~ ~★ ~ ~★ ~ ~★ เทศกาลอ่านนิ้วกลม ~ ~★ ~ ~★ ~ ~★
ช่วงวันหยุดวิสาขบูชาที่ผ่านมา หลังจากอ่านหนังสือหนาเตอะ 2 เล่มจบไป (ปกรณัมปรัมปราและบันทึกนกไขลาน)
ในที่สุดก็ได้ฤกษ์หยิบหนังสือทั้งหลายทั้งปวงของนิ้วกลมซึ่งสู้อุตส่าห์ไปกวาดเก็บ+ซื้อมาให้ครบ (จากงานหนังสือ) มาอ่านเสียที (ขาดเพียงเพลงรักประกอบชีวิต ซึ่งฝากเจ้าเหมียวพันปีซื้อ ซึ่งไม่เป็นไร เดี๋ยวอ่านตามทีหลัง) ที่จริงเจ้าของบล็อกมีสมองไหวในฮ่องกงกับกัมพูชาพริบตาเดียวอยู่แล้ว แต่เนื่องจากอยากอ่าน+ทำความรู้จักกับนิ้วกลมแบบเรียงตามลำดับ (การออกหนังสือ) เจ้าของบล็อกก็เลยรอจนกว่าจะกวาดเก็บมาได้ครบแล้วถึงจะอ่าน
ช่วงวันหยุดที่ผ่านมาจึงเป็น เทศกาลอ่านนิ้วกลม ของเจ้าของบล็อกด้วยเหตุดังที่กล่าวมาในเบื้องต้น
สำหรับหนังสือทั้ง 6 เล่มของนิ้วกลมเจ้าของบล็อกเรียงตามลำดับที่เจ้าตัวออกหนังสือมา ดังนี้
กัมพูชาพริบตาเดียว
เนปาลประมาณสะดือ
สมองไหวในฮ่องกง
นวนิยายมีมือ
ณ
นั่งรถไฟไปตู้เย็น
(ทำไมปกมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หว่า? )
คำเตือน รีวิวครั้งนี้ยาวโคตรรรรรรรร ถ้าไม่มีเวลาพอ อ่านไม่จบแน่ๆ เหอๆ
ความรู้สึกที่ได้อ่าน (สปอยล์เน้อ)
เรารู้จักนิ้วกลมเป็นครั้งแรกจากคอลัมน์ในอะเดย์ค่ะ ตอนนั้นก็รู้สึกว่า คนเขียนคนนี้ น่าสนใจ จนกระทั่งได้มาอ่านหนังสือเล่มแรกของเจ้าตัวก็คือ โตเกียวไม่มีขา ซึ่งทำให้เรารู้สึกดีกับคนญี่ปุ่นมากขึ้นมาหน่อย (จากที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แหะๆ)
แล้วก็มาถึง อิฐ ซึ่งก็เป็นการรวบรวมงานเขียนในคอลัมน์ที่เจ้าของบล็อกเคยอ่านในอะเดย์น่ะแหละ จนกระทั่งเจ้าของบล็อกก็เลยรีวิวหนังสือเรื่องนี้ไปรอบหนึ่ง ที่นี่ (คลิกเพื่ออ่าน)
ในส่วนของหนังสือบันทึกการเดินทางทั้งหมดนั้น ที่ที่เจ้าของบล็อกเคยไปแล้วมีที่เดียวคือ ฮ่องกง ค่ะ นอกนั้นเป็นที่ที่เจ้าของบล็อกไม่เคยไปเลย แต่แม้กระนั้น...ความรู้สึกในการอ่านแต่ละเล่มของนิ้วกลมก็กลับแตกต่างกันไปด้วยค่ะ
