เรื่องราวของเจสสิกา เด็กสาวที่กำลังไปได้ดีบนเส้นทางของนักวิ่ง แต่กลับเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เธอต้องสูญเสียขาขวาตั้งแต่ใต้เข่าลงไป
ความฝัน ความหวังที่มีต่ออนาคตพังทลาย
แต่หลายๆ สิ่งรอบตัว ผู้คนดีๆ ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อนรัก และแม้กระทั่งคนที่เธอเคยมองข้าม ทำให้เธอผ่านพ้นมันมาได้ และเริ่มที่จะเห็นอะไรๆ มากไปกว่าเรื่องราวของตัวเอง
ความรู้สึกที่ได้อ่าน
งดงามมากค่ะ
เป็นหนังสือที่งดงามและอยากให้ใครที่รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หมดหวังและพลังใจที่จะใช้ชีวิตได้อ่านค่ะ
หนังสือเล่มนี้เริ่มต้นด้วยการตื่นขึ้นมาพบกับความเจ็บปวดของการสูญเสียขาของเจสสิกา ความหมดหวัง คับแค้นใจกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ก่อนที่จะค่อยๆ ทำให้เรารู้จักคนที่อยู่รายล้อมเจสสิกา ซึ่งถือได้ว่า อย่างน้อยเธอก็โชคดีมากที่มีครอบครัวแบบนี้ มีหมาน่ารักอย่างเจ้าเชอร์ล็อก มีเพื่อนรักที่ดีมากๆ อย่างฟิโอนา และได้มองเห็น "โรซา" เด็กพิเศษที่เรียนวิชาเลขด้วยกัน คนที่เธอไม่เคยมองเห็นตัวตนของเขามาก่อนเลยจนกระทั่งตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพดังกล่าว
เรื่องราวที่บอกเล่าถึงความหมดหวัง เจ็บปวดใจที่ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันโหดร้ายของเธอ และการได้รับรู้ความจริงหลายๆ อย่างที่ทำให้ตัวเธอเองต้องฮึดสู้ (ซึ่งเราว่าเป็นการสร้างเหตุและผลเพื่อผลักดันตัวละครในแต่ละครั้งได้ดีมากค่ะ) และพยายามมากขึ้นเรื่อยๆ เปลี่ยนแปลงตัวเอง พยายามที่จะเอาชนะตัวเอง ระหว่างทางอาจจะไม่ได้เรียบรื่นนัก แต่มันก็คือการเติบโตของเจสสิกา และการพยายามที่จะก้าวไปข้างหน้า และได้มองเห็นอะไรๆ ที่ตัวเองเคยมองข้ามไป ได้ค้นพบความงดงามและตัวตนของใครบางคน คนที่เธอไม่เคยคิดจะสุงสิงมาด้วยตลอด
เราชอบกลวิธีการประพันธ์ของหนังสือเล่มนี้มากค่ ะ ตอนแรกก็รู้สึกแปลกที่เค้าสร้างสรรค์ออกมาแต่ละบทแบบสั้นๆ (ซึ่งเป็นแต่ละบทของแต่ละตอนที่มีด้วยกัน 4 ตอน คือ เส้นชัย ลมต้าน ทางตรง ขยับบล็อก และจุดเริ่มต้น) แต่ตอนเกือบท้ายเรื่องก็ได้คำเฉลยค่ะว่าทำไมมันถึงต้องเป็นบทสั้นๆ (การก้าวข้ามผ่านเหตุการณ์แต่ละอย่างไป ) เลยรู้สึกว่า คนเขียนฉลาดจัง ฉลาดมาก กับการใช้กลวิธีการประพันธ์แบบนี้ ซึ่งมันสอดคล้องกับสิ่งที่เค้าต้องการสื่อว่า คนเราจะข้ามผ่านแต่ละเรื่องที่เข้ามาในชีวิตได้อย่างไร มันใช่จริงๆ ค่ะ
ตัวละครในเรื่องนี้มีทั้งดีและงดงามแบบฟิโอนา หญิงสาวที่เป็นเพื่อนรักที่พยายามทำให้ทุกอย่างของเพื่อนผ่านพ้นไปด้วยดี (ชีวิตคนๆ หนึ่งมีเพื่อนแบบนี้สักคนเดียวก็พอแล้ว) แวนช์ ชายหนุ่มที่เจสสิกาหลงรักตั้งแต่ยังไม่เกิดอุบัติเหตุ และการหลงรักของเธอ ไม่ใช่จากสาเหตุแบบที่คนอื่นหลงรูปลักษณ์ภายนอก (และงานสำคัญชิ้นหนึ่งที่แวนช์ทำให้กับเจสสิกา ก็เป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่า ทำไมเจสสิกาถึงตกหลุมรักแวนช์ เราเองแค่อ่านยังรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้นี่...