#### รีวิวหนังสือโอลด์แมนด์วอร์ (Old Man's War) ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ ####
สวัสดีค่ะะะะะะะ
วันนี้มารีวิวหนังสืออีกแล้วกับหนังสืออีกเล่มที่ได้มาจากงานหนังสือตุลาหกศูนย์ค่ะ
โอลด์แมนด์วอร์ (Old Man's War) ปฐมบทสงครามข้ามเอกภพ
เขียนโดย John Scalzi
แปลโดย ดาวิษ ชาญชัยวานิช
สำนักพิมพ์ Solis Books
จำนวนหน้า 330 หน้า
ราคาปก 295 บาท
เรื่องย่อ
จะเป็นอย่างไร เมื่อในอนาคต คุณอายุแก่ชรามากพอแล้วเลือกที่จะสมัครเป็นทหารที่จะไปต่อสู้กับเหล่าบรรดาสัตว์ประหลาดต่างๆ ในอวกาศได้ โดยมีการแลกเปลี่ยนคือ คุณจะได้ร่างใหม่ที่เป็นหนุ่มสาว แต่ต้องแลกกับการไม่ได้กลับมายังโลกอีกเลย
ความรู้สึกที่ได้อ่าน
โอยยยย สนุกมากค่าาาา
ตอนต้นเรื่องจะดำเนินเรื่องค่อนข้างช้าไปหน่อยนะคะ แต่พอเริ่มขึ้นสู่อวกาศ เข้าสู่การฝึกและอื่นๆ แล้ว สนุกมาก ซึ่งคนที่อ่านต้องชอบนิยายแนวไซไฟหน่อยนะคะ ที่มีการใช้จินตนาการและต้องไม่ใช้ทฤษภีแบบที่ความรู้ ณ ปัจจุบันมีอยู่ไปจับแบบเป๊ะๆ
ความสนุกของนิยายเรื่องนี้คือ เป็นนิยายที่มีความฮาสอดแทรกอยู่เป็นระยะๆ (แต่ต้องเข้าใจมุขด้วยนะคะ 555) อ่านไปก็อมยิ้มไป จะขอยกมาให้อ่านสักหน่อยแล้วกันนะคะ
หน้า 18
...ทรัพย์สินใดที่ยังเหลืออยู่จะถูกจัดสรรตามกฎหมาย ภาระและความรับผิดชอบทางกฎหมายต่างๆ ที่ถูกไถ่ถอนด้วยการเสียชีวิตจักถูกไถ่ถอนทันที ประวัติในทางกฎหมาย (ไม่ว่าจะเป็นคุณงามความดีหรือความอัปยศอดสู) จะถูกขีดฆ่าทิ้งด้วยประการฉะนี้ หนี้สินจะได้รับการปลดเปลื้องตามกฎหมาย ข้าพเจ้ารับทราบและเข้าใจเป็นอย่างดีว่าถ้าหากข้าพเจ้ายังไม่เตรียมการเรื่องการถ่ายโอนทรัพย์สินไปยังบุตรหลาน ข้าพเจ้าสามารถขอความช่วยเหลือทางด้านกฎหมายและการเงินจากกองกำลังป้องกันอาณานิคมได้ เพื่อจัดการให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง"
ผมลงชื่อ ฉะนั้นจะว่าไปแล้ว ตอนนี้ผมมีชีวิตเหลืออีกแค่เจ็ดสิบสองชั่วโมง
"แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าผมไม่ออกจากโลกภายในเจ็ดสิบสองชั่วโมง" ผมถามขณะยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่
"ก็ไม่เกิดอะไรค่ะ" เธอรับเอกสารไป "ก็แค่ว่าคุณถือว่าเสียชีวิตไปแล้วในทางกฎหมาย ข้าวของทั้งหมดจะถูกจัดแบ่งตามพินัยกรรม ประกันชีวิตและประกันสุขภาพจะถูกยกเลิกหรือถ่ายโอนไปยังทายาท และเมื่อเสียชีวิตไปแล้วตามกฎหมาย คุณจะไม่ได้รับความคุ้มครองทางกฎหมายอีก ทั้งจากการหมิ่นประมาทไปจนถึงการฆาตกรรม"