สำหรับหนังสือเล่มแรกที่อ่านใน เทศกาลอ่านนิ้วกลม นี้ก็คือเรื่อง กัมพูชาพริบตาเดียว ค่ะ ซึ่งทำให้เจ้าของบล็อกได้รับรู้บางมุมของนิ้วกลมว่า น่าจะเป็นคนเดินทางคนเดียวไม่ค่อยได้นะนี่ เพราะเจ้าตัวออกจะเหงาๆ ชอบกลค่ะ เลยพลอยทำให้เรื่องราวที่ออกมาในเล่ม ดูแหว่งๆ วิ่นๆ ทางอารมณ์ไปด้วย แต่ขณะเดียวกัน การไปคนเดียว ก็ทำให้เจ้าตัวเองมีโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับคนรอบข้างมากขึ้น (ลองคิดดูว่าถ้าเรามีเพื่อนไป เราก็คงได้พูดคุยกับคนท้องถิ่นน้อยกว่าไปคนเดียวแน่หละ ในเมื่อมีเวลาในการเดินทางจำนวนวันเท่าเดิม แต่มีคนเข้ามาเกี่ยวพันในช่วงของการเดินทางนั่นเพิ่มขึ้น การสนทนาปราศรัยกับแต่ละคนก็ย่อมแปรผกผันกับจำนวนคนที่เข้ามาเช่นกัน คนเยอะ ปริมาณการพูดคุยต่อคนน้อย แต่ถ้ามีคนในการเดินทางน้อย ก็จะได้พูดคุยต่อคนเยอะ)
แล้วก็...เสียดายนิดหน่อย ที่นิ้วกลมเกิดอาการ เอียน ปราสาท เมื่อได้ดูไปเยอะๆ น่ะค่ะ แต่อย่างว่านะคะ..คนเราชอบไม่เหมือนกันน่ะ ซึ่งการไม่ชอบของอีกคน ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาผิดเสียเมื่อไหร่ ซึ่งที่จริง ถ้านิ้วกลมได้คนที่ อิน มากๆ กับเรื่องของการสร้างปราสาท (เหมือนอย่างซูซี่ ตอนที่ไปฮ่าร์บิ๊นกับนิ้วกลม ใน นั่งรถไฟไปตู้เย็น ที่มีเรื่องนู้นนี้เล่าให้ฟังด้วย ซึ่งมันทำให้การเดินทางมีสีสันและความหมายระหว่างทางมากขึ้น) คนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของทับหลัง ที่มาของภาพต่างๆ เหล่านั้น ฯลฯ นิ้วกลมก็อาจจะไม่เหงาและแฮปปี้กับการดูปราสาทต่างๆ มากกว่านี้ก็เป็นได้ (แต่ก็ไม่ใช่ 100% หรอกนะคะ เพียงแต่มีความเป็นไปได้เท่านั้นเอง)
อ่านเล่มนี้แล้วรู้สึกอิจฉานิ้วกลมนิดหน่อย ที่เกิดเป็นผู้ชาย ด้วยความที่เราเป็นผู้หญิง (แล้วทำไมรึ?) ทำให้เรากังวลที่จะเดินทางไปไหนมาไหนคนเดียวค่ะ ที่จริงถ้าทำได้ โดยไม่ต้องกังวลถึงอันตรายใดๆ ก็คงจะทำให้เราได้เห็นอะไรต่ออะไรในมุมที่แตกต่างไปมากขึ้นก็เป็นได้
เล่มถัดมา เนปาลประมาณสะดือ
อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว เจ้าของบล็อกอยากไปรักษาหัวเข่า+โรคกระเพาะ+ไมเกรนให้หาย ฟิตซ้อมร่างกายให้พร้อม แล้วลองไปปีนเขาที่เนปาลสักครั้งจังค่ะ
เป็นหนังสือบันทึกการเดินทางเล่มแรกของนิ้วกลมที่ ก่อกิเลส ให้กับเราอย่างแรง เรียกว่า impact สูงมากๆ ทั้งภาพและเรื่องราวที่ได้เห็นและอ่าน มันกระตุ้นความรู้สึกอยากเดินทางและไปสัมผัสเนปาลให้ อย่างแรง ค่ะ
ความหฤโหดของเส้นทาง มิตรภาพที่ปรากฏในระหว่างการเดินทาง ความสวยงามของสถานที่ทั้งระหว่างทางและเมื่อไปถึงจุดหมาย โดยรวมแล้วเรียกได้ว่า เป็นประสบการณ์ที่ น่าประทับใจ และชวนให้อยากไปสร้างประสบการณ์ที่ว่าสักครั้งค่ะ