เจ๋งอ้ะ) โรซา เด็กพิเศษที่ต้องนั่งอยู่หลังห้องเสมอ คนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาใคร แม้กระทั่งเจสสิกา จนกระทั่งวันหนึ่งที่เจสสิกาต้องไปนั่งกับเธอ และได้ค้นพบว่า แม้การสื่อสารของโรซาจะยากลำบากที่จะฟังให้เข้าใจ แต่สมองของโรซานั้นเป็นอัจฉริยะในเรื่องคณิตศาสตร์และมีความคิดดีๆ หลายอย่างที่ทำให้เจสสิกาเองก็ต้องหวนกลับมาคิด (เส้นชัยคือจุดเริ่มต้น เป็นต้น) โคลเอ ผู้ช่วยของแฮงก์ นักกายอุปกรณ์ ที่ทำให้เจสสิกาเห็นว่า การใช้ขาเทียมก็ไม่ได้เลวร้ายเกินไป และทำให้จิตใจที่แย่ๆ ของเจสสิกาดีขึ้นทุกครั้งที่ได้เจอ ไคโร โค้ชที่พยายามที่จะทำสิ่งที่ดีให้กับเจสสิกาอยู่เสมอ รวมทั้งเพื่อนๆ ในทีมของเจสสิกาด้วย
แต่แน่นอนว่าในหนังสือเล่มนี้ก็ไม่ได้มีแต่คนดีๆ เต็มไปหมด (จนราวกับอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์) แต่ก็ยังมีปุถุชนคนธรรมดา คนแบบวาเนสซา สตีล ที่หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ที่แพ้แล้วพาลว่าการที่เจสสิกาเชียร์เพื่อนอยู่ข้างลู่คือการต้องการทำลายสมาธิ และใช้คำพูดแรงๆ ต่อว่า เมอร์รีล หญิงสาวที่โหดร้ายพอที่จะมาใช้คำพูดทำร้ายเจสสิกาเพียงเพราะความพลาดหวังของตัวเอง ซึ่งนั่นก็ทำให้เรารู้สึกว่า...อืมม์...โลกนี้มันก็เป็นแบบนี้หละนะ
หรือแม้กระทั่งเจสสิกาเอง เราก็ได้เห็นว่าเธอก็เป็นผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง เด็กสาวที่เจ็บปวดจากการสูญเสียอนาคตของการเป็นนักวิ่ง เด็กสาวที่จ่อมจมอยู่กับการสูญเสียของตัวเอง โดยไม่ได้มองว่ามีใครต้องทำอะไรเพื่อเธอบ้าง แต่เมื่อเธอได้รู้ เธอก็ฮึดขึ้นสู้ด้วยตัวเอง (เป็นคุณลักษณะที่ดี) สู้เพื่อที่จะไม่ทำให้คนที่เธอรักและรักเธอต้องสูญเปล่าจากการพยายามและทุ่มเทในการช่วยเหลือเธอ (คนเราน่ะนะคะ ต่อให้ใครยื่นมือช่วยเหลือมามากขนาดไหน แต่ถ้าไม่คิดจะยืนและช่วยเหลือตัวเองแล้ว มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย...จริงๆ นะคะ) และสุดท้ายกับการสู้เพื่อคนอื่นบ้าง คนอื่นที่เคยช่วยเหลือเธอเช่นกัน
นอกจากสถานการณ์ต่างๆ แล้ว การที่หนังสือเล่มนี้ใช้การบรรยายโดยการมองผ่านมุมมองเดียวคือมุมมองของเจสสิกา ทำให้เราได้เห็นพัฒนาการทางอารมณ์และความคิดของเธอด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการพยายามอาบน้ำด้วยตนเองเป็นครั้งแรก ที่ทำให้เจสสิกาเริ่มมองเห็นว่า...เธอโชคดีแค่ไหนที่สิ่งที่สูญเสียคือ ขาข้างเดียวที่ใต้เข่า และมีอีกหลายอย่างเหลือเกินที่เธอโชคดี...สำหรับเราสิ่งเหล่านี้คือความโชคดีในความโชคร้ายค่ะ
หลายๆ ท่านอาจจะเคยอ่านนิทานสอนใจจีน "มันอาจจะดีก็ได้" ใช่มั้ยคะ? บางเรื่องที่เดินเข้ามาหาเรา ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นโชคร้ายนั้น ที่จริงมันอาจจะเป็นโชคดีก็ได้ อย่างที่หนังสือเล่มนี้บอก