"งั้นถ้ามีใครเดินเข้ามาฆ่าผมตาย คนคนนั้นก็จะไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายเลยเหรอ"
"ก็ไม่ถึงขนาดนั้นนะคะ" เธอว่า "ถ้าเกิดมีใครมาฆ่าคุณในภาวะที่คุณเสียชีวิตในทางกฎหมายไปแล้ว ดิฉันเชื่อว่าในรัฐโอไฮโอ คนคนนั้นอาจถูกดำเนินคดีในข้อหา 'ย่ำยีศพ' ได้ค่ะ"
คือแบบ...อ่านแล้วอมยิ้มมาก ซีนตอนที่จอห์น เพอร์รี่ไปเซ็นสัญญาเพื่อเป็นทหารให้กับซีดีเอฟนี่มีหลายช็อตมากที่ทำให้เรารู้สึกว่าคนเขียนมีอารมณ์ขันค่ะ แต่เป็นอารมณ์ขันแบบยิ้มๆ นะคะ ไม่ใช่แบบหัวเราะก้องเสียงดังแบบนั้น ซึ่งทำให้การอ่านหนังสือเล่มนี้ (แม้จะมีหลายฉากที่สยอดสยอง (ตามมาตรฐานของคนไม่ชอบสิ่งสยดสยองใดๆ ทั้งสิ้นอย่างข้าพเจ้า) และดราม่า (แบบอ่านแล้วก็น้ำตาซึม) อยู่เป็นระยะๆ) ค่อนข้างเป็นบรรยากาศการอ่านที่รื่นรมย์เลยหละค่ะ
ซึ่งตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ มีหลายอย่างที่ทำให้เราคิดและถามตัวเองนะคะ ไม่ว่าจะเป็น...คือ ต้องบอกก่อนว่า ตอนแรกตัวเองรู้สึกว่าการที่แก่แล้วทนตัวเองไม่ได้ ต้องไปสมัครเป็นทหารเพื่อแลกกับความหนุ่มสาวเนี่ย...มันจำเป็นถึงขนาดนั้นเลยเหรอ เราไม่คิดว่าจะทำนะ แต่เพอร์รี่ก็ให้คำตอบแบบที่ชวนคิดกับเราค่ะ...
หน้า 20
"ตอนยังหนุ่มๆ ผมก็ไม่เคยรังเกียจที่จะต้องแก่" ผมบอก "แต่พอแก่เข้าแล้วจริงๆ นี่สิ ตอนนั้นหละที่ผมรับไม่ได้"
คือไงดีอะคะ มันมีหลายเรื่องในชีวิตนะ ที่ครั้งแรกเคยบอกว่า เราจะไม่เป็นอย่างนั้น (เช่นเราจะไม่รักผู้ชายเจ้าชู้ เป็นต้น 555) แต่พอถึงเวลา ก็กลับกลายเป็นเรากลับทำสิ่งนั้นๆ ไปได้ โดยที่บางที...มันก็ใช้สติและเหตุผลไม่ได้ (เดี๋ยวค่ะป้า กลับมาแป๊บ) คือ เอาเป็นว่า บางเรื่องต่อให้ตอนเรามีสติและปัญญาตั้งใจว่าถ้าเป็นเรา เราจะทำ (หรือไม่ทำ) อย่างไร แต่พอถึงเวลาจริงๆ เราอาจจะไม่ได้ทำอย่างที่ตั้งใจก็ได้ค่ะ ประมาณนั้น
นอกจากนั้นตอนที่เราสงสัยว่า...แล้วผู้คนรอบข้างหละ เขาไม่ห่วงหาอาวรณ์เหรอ? ก็มีคำตอบให้เช่นกันค่ะ คือ ภรรยาของตัวเอกเสียชีวิตไปแล้ว (ทำให้เธอไม่ได้ไปเป็นทหารด้วยกัน เพราะตายก่อนอายุครบ) ลูกชายเองตอนแรกก็คัดค้านแล้วท้ายที่สุดก็ต้องยอมรับ เพราะ...พ่อเองก็ไม่เหลือใคร และชีวิตมันก็ต้องเป็นไป (ซึ่งเราว่า...