สำหรับหนังสือแนวบันทึกการเดินทางของนิ้วกลมแล้ว เราชอบเล่มนี้ค่อนข้างมากกว่าเล่มอื่นๆ ค่ะ (แต่ถ้าเราไปเองจริงๆ สงสัยต้องเพิ่มวันสำหรับเดินเขาให้มากกว่านี้ค่ะ เพราะนี่เป็นหลักสูตรเร่งรัดเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะสู้ไหวอะนะ เหอๆ )
เล่มที่ 3 สมองไหวในฮ่องกง
อีกแง่มุมหนึ่งที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ที่ทำให้นิ้วกลมมีเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ...การที่เค้าเป็นคนรักเดียวใจเดียวนี่แหละค่ะ (นับเป็นบุคคลหายากจริงๆ ในยุคสมัยที่ผู้หญิงแย่งชิงผู้ชายราวกับ rare item เช่นปัจจุบันนี้ หึๆ)
ในเล่มนี้ นิ้วกลมไปฮ่องกงคนเดียว (อีกแล้วนะนี่) แล้วได้เจอ นางฟ้า ที่ฮ่องกง เจอ นางแบบ (หรือเปล่า?) บนเครื่องบิน แต่สิ่งที่นิ้วกลมทำ ก็คล้ายกับที่ผู้ชายส่วนใหญ่น่าจะทำกันนั่นแหละ คือพูดคุยด้วยอัธยาศัยไมตรีอันดี (กับคนหลัง) และเพียงขอถ่ายรูป (กับคนแรก) ซึ่งตอนแรกที่ข้าพเจ้ายังไม่ตระหนักว่า คนเขียนมีแฟนนั้น ก็ให้นึกเสียดาย โอกาส ที่เจ้าตัวปล่อยให้ผ่านเลยไป หากแต่เมื่อเห็นเพลง In my life ตบท้ายหนังสือให้กับ โจ้วหญิงตัวโน้ย ของเขาแล้วก็ถึงบางอ้อแล้วก็อดอมยิ้มไม่ได้กับ ความน่ารัก ของเจ้าตัวค่ะ
เราว่าผู้ชายรักเดียวใจเดียว และซื่อสัตย์กับคนที่ตัวเองรักน่ะ มีเสน่ห์มากๆ นะคะ เป็นคนที่น่าชื่นชมและไม่ควรไปแตะต้องให้สิ่งที่เค้าเป็นต้องหม่นหมองน่ะ (เหมือนของมีค่าก็ควรอยู่ในที่ที่ควรน่ะแหละค่ะ) ซึ่งจนทุกวันนี้เราก็ไม่ค่อยเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงที่อยากลองของคู่รักที่เขารักกันดีว่า จะรักกันดีได้แค่ไหน (ด้วยการเข้าไปเป็นมือที่สามของเขา) หรืออารมณ์คนที่ชอบคนเจ้าชู้ว่ามีเสน่ห์น่ะค่ะ คือ..แบบ...เอ่อ...ชอบความเจ็บปวดเหรอคะ? หรือว่าอยากทำให้เห็นว่า ผู้ชายเจ้าชู้ก็หยุดอยู่ที่ฉันได้น่ะ? คือ...เราคงประหลาดน่ะ เราไม่เข้าใจอารมณ์ประมาณนี้จริงๆ นะคะ (หรือว่าเราประหลาดอยู่คนเดียวหว่า? )