มันไม่สำคัญว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา มันอยู่ที่ว่าเราจะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก (มันพุทธมากเลยนะคะ) เราค่อนข้างอินกับประเด็นนี้มาก อย่างเจสสิกา ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์นี้ เธอจะไม่รู้เลยว่ายังมีเด็กพิเศษอย่างโรซาที่มีอัจฉริยภาพทางด้านคณิตศาสตร์ คนที่เฝ้ามองเธอวิ่งอยู่ทุกเช้า คนที่เธอมองข้ามและไม่อยากจะเสวนาด้วยตลอดมา และเป็นคนที่เธออยากจะทำอะไรให้ในท้ายที่สุด มันเหมือนกับเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตเรา ที่ทำให้เราหันกลับมามองครอบครัว และได้เห็นว่า ท้ายที่สุดแล้ว คนที่รักเราที่สุดก็คือแม่ และนั่นคือคนที่เราควรให้เวลาและรักเขาให้มากขึ้น หลังจากที่ให้เวลาและความรักกับคนที่ไม่คู่ควรมากกว่าแม่มาตลอดนั่นแหละค่ะ (อินแค่ไหนถามใจเธอดู ฮา
)
แต่ขณะเดียวกันก็มีบางอย่างที่เป็นจุดตำหนิเล็กๆ น่ะนะคะ
ไม่ว่าจะเป็นซีนที่เจสสิกาไปร้องไห้ที่หลุมศพของลูซี (ซึ่งโอเคแหละ มันควรมี แต่เรารู้สึกพิลึกพิลั่นในจังหวะที่ใส่ช็อตนี้เข้ามาอย่างบอกไม่ถูก เพราะเหมือนกับว่าก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ปูอะไรมาเท่าไหร่ที่จะทำให้เจสสิกาไปทำอะไรอย่างนั้นได้)
หรือการที่แวนช์ไปคบกับเมอร์รีลอยู่พักหนึ่ง เพียงเพราะเห็นว่าเธอย่ำแย่มากมายในงานศพของลูซี...คร่ะ...พ่อคนใจอ่อน เหอๆ
และสุดท้ายกับช็อตครูรักเคอร์ในวันวิ่ง 10 ไมล์นั่น...แบบว่า...เซอร์ไพรซ์ค่ะ แต่...มันดูฮอลลีวู้ดยังไงชอบก๊ล แหะๆ
อย่างไรก็ตามแต่ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นหนังสืออีกเล่มที่คิดว่าถ้าใครหลายคนได้อ่าน ก็น่าจะทำให้มีพลังใจและความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้นค่ะ เพราะในความโชคร้ายของแต่ละคน มันยังมีอะไรดีๆ อยู่เสมอๆ นะคะ เพียงแต่เราจะมองเห็นมันหรือเปล่า หรือจะเลือกที่จะจมอยู่กับความทุกข์และเจ็บปวดของตัวเองเท่านั้นน่ะค่ะ
ปิดท้ายด้วยประโยคที่เราชอบๆ จากหนังสือเล่มนี้นะคะ
หน้า 186 ...แต่ความจริงแล้วการวิ่งต้องใช้พลังใจอย่างมหาศาล ถ้าจิตใจไม่แกร่ง ร่างกายก็จะแสดงความอ่อนแอให้เห็น แม้ว่าความจริงแล้วมันอาจจะไม่ได้เป็นอะไรเลย...
หน้า 283..."ครูบอกเราว่าชีวิตไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แต่ขึ้นอยู่กับว่าเราทำอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหาก"...
หน้า 290..."อยากให้คนมองเห็นตัวตนของฉัน ไม่ใช่สภาวะของฉัน"
สรุปแล้วก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่อยากให้อ่านกันค่ะ อ่านแล้วรู้สึกอยากวิ่งเก่งขึ้นมาเลย ทั้งที่เป็นกีฬาที่เราเกลียดมาก 5555
นั่งอ่านรีวิวเนื้อหาจนจบ
ผมว่าหนังสือเล่มนี้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ได้เลยนะครับ
และน่าจะเป็นหนังสือที่สร้างกำลังใจให้กับคนที่กำลังท้อแท้กับชีวิตได้มากมายมหาศาลเลย
ชอบคำคมที่คุณเต้ยยกมาให้อ่านด้วยครับ