“บุญทรง” ลงพื้นที่แจงชาวนา ยันชัดไม่ใช่ต้นเหตุทำประเทศชาติเสียหายจากโครงการรับจำนำ เดินหน้าโครงการต่อแน่ พร้อมประชุม กขช. 13 มิ.ย.นี้ ชำแหละรายงานอนุกรรมการปิดบัญชีฯ รมช.พาณิชย์ ท้าฝ่ายค้านอธิบายถึงที่มาที่ไปของข้อมูลขาดทุน

เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย รมช.คลัง นางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยตัวแทนข้าราชการระดับสูงจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้เดินทางมาจัดงานเสวนา จำนำข้าวสัญจร จับเข่าคุยเกษตรกรชาวนา เพื่อชี้แจงและตอบข้อซักถามเกี่ยวกับโครงการรับจำนำข้าว โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยความคึกคักมีชาวนา จ.พิษณุโลก และจังหวัดใกล้เคียงเดินทางเข้ามารับฟังกันมากกว่า 1,300 คน พร้อมทั้งมีการแจกหนังสือ "รู้ลึก รู้จริง โครงการรับจำนำข้าว" รวมถึงมีกล่องให้รับแสดงความคิดเห็นให้ชาวนาสอบถามปัญหาการรับจำนำที่เกิดขึ้น

นายบุญทรง ได้กล่าวเปิดงานว่า ยืนยันว่าตัวเลขขาดทุนจากโครงการรับจำนำในปีแรกถึง 260,000 ล้านบาทไม่เป็นความจริง หากเอาเอกสารของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีกระทรวงการคลัง มาดูก็ไม่พบตัวเลขดังกล่าวปรากฏ โดยเฉพาะเกิดการโจมตีจากพ่อค้า นักวิชาการ พรรคการเมืองต่างๆ ดังนั้น ในความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์ จึงต้องออกมาชี้แจงให้สังคมเข้าใจ ซึ่งตามนโยบายจะตั้งเป้าหมายทำให้ครบ 3 ปีและได้ผลคือชาวนามีรายได้เพิ่มขึ้น ลดภาระหนี้สิน ซึ่งไม่มีเป้าหมายว่าจะต้องทำกำไร

“ในวันนี้ที่มาเพื่อจะสร้างความมั่นใจแก่ชาวนา ว่า ไม่ได้เป็นผู้สร้างความเสียหายแก่ประเทศชาติ และยืนยันว่าโครงการยังเดินหน้าต่อไป ซึ่งพี่น้องเกษตรกรสามารถเข้าร่วมโครงการได้เหมือนเดิม และยืนยันว่าเงินจะถึงมือชาวนาทุกคนเพราะมีกระบวนการจ่ายเงินที่ชัดเจน” นายบุญทรง กล่าว

นอกจากนี้ ยังขอปฏิเสธกระทรวงพาณิชย์ไม่ได้มีการของบประมาณเพิ่มมา 9 ล้านบาท สำหรับจัดเวทีจำนำข้าวสัญจรฯ เพื่อปลุกระดมมวลชน แต่เป็นเพียงงบปกติ ของโครงการรับจำนำที่มีอยู่แล้ว สำหรับใช้ในการประชาสัมพันธ์แก่เกษตร และที่ผ่านมาก็มีทำโครงการลักษณะนี้อยู่แล้ว ส่วนเรื่องการรับเงินล่าช้า ยอมรับว่าเกิดขึ้นในกลุ่มของชาวนาที่นำข้าวเข้าร่วมจำนำเกิน 500,000 บาท เนื่องจากต้องมีขั้นตอนตรวจสอบรายละเอียดให้รอบคอบก่อนจ่ายเงินออกไป

ส่วนการประเมินผลสำเร็จจากการทำโครงการเวทีข้าวสัญจรฯ ว่าจะพิจารณาว่าสามารถรับทราบปัญหาของชาวนาและแก้ไขปัญหาให้ชาวนาได้มากน้อยเพียงใด และชาวนามีความเข้าใจต่อโครงการรับจำนำข้าวหรือไม่ อย่างไร โดยรวมอยากเห็นความเข้าใจมากกว่าการเดินหน้าเพื่อชี้แจงประเด็นใดประเด็นหนึ่งเป็นการเฉพาะ ส่วนกรณีที่มีความเป็นห่วงว่า การขาดทุนโครงการจำนำ จะกระทบต่อความเชื่อมั่นในการเดินหน้าโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานประเทศ 2 ล้านล้านบาทหรือไม่ นายบุญทรง กล่าวว่า เป็นคนละส่วนกัน เพราะโครงการจำนำเป็นการใช้เงินกู้จากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)

