กฟผ.หวั่นถ้าโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่เกิดคนไทยเจอค่าไฟฟ้า 5 บาทต่อหน่วยแน่นอน เนื่องจากประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเกือบ 80% ของเชื้อเพลิงรวม แนวโน้มจะมีปริมาณลดลง ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากทั่วโลกที่มีราคาแพง
เมื่อวันที่ 1 พ.ย. นายสุทัศน์ ปัทมสิริวัฒน์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ.มีความกังวลว่าหากประเทศไทย ไม่สามารถก่อสร้างโรงไฟฟ้าได้ตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ปี 55 ปรับปรุงครั้งที่ 3 ที่จะลงทุนโรงไฟฟ้าโดยเฉพาะโรงไฟฟ้าถ่านหินจำนวน 5 โรง กำลังการผลิตไฟฟ้าโรงละ 800 เมกะวัตต์ รวม 4,000 เมกะวัตต์ ได้ตามแผนที่กำหนดไว้ อาจทำให้ค่าไฟฟ้าฐานซึ่งเป็นการรวมค่าไฟฟ้าจากการผลิตไฟฟ้าต้นทุนปกติและค่าไฟฟ้าผันแปรอัติโนมัติ (เอฟที) ของประเทศไทยในอนาคตสูงถึง 5 บาทต่อหน่วยใกล้เคียงกับค่าไฟฟ้าฐานของประเทศญี่ปุ่นที่เฉลี่ยที่ 5-6 บาทต่อหน่วย จากปัจจุบัน 3.71 บาทต่อหน่วย
นายสุทัศน์ กล่าวว่า กรณีดังกล่าวมีสาเหตุมาจากปัจจุบันประเทศไทยมีการใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าเกือบ 80% ของเชื้อเพลิงรวม แนวโน้มก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยและการนำเข้าจากพม่าจะมีปริมาณลดลง ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (แอลเอ็นจี) จากทั่วโลกที่มีราคาแพง เพราะญี่ปุ่นก็จำเป็นต้องนำเข้า เพื่อทดแทนพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งราคาแอลเอ็นจีแพงกว่าก๊าซธรรมชาติถึง 2 เท่า หรือปัจจุบันอยู่ที่ 600 เหรียญสหรัฐฯต่อตันขณะที่ก๊าซธรรมชาติมีราคา 330 เหรียญสหรัฐฯต่อ 1 ล้านบีทียู
นายสุทัศน์ กล่าวว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินตามแผนพีดีพี โรงแรกจะตั้งที่ จ.กระบี่ เริ่มผลิตปี 2562 กำลังการผลิต 800 เมกะวัตต์ ส่วนโรงต่อไปกำลังหาสถานที่ คาดว่าจะเริ่มผลิตไฟฟ้าในปี 2564 เป็นต้นไป ปัจจุบัน กฟผ.จึงอยู่ระหว่างเร่งทำความเข้าใจกับชุมชนในพื้นที่ถึงประโยชน์ เพราะนอกจากจะส่งผลดีต่อราคาไฟฟ้าไม่ให้สูงมากแล้ว ยังสร้างความมั่นคงให้กับการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่ภาคใต้ที่ปัจจุบันไม่เพียงพอ ต้องอาศัยสายส่งจากภาคกลาง ขณะที่ความต้องการใช้ไฟฟ้าในพื้นที่มากขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่เศรษฐกิจอย่างจ.ภูเก็ต ที่อัตราการใช้ไฟฟ้าเติบโตสูงถึง 8.5% ต่อปี มากกว่าการเติบโตของทั้งประเทศซึ่งอยู่ที่ 4-5%
นายสุทัศน์ กล่าวต่อว่า สำหรับโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ซึ่งใช้เชื้อเพลิงถ่านหิน ปัจจุบัน กฟผ. มีแผนจะปลดระวางโรงไฟฟ้าหน่วยที่ 4-7 เดิม กำลังการผลิตไฟฟ้าหน่วยละ 150 เมกะวัตต์ รวมเป็น 600 เมกะวัตต์ และจะสร้างโรงไฟฟ้าขึ้นมาใหม่ 1 โรงเพื่อทดแทนกำลังผลิต 600 เมกะวัตต์เช่นกัน โรงไฟฟ้าแห่งใหม่นี้จะเริ่มผลิตไฟฟ้าในปี 2561 ปัจจุบันอยู่ระหว่างรอการรับรองรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) จากคณะกรรมการผู้ชำนาญการ มั่นใจว่าจะได้รับการอนุมัติเพราะโรงไฟฟ้านี้ใช้เทคโนโลยีใหม่ในการผลิต ไฟฟ้าถ่านหินที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแน่นอน