังวลของนายกิตติรัตน์ ว่าขาดทุนแบงค์ชาติจะกระทบหนี้สาธารณะนั้น ตัดทิ้งไปได้เลย - ส่วนประเด็นที่นายกิตติรัตน์ กลัวว่าขาดทุนแบงค์ชาติจะกระทบเสถียรภาพเศรษฐกิจนั้น ผมแปลกใจว่า ทำไมนายกิตติรัตน์เพิ่งจะมาแสดงความกังวลเอาตอนนี้ - ผมจำได้ว่าในช่วงที่ผมเป็นรัฐมนตรีคลัง ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 27 ธันวาคม 2554 นายกิตติรัตน์ในฐานะรองนายก ได้เป็นผู้เสนอต่อคณะรัฐมนตรีด้วยตนเอง ให้โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาท ไปให้เป็นภาระของแบงค์ชาติ - นายกิตติรัตน์ชี้แจงเหตุผลว่า เดิมในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง แบงค์ชาติฐานะอ่อน รัฐบาลขณะนั้นจึงต้องเข้าไปช่วยรับภาระหนี้ดังกล่าวไว้ แต่บัดนี้แบงค์ชาติฐานะดีขึ้นแล้ว จึงควรโอนหนี้ไปให้แบงค์ชาติ ซึ่งผมคัดค้าน - และเรื่องนี้ เป็นเหตุให้เราทั้งสองแถลงข่าวขัดกัน โดยนายกิตติรัตน์แถลงว่าคณะรัฐมนตรีเห็นชอบในหลักการ แต่ผมแถลงว่าคณะรัฐมนตรีให้ไปปรึกษาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก่อน - เรื่องนี้ในภายหลัง ผมก็ได้เสนอทางออก โดยให้แบงค์พาณิชย์ทั้งระบบเข้ามาช่วยกันรับภาระหนี้แทน - แต่ทั้งนี้ ในวันนั้น สมมุติหากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติให้โอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ไปให้แบงค์ชาติตามที่นายกิตติรัตน์เสนอจริงๆ ผลขาดทุนของแบงค์ชาติในวันนี้จะไม่ใช่ 400,000 ล้านนะครับ แต่จะเป็น 1.5 ล้านล้าน - ถ้าในวันนั้น นายกิตติรัตน์มิได้กังวล ที่แบงค์ชาติจะขาดทุนบานเบิกออกไป ถึงระดับ 1.5 ล้านล้าน ทำไมวันนี้ กลับจะมากังวลกับตัวเลขขาดทุนเพียง 400,000 ล้าน ผมไม่เข้าใจ
ข่าวการศึกษา ข่าวการเมือง ข่าวกีฬา ข่าวดาราบันเทิง ข่าวต่างประเทศ ข่าวพระเครื่อง ข่าวรถยนต์ ข่าวศาสนา ข่าวสังคม สตรี ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวไอที ข่าวเทคโนโลยี ตลาดพระ พระเครื่อง วาไรตี้ สนามพระ เว็บไอที
Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2556 |
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2556 3:28:53 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1826 Pageviews. |
|
|