ความสัมพันธ์ในครอบครัวฝรั่งระหว่างรุ่นกับรุ่นและคนรอบข้างมันไม่ชุกชุมหนาแน่นเท่าทางเอเชียด้วยล่ะนะ) ซึ่งการที่เพอร์รี่ได้ไปร่ำลา และสะสางเรื่องค้างคาใจทั้งหลายตั้งแต่ 1 ปีก่อนจะไปเข้าร่วมกับกองกำลัง มันทำให้เราคิดนะคะว่า...จำเป็นไหมที่เราต้องรอเวลาให้ (เหมือนจะ) ตายไปจากโลกแบบนั้นถึงจะสะสาง ทำไมเราจะไม่สะสางเรื่องค้างคาใจทั้งหลายตั้งแต่วันนี้ แต่ก็นั่นแหละค่ะ...เราดันคิด (ผิดหรือเปล่า?) แค่ว่า เรายังมีชีวิตอยู่ได้อีกนาน และยังไม่มีเวลาสำหรับเรื่องเหล่านั้น (จริงหรือ?) บางทีถ้าเราคิดว่าเราจะตายในอีกหนึ่งอาทิตย์ ในอีกหนึ่งเดือน เราก็คงจะทำสิ่งที่มันค้างคาใจ สะสางกับผู้คนต่างๆ ที่เรารู้สึกติดค้างกันไว้ก็ได้นะคะ...
หลังจากที่นิยายปูให้เรารู้ที่มาที่ไปของการไปเป็นทหาร การแปลงสภาพเป็นหนุ่มเป็นสาวให้เรารู้สึกเริงร่า คนเขียนก็ทุบหัวเราด้วยความเป็นจริงอีกด้านที่ต้องแลกมา นั่นก็คือการฝึกอย่างหนัก การมีโอกาสที่จะเสียชีวิตแบบโหดร้าย (ที่ตรงกับคำว่าโหดร้ายจริงๆ นะคะ) ที่เล่นเอาอึ้งเลยค่ะ จนอย่างที่ตัวเอกคิดหละว่า ถ้าเอาคลิปทหารที่ตายอย่างอนาถแบบนั้นให้ดูก่อน อาจจะไม่มีการสมัครก็ได้ เหอๆ
ซึ่งมันก็ทำให้เราคิดนะคะว่า...การที่เขาเอาคนแก่มาเป็นทหาร ส่วนหนึ่งก็คือ...การที่จะต้องมาตายง่ายดายในการรบ มันก็...อาจจะไม่ได้เร็วไปกว่าใช้ชีวิตต่อโดยไม่เป็นทหารก็ได้ คือ ไม่มาเป็นทหารก็ต้องแก่ตาย (ในไม่ช้า) อยู่ดีนั่นแหละ แต่คนเขียนก็มีคำตอบว่า นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวนะคะ แต่เหตุผลนี้...ก็สำคัญเช่นกัน
"...พูดให้ตรงกว่านั้นก็คือ พวกนายควรจะแคร์เพราะอาณานิคมเป็นตัวแทนของอนาคตแห่งมนุษยชาติ และไม่ว่าจะอยู่ในร่างกายใหม่หรือร่างกายเดิม พวกนายก็มีความใกล้ชิดผูกพันกับมนุษย์ยิ่งกว่าสิ่งมีชีวิตทรงภูมิเผ่าพันธุ์ใดๆ ก็ตามในเอกภพ
"แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกนายควรจะแคร์เพราะพวกนายแก่พอที่จะรู้ว่าต้องแคร์ นี่เป็นเหตุผลข้อหนึ่งที่ซีดีเอฟเลือกคนแก่มาเป็นทหาร...