สำหรับบางแง่มุมของนิ้วกลม อย่างเรื่องการไม่ไปดิสนีย์แลนด์ อืมม์..สำหรับเราแล้ว ค่อนข้างเป็นมุมมองที่แตกต่างกันนิดหนึ่งน่ะค่ะ สำหรับเรา เราจะไม่ตัดสินก่อนว่า สิ่งนั้นๆ ดีหรือเหมาะกับเราหรือเปล่า ถ้าเรายังไม่ได้ไปทำความรู้จักหรือสัมผัสกับมันจริงๆ น่ะค่ะ เพราะประสบการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำให้เราค้นพบว่า บางที่ที่เราไปแค่ครั้งเดียว มันไม่ได้สร้างความประทับใจอะไรให้เราได้มากนัก แต่เมื่อได้ทำความรู้จักกันบ่อยครั้งขึ้น ก็ทำให้เราค้นพบแง่มุมดีๆ ที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน และสร้างความประทับใจให้กับเราได้อย่างไม่น่าเชื่อ อย่าง อาหารเกาหลีนี่ เราไปเกาหลีเป็นรอบที่สิบกว่าๆ ค่ะ ถึงจะค้นพบว่า มีอาหารเกาหลีอย่างอื่นที่อร่อยกว่าหมูเกาหลีกับไก่กระทะด้วย (หลังจากที่การไปเกาหลีทุกครั้งที่ผ่านมา คือการไปเพื่อลดน้ำหนักของเรา เพราะกินอะไรแทบไม่ได้เลย) มันทำให้เราค้นพบว่า กับบางเรื่อง มันต้องใช้เวลาพอสมควรที่จะ สัมผัส และ รู้จัก กับมันจริงๆน่ะค่ะ
แต่โดยรวมแล้ว เล่มนี้ทำให้เราเห็นความน่ารักอีกอย่างของนิ้วกลมค่ะ เราว่าเขา ใจ ดีน่ะ (ขอใช้สำนวนเด็กแนวหน่อยเหอะ กร๊ากกกกกกก)
เล่มที่ 4 นวนิยายมีมือ
เป็นนิยายเล่มแรกของนิ้วกลมค่ะ และคงเป็นนิยายที่มีกลวิธีการเขียนที่แปลกประการหนึ่ง (อ่านแล้วอยากให้นิ้วกลมลองหา หากค่ำคืนหนึ่งในฤดูหนาว นักเดินทางคนหนึ่ง มาอ่านค่ะ อาจได้ไอเดียสำหรับเขียนนิยายเพิ่มขึ้น) เป็นการร้อยเรียงบางส่วนจากนิยายของฮารูกิ มูราคามิ (ลุงหมูของข้าพเจ้า) ไม่ว่าจะเป็น After the quake, สดับลมขับขาน, พินบอล หรือ การปรากฎตัวของหญิงสาวในคืนฝนตก (เล่มหลังนี่ข้าพเจ้ายังไม่ได้อ่าน) กับนิยายที่เจ้าตัวพยายามเขียน โดยมีการเชื่อมโยงระหว่างตัวละครและบทพูดจากนิยายของลุงหมู กับเรื่องราวที่ตัวเองสร้างขึ้นเป็นระยะๆ จบท้ายด้วยการเอาตัวคนเขียนเข้าไปในเรื่อง จนกระทั่งลามมาถึงเอาคนอ่านเข้าไปในเรื่องด้วย เป็นหนังสือที่อ่านแล้วเกิดอาการ หึๆ ขึ้นกับความช่างคิดของเจ้าตัว เพียงแต่...หนังสือเล่มนี้น่าจะเป็นข้อจำกัดสำหรับคนอ่านพอสมควร เพราะคิดว่าน่าจะเข้าถึงกลุ่มคนอ่านได้น้อย และคนที่จะอ่านได้โอเค อย่างน้อยก็น่าจะมีพื้นฐานของการอ่านนิยายของลุงหมูแกมาบ้าง ไม่อย่างนั้นน่าจะ เหวอ พอสมควรค่ะ
เพราะงั้น...สู้ต่อไปนะนิ้วกลม
เล่มที่ 5 ณ
เป็นหนังสืออีกหนึ่งเล่มที่เกิดจากการรวมงานเขียนจากคอลัมน์ชื่อเดียวกับชื่อหนังสือที่เคยลงในอะเดย์ค่ะ
หนังสือเล่มนี้...เรารู้สึกว่านิ้วกลม โต ขึ้นหละ