นายบุญทรง กล่าวอีกว่า ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ ตนได้รับมอบหมายจากนายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานในการประชุม กขช. โดยวาระสำคัญ คือการพิจารณารายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำว่ามีข้อมูลถูก ต้องหรือไม่  ส่วนจะเชิญ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในฐานประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำมาให้ข้อมูลหรือไม่ ขึ้นอยู่กับฝ่ายเลขาฯ จะพิจารณา ส่วนผลการประชุมจะนำมาสู่การเปิดเผยตัวเลขสรุปผลการจำนำข้าวหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม

ด้านนายวิเชียร พวงลำเจียก นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย กล่าวว่า โครงการจำนำถือว่าสร้างประโยชน์ให้เกษตรกรมากที่สุดและอยากให้ดำเนินต่อเนื่องไป 5-10 ปี เพื่อช่วยปลดหนี้ และให้เกษตรกรกลับมามีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง ซึ่งที่ผ่านมาก่อนมีการจำนำเกษตรกรถูกเอาเปรียบทุกครั้ง และต้องมีการชุมนุมเรียกร้อง แต่พอมีจำนำก็ไม่ต้องชุมนุมแล้ว

ขณะที่นายณัฐวุฒิ รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า  ยืนยันว่าเวทีนี้ไม่ใช่การปลุกระดมชาวนาเพื่อหวังผลทางการเมือง แต่ต้องมีประเด็นขอชี้แจงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้ออกมาแถลงและมีข้อมูลคาดเคลื่อนไม่เป็นจริง เรื่องแรกค่าบริหารจัดการโครงการ ที่ระบุว่ามีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านบาทนั้น แต่จากการตรวจสอบเอกสารของกระทรวงการคลัง ไม่พบว่ามีการระบุตัวเลขนี้ และที่สำคัญตัวยังขัดแย้งกับของ นายกรณ์ จาติกวณิช อดีต รมว.คลัง ที่ออกมาบอกว่าค่าบริหารจัดการสูงถึง 60,000 ล้านบาท

สำหรับประเด็นที่นายอภิสิทธิ์อ้างว่า เม็ดเงินถึงมือเกษตรกรแค่ 86,600 ล้านบาท ทั้งที่รัฐใช้งบจำนำไปถึง 600,000 ล้านบาทนั้น ขอชี้แจงว่า ตัวเลขดังกล่าวเป็นข้อมูลที่ ธ.ก.ส.จัดทำขึ้นเพื่อเปรียบเทียบรายได้ที่ชาวนาจะได้รับเพิ่มขึ้นจากโครงการรับจำนำเฉพาะปี 54/55 ที่มีข้าวเข้ามา 21.65 ล้านตัน คูณกับส่วนต่างราคาตลาดที่ตันละ 4,000 บาท จึงได้เท่ากับ 86,600 ล้านบาท ส่วนกรณีที่หยิบยกข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่ารายได้เกษตรกรไทยลดลงตั้งแต่ปลายปี 55 นั้น จากการตรวจสอบอย่างละเอียดของสำนักคณะกรรมการเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) พบว่าข้อมูลนั้นเป็นภาพรวมของเกษตรกรทั้งหมดทุกภูมิภาค ซึ่งขณะนี้ผู้ปลูกยางพารา และปาล์มน้ำมันเผชิญราคาตกต่ำ จึงให้ทำให้ภาพรวมรายได้ลดลง แต่หากดูเฉพาะชาวนา หรือเกษตรกรที่มีการเพาะปลูกข้าวหนาแน่นในภาคกลางและอีสานพบว่า มีรายได้เพิ่มขึ้นมาตั้งแต่ปลายปี 54 หรือตั้งแต่เริ่มโครงการจำนำเป็นต้นมา

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ตัวเลขยอดขาดทุนโครงการรับจำนำทั้งหมดพบว่า มีหลายหน่วยงานออกมาคาดการณ์แตกต่างกันมาก เช่น สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทยระบุขาดทุน 170,000 ล้านบาท กระทรวงการคลัง 70,000-100,000 ล้านบาท สมาคมผู้ส่งออกข้าวบอกจะขาดทุนมากกว่า 260,000 ล้านบาท ขณะที่ รมว.พาณิชย์ ระบุไม่เกิน 80,000 ล้านบาท ซึ่งตัวเลขที่ไม่ตรงกันแสดงให้เห็นว่า เป็นแค่เพียงความเห็น และยังสรุปไม่ได้ เพราะงานยังไม่จบ จนทำให้ยุ่งกันไปหมด

“อยากให้พรรคฝ่ายค้านอธิบายถึงที่มาที่ไปของข้อมูลขาดทุนที่ออกมาเปิดเผย 260,000 ล้านบาท เนื่องจากรายงานของคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ เป็นเอกสารลับของราชการ แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเมื่อทำเสร็จแล้วจึงไปอยู่ในมือของพรรคฝ่ายค้านก่อน กขช. เสียอีก” นายณัฐวุฒิ กล่าว.