ผลประชุม ครม.ร่วมไทย-เวียดนาม บรรยากาศชื่นมื่น มุ่งขยายความร่วมมือรองรับประชาคมอาเซียน พร้อมบรรลุข้อตกลง 3 ฉบับ ทั้งด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และสังคม แจงมุ่งร่วมมือส่งเสริมการส่งออกและรักษาเสถียรภาพราคาของข้าว-ยางพารา เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย...
วันที่ 27 ต.ค. 2555 น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เช่น นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายชุมพล ศิลปอาชา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีร่วมไทยเวียดนาม ครั้งที่ 2 (Joint Cabinet Retreat) โดยการประชุมแบ่งเป็น 3 กลุ่มย่อย ได้แก่ กลุ่มการเมืองและความมั่นคง กลุ่มเศรษฐกิจ และกลุ่มสังคมและวัฒนธรรม ซึ่งการประชุมดังกล่าวถือเป็นครั้งแรกหลังว่างเว้นมาเป็นเวลากว่า 8 ปี นับตั้งแต่ปี 2547 ณ นครดานัง และ จ.นครพนม
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวภายหลังการประชุมกับ นายเหวียน เติ๊น สุง นายกรัฐมนตรีเวียดนาม ว่า ปัจจุบันภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ประกอบกับการจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในเร็วๆ นี้ นานาชาติจึงให้ความสนใจที่จะเข้ามามีปฏิสัมพันธ์กับภูมิภาคนี้มากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลไทยและเวียดนาม มุ่งยกระดับความสัมพันธ์ขึ้นเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่ใกล้ชิด ทั้งในระดับทวิภาคี ภูมิภาค และระดับโลก ทั้งในเชิงลึกและเชิงกว้างมากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ซึ่งเวทีการประชุมวันนี้ได้ช่วยสร้างความรู้จักคุ้นเคยระหว่างรัฐมนตรีสอง ฝ่าย อันเป็นประโยชน์ต่อการทำงานร่วมกันและประสานงานกันอย่างใกล้ชิดต่อไป
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุด้วยว่า ในการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองชาติประสบผลสำเร็จ โดยได้ลงนามข้อตกลงร่วมกัน 3 ฉบับ คือ ฉบับที่ 1 แถลงการณ์ร่วมเกี่ยวกับการประชุม ครม.ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 2 ฉบับที่ 2. แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยวิสัยทัศน์ความมั่นคง ไทย-เวียดนาม ปี 2555-2559 และฉบับที่ 3. ข้อตกลงก่อตั้งสภาธุรกิจไทย-เวียดนาม ในส่วนการเมือง ความมั่นคง และกลาโหม ทั้งสองฝ่ายเห็นตรงกันในการจัดทำแผนปฏิบัติการแลกเปลี่ยนความร่วมมือ โดยเฉพาะไม่อนุญาตให้บุคคล หรือองค์กรใดๆ ใช้อาณาเขตต่อต้านประเทศซึ่งกันและกัน รวมถึงความร่วมมือการป้องกันอาชญากรรมข้ามชาติ และการปราบปรามการก่อการร้าย ในระดับทวิและพหุพาคี
ขณะที่ด้านเศรษฐกิจ เน้นส่งเสริมความร่วมมือในการส่งออกข้าวและยางพารา เพื่อร่วมกันรักษาเสถียรภาพ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย และเน้นความสำคัญของความร่วมมือในการเชื่อมโยงในภูมิภาค อีกทั้งเอื้ออำนวยความสะดวกและส่งเสริมความร่วมมือในภาคธุรกิจ เปิดเส้นทางการบินใหม่ระหว่างทั้งสองประเทศ และแก้ปัญหาการทำประมงบริเวณน่านน้ำ รวมถึงหารือและส่งเสริมความร่วมมือของสองชาติ ในด้านสังคม วัฒนธรรม การศึกษา และแรงงานให้เพิ่มมากขึ้น เพื่อร่วมกันก้าวสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
"การประชุมประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย และเชื่อมั่นว่ากรอบแนวทางความร่วมมือและความตกลงเหล่านี้ จะช่วยพัฒนาส่งเสริมความร่วมมือไทย-เวียดนาม ในด้านต่างๆ ให้เจริญรุดหน้ายิ่งขึ้น และก่อให้เกิดประโยชน์สุขร่วมกันของประชาชนทั้งสองประเทศ" นายกรัฐมนตรี กล่าว
ทั้งนี้ ประเทศไทยและเวียดนามมีความสัมพันธ์ มีการแลกเปลี่ยนการเยือนทั้งในระดับพระราชวงศ์และรัฐบาลอย่างสม่ำเสมอ โดยนายกรัฐมนตรีได้เดินทางเยือนเวียดนามอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2554 มีการหารือเพื่อกระชับความร่วมมือในด้านการเชื่อมโยงภูมิภาค พลังงาน และการท่องเที่ยว และในปี 2554 ไทยและเวียดนามได้ร่วมฉลองครบรอบ 35 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โดยปัจจุบันไทยเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของเวียดนาม ขณะที่เวียดนามเป็นคู่ค้าอันดับ 4 ของไทยภายในกลุ่มอาเซียน ในปี 2554 การค้าไทยเวียดนาม มีมูลค่า 9.086 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คือขยายตัวร้อยละ 25.47 จากปี 2553 ซึ่งสูงเป็นลำดับที่ 15 ในบรรดาประเทศคู่ค้าของไทย โดยไทยส่งออกไปเวียดนาม 7.059 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ และนำเข้าจากเวียดนาม 2.027 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยได้สนับสนุนให้นักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนในเวียดนาม โดยปัจจุบันไทยมีโครงการลงทุนในเวียดนาม 244 โครงการ รวมมูลค่า 5.811 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับที่ 10 และเป็นอันดับที่ 3 ภายในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะในปี 2554 ไทยมีการลงทุนในเวียดนาม 27 โครงการ มูลค่า 142 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับด้านการท่องเที่ยว ในปี 2554 มีนักท่องเที่ยวเวียดนามเดินทางมาไทย 488,315 คน เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.38 จากปี 2553.