หาก อิฐ จะเป็นตัวแทนของความมีสีสันจัดจ้าน วัยวันที่ยังพลุ่งพล่านของนิ้วกลม
หนังสือเล่มนี้ กลับกลายเป็นความอ่อนละมุน มองโลกด้วยความนุ่มนวลมากขึ้นน่ะค่ะ
เป็นหนังสือที่ทำให้เห็นแง่มุมอื่นๆ ของนิ้วกลมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น (จนน่าอิจฉา) ความรักที่เค้ามีต่อคนพิเศษ (จนน่าอิจฉากว่า) การมองโลกที่ไม่ได้นิยมเป็นตัวเด่น (กับเสื้อเบอร์ 11 ของเจ้าตัว) ฯลฯ
อ่านแล้วเหมือนๆ จะทำความรู้จักกับผู้ชายคนนี้ได้มากขึ้นค่ะ ถ้าเปรียบหนังสือเล่มนี้เป็นอาหาร ก็น่าจะเหมือนชาหอมๆ ละมุนๆ อุ่นๆ น่ะแหละค่ะ
ถ้าสนใจจะจิบชา สูดกลิ่นหอมอ่อนๆ ของมัน ก็ลองอ่านเล่มนี้ดูค่ะ
เล่มที่ 6 นั่งรถไฟไปตู้เย็น
เป็นบันทึกการเดินทางของนิ้วกลม สมัยที่ยังทำงานอยู่ที่เซี่ยงไฮ้แล้วไปเที่ยวฮ่าร์บิ๊น (กรุณาม้วนลิ้นตอนออกเสียงลงท้ายคำว่า ฮ่าร์) กับเพื่อนร่วมงานสาวหมวย นอกจากฮ่าร์บิ๊นแล้ว ยังหนาวไม่พอ เจ้าตัวยังเดินทางไปยังหมู่บ้านที่อยู่เหนือสุดยิ่งกว่าฮ่าร์บิ๊น เรียกว่าติดชายแดนรัสเซียเลยก็ว่าได้
สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเลยก็คือ นิ้วกลมได้อะไรที่แตกต่างไป เมื่อได้เพื่อนร่วมทางอีกแบบค่ะ
หาก น้ำ และ หมี จะทำให้นิ้วกลมตระหนักถึงคำว่า มิตรภาพ
ซูซี่ ก็น่าจะทำให้นิ้วกลมได้รับรู้เรื่องราวอะไรต่างๆ นานา จากเพื่อนสาวชาวจีนที่ช่างพูดและช่างเล่า (ถ้าไม่ใช่คนจีน หรือถ้าไม่ใช่คนช่างเล่า หลายๆ เรื่องก็อาจจะไม่ปรากฏอย่างที่มีในหนังสือเล่มนี้)
การเดินทางครั้งนี้ทำให้นิ้วกลมรู้ว่า กลางคืน ของรูปน้ำแข็งที่ฮ่าร์บิ๊น มันก็สวยไปอีกแบบ (ซึ่งไม่ใช่ว่าเป็นเพราะใครๆ ว่าว่ามัน สวย หรอก ก็มันสวยจริงๆ นี่นา) เป็นความสวยที่ถ้าพลาดไป...ก็น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย
การเดินทางครั้งนี้ทำให้นิ้วกลมได้รู้จักกับคนที่ใช้ชีวิตแบบคุณ โจว (ที่น่าอิจฉาที่เค้าใช้ชีวิตได้ขนาดนี้ แต่ขณะเดียวกันก็อดคิดถึงคนทางบ้านที่เค้าปล่อยให้อยู่บ้านขณะที่เค้าเลือกที่จะเดินทางมาเพียงลำพังไมได้)
การเดินทางครั้งนี้ที่ทำให้นิ้วกลมได้รู้จักกับใครต่อใครเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งถ้าไม่มีซูซี่ไป...ก็คงไม่ได้รู้จักและร่วมทางกันอย่างนี้หรอก...เนาะ)