มันไม่ใช่เพราะว่าพวกนายเกษียณแล้วและเป็นตัวถ่วงทางด้านเศรษฐกิจหรือว่าอะไรหรอก แต่เป็นเพราะพวกนายอยู่มานานจนรู้ว่าในโลกนี้มันมีอะไรบางอย่างที่สำคัญกว่าชีวิตของตัวเอง พวกนายส่วนใหญ่มีครอบครัว เคยเลี้ยงลูกเลี้ยงหลาน และเข้าใจดีถึงคุณค่าของการทำอะไรสักอย่างเพื่อสิ่งที่เหนือล้ำกว่าเป้าหมายส่วนตัว ต่อให้พวกนายจะไม่เคยเป็นชาวอาณานิคม พวกนายก็ยังตระหนักได้ว่าอาณานิคมคือสิ่งที่ดีสำหรับมนุษยชาติ เป็นสิ่งที่มีค่าควรแก่การปกป้อง มันยากที่จะฝังแนวคิดนี้เข้าไปในสมองของเด็กวัยรุ่นอายุสิบเก้า แต่พวกนายมีสิ่งนี้อยู่แล้วจากประสบการณ์ที่ผ่านมา และในเอกภพนี้น่ะนะ ประสบการณ์ก็พอจะมีควาหมายอะไรอยู่บ้าง"
แต่แม้ว่าคนเขียนจะแทรกอารมณ์ขันไว้เป็นระยะๆ แต่เวลาถึงคราดราม่า ก็ทำเอานักอ่านอย่างเราน้ำตาตกนะคะ อย่างเพื่อนคนหนึ่งที่อบรมรุ่นเดียวกันกับเพอร์รี่ที่ต้องเสียชีวิตไป ซึ่งเราถือว่าเป็นการเสียชีวิตที่งดงามและสะเทือนใจมากค่ะ (ยกมาแค่นี้คนที่ไม่ได้อ่านคงไม่อินนะคะ แต่ก็อยากยกมาให้อ่านแค่นี้ ไม่งั้นจะยาวเกินและสปอยล์เกินด้วยค่ะ)
แล้วแม็กกีก็หันไปหาดาวเคราะห์ดวงนั้นที่กำลังจะคร่าชีวิตเธอ และเฉกเช่นศาสตราจารย์ทางด้านศาสนาตะวันออกผู้เก่งกาจอย่างที่เธอเคยเป็น เธอได้แต่ง จิเซย์ หรือบทกวีแห่งความตายในรูปแบบกลอนไฮกุขึ้นมาบทหนึ่ง
สหายเอยอย่าได้อาลัย
ข้าฯ ร่วงหล่นดั่งดาวตก
ไปสู่ชีวิตใหม่
เธอส่งบทกวีนี้พร้อมกับช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตมาให้พวกเรา แล้วเธอก็ตาย ตายอย่างเจิดจ้าเหนือท้องฟ้าดำมืดของดาวเทมเพอแรนซ์
เธอเป็นเพื่อนผม และถึงกับเป็นคนรักของผมในช่วงเวลาสั้นๆ ในช่วงเวลาแห่งความตายของเธอ เธอกล้าหาญยิ่งกว่าที่ผมจะทำได้ในช่วงเวลาของผมเอง และให้ตายเถอะ เธอจะต้องเป็นดาวตกที่สวยงามมากแน่ๆ
และในขณะเดียวกัน ตัวเอกของเราก็ตกอยู่ในภาวะแบบที่ทหารหลายคนประสบกับสงครามค่ะ ซึ่ง...เมื่อสมัยเรายังใสซื่อ เราไม่เคยเข้าใจเลยนะคะว่า ทำไมถึงจะมีอะไรเปลี่ยนคนๆ หนึ่งได้ (แต่ตอนนี้แก่พอจะรู้แล้ว 555) ซึ่งสิ่งที่เพอร์รี่พูด คือสิ่งที่เราเห็นด้วยมากเลยค่ะ
"...ในการสู้รบกับพวกเขา เราต้องรู้เกี่ยวกับพวกเขาแค่เท่าที่จำเป็น สำหรับเราแล้ว พวกเขาไม่ได้เป็นอะไรอย่างอื่นนอกจากศัตรู ยกเว้นแค่ว่าพวกเขาฉลาดพอที่จะตอบโต้ และมันก็ไม่ต่างอะไรกับการต่อสู้กับสัตว์เลย"
"นั่นทำให้พวกเราส่วนใหญ่ทำใจได้ง่ายขึ้นนะ" อลันพูด "ถ้าคุณไม่คิดว่าแมงมุมมันเป็นคน ฆ่าทิ้งสักตัวคุณก็ไม่รู้สึกแย่อะไร ต่อให้มันจะเป็นแมงมุมตัวใหญ่ๆ ที่ฉลาดๆ ก็ตาม ความจริงแล้วโดยเฉพาะพวกที่ตัวใหญ่ๆ และฉลาดๆ เลยล่ะ"