การเดินทางครั้งนี้ เป็นการเดินทางทั้งภายนอกและภายในความคิดของตัวนิ้วกลมเองค่ะ วิธีการมองโลกต่างๆ นานา มันทำให้คนอ่านรู้จักกับนิ้วกลม และรู้วิธีการคิด การมองโลกของนิ้วกลมมากขึ้น เป็นอีกเล่มที่เราอ่านแล้วรู้สึกว่านิ้วกลม โต ขึ้นน่ะ (เอ่อ..ทำยังกะตัวเองแก่กว่านิ้วกลมมากมายงั้นแหละ ยายเอ๊ยยยย)
ไม่รู้สิคะ อ่านตั้งแต่เล่มแรกจนถึงเล่มนี้ก็เห็นอะไรต่อมิอะไรของนิ้วกลม (เอ่อ...ซึ่งไม่ใช่ทางกายภาพ 555) มากขึ้น เหมือนได้รู้จักเจ้าตัวเพิ่มมากขึ้น (แม้จะแค่ทางตัวอักษรที่ย่อมต้องผ่านการ กลั่นกรอง มาแล้วก็ตามทีเถอะ) แล้วก็รู้สึกจริงๆ จังๆ ว่าเจ้าตัว โต ขึ้นน่ะค่ะ จากการที่เคยเห็นเด็กเฮี้ยวๆ ช่างพูดช่างคุย โดยไม่ได้คิดอะไรมาก แบบคิดยังไงพูดอย่างนั้น แถมชอบหยอดมุขตลอดเวลา ก็กลายเป็นคนที่สุขุมรอบคอบ คิดมากขึ้น ใคร่ครวญเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านตา ที่พบเจอมากขึ้น และสื่อสารได้โดยพยายามที่จะเรียบง่ายมากขึ้น
อืมม์...น่าสนใจสำหรับทิศทางที่จะเป็นต่อไป สำหรับหนังสือเล่มหน้าของเจ้าตัวค่ะ
Note : สำหรับคนอ่านอย่างเรา ฮ่าร์บิ๊น น่าสนใจมานานแล้วค่ะ แต่ข้อความเพียงสั้นๆ ในหนังสือ กลับยิ่งทำให้เราอยากไป ธิเบต แฮะ
สรุปแล้ว เมื่ออ่านนิ้วกลมครบทั้ง 6 เล่มแล้ว (เหลือเพลงรักประกอบชีวิต ซึ่งจะได้มาจากแมวพันปีทีหลัง) ก็ทำให้รู้สึกว่า นิ้วกลมอาจจะไม่ต้องเขียนนิยายก็ได้ค่ะ เขียนไปเถอะในสิ่งที่ตัวเองเขียนแล้วมีความสุขน่ะ เขียนในสิ่งที่ตัวเองถนัด
ถ้านิ้วกลมเคยดูหนังเรื่อง แสบสนิท...ศิษย์ส่ายหน้า แล้ว ก็อยากให้รู้ว่า สำหรับบางคนถ้าทำก๋วยเตี๋ยวได้อร่อยแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไปหัดมวยให้เก่งหรอกค่ะ ทำก๋วยเตี๋ยวอย่างเดียวแล้วก็พยายามทำให้อร่อยมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ก็เพียงพอแล้ว...จริงๆ นะคะ
แต่ถ้าอยากเพิ่มศักยภาพตัวเอง...ก็ไม่ว่าอะไรกันค่ะ ยังไงก็จะยังสนับสนุนไปเรื่อยๆ เน้อ
ขอบคุณทุกท่านสำหรับการแวะมาอ่านค่ะ
193905/3342/258
Create Date : 22 พฤษภาคม 2551 |
|
71 comments |
Last Update : 22 พฤษภาคม 2551 8:27:57 น. |
Counter : 3010 Pageviews. |
|
|
|
ดี.แวะมาส่งความสุขยามเช้าค่ะ
เช้านี้เวลาไม่พออ่านจริงๆ
อ่านมาถึง "คำเตือน"
แล้วรูดปรื้ดๆๆๆๆลงมาดู
โอ้ ยาวจริงๆ
งั้นแปะไว้ก่อนค่ะ
เสร็จงานและจะแวะมาใหม่
สนใจเล่มปกใหญ่สุด