"บางทีนี่ล่ะคือสิ่งที่ทำให้ผมไม่สบายใจ" ผมพูดต่อ "ผมไม่รู้สึกถึงผลลัพธ์อะไรเลย ผมเพิ่งจะฆ่าสิ่งมีชีวิตโดยการเหวี่ยงมันกระแทกตึกไปเองนะ และถึงอย่างนั้นผมก็ยังรู้สึกเฉยๆ การที่ผมรู้สึกเฉยๆ นี่ล่ะ ที่ทำให้ผมไม่สบายใจ คนเราควรจะมีความตระหนักถึงผลลัพธ์จากการกระทำของตัวเองบ้างสิ อย่างน้อยเราควรรับรู้ถึงความสยดสยองของสิ่งที่เราเพิ่งทำลงไปบ้าง ไม่ว่าจะทำเพราะมีเหตุผลอันควรหรือไม่ก็ตาม แต่ผมไม่รู้สึกสยดสยองอะไรกับสิ่งที่ทำลงไปเลย อันนั้นล่ะที่ผมกลัว ผมกลัวนัยยะของมัน ผมเพิ่งจะกระทืบเมืองนี้จนเละเหมือนเป็นปีศาจ และตอนนี้ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าตัวเองอาจจะเป็นปีศาจจริงๆ ก็ได้ ผมกลายเป็นปีศาจไปแล้ว คุณก็เป็นปีศาจ พวกเรา ทุกคน ล้วนเป็นปีศาจอันไร้มนุษยธรรม แถมยังไม่รู้สึกว่ามันผิดตรงไหนอีกต่างหาก"
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกรักและประทับใจในตัวเพอร์รี่ ไม่ใช่แค่เรื่องของความฉลาด ความมีอารมณ์ขันของเขา แต่เป็นเรื่องของความรักที่เขามีต่อภรรยาของเขาค่ะ...มันลึกซึ้งมากๆ เลย ยกมาให้อ่านให้เห็นอย่างชัดเจนละกันนะคะ
"...ในชีวิตแต่งงานของผมมันไม่มีอะไรให้น่าเขียนถึงหรอก"
ผมมองไปรอบๆ "ในห้องนี้ไม่มีใครมีคู่ชีวิตที่มาสมัครด้วยกันบ้างเลยเหรอ พวกคุณไม่ได้ติดต่อพวกเขาเลยเหรอ"
"สามีฉันสมัครก่อนฉัน" วีเบอร์บอก "แต่เขาตายก่อนที่ฉันจะเข้าประจำการ"
"ภรรยาฉันประจำการอยู่บนยาน บอยซี" คีย์สว่า "นานๆ เธอก็ส่งข้อความมาที ฉันรู้สึกว่าเธอไม่ได้คิดถึงฉันมากมายอะไรนักหรอก สงสัยอยู่กับฉันมาสามสิบแปดปีก็คงจะเกินพอแล้วมั้ง"
"คนส่วนใหญ่พอออกมาอยู่บนนี้ก็ไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเก่าอีกแล้ว" เจนเซนบอก "แน่นอนว่าเราคิดถึงเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บางอย่าง...อย่างที่เอมมี่บอกนั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเราไม่บ้าไปซะก่อน แต่มันเหมือนกับการถูกดึงกลับไปในอดีต เสี้ยววินาทีก่อนการตัดสินใจจนทำให้ชีวิตของเรากลายเป็นแบบที่มันเป็น ถ้าย้อนกลับไปได้ คุณจะเลือกแบบเดิมอีกทำไม คุณเคยใช้ชีวิตแบบนั้นไปแล้ว แต่อย่าไปสนใจความเห็นเมื่อกี๊ของผมเลย ผมไม่ได้สำนึกเสียใจกับการตัดสินใจของตัวเองหรอก ก็แค่ว่าผมคงไม่รีบร้อนที่กลับไปเดินเส้นทางเดิมอีกครั้ง แน่นอน ภรรยาของผมก็อยู่ในอวกาศด้วย แต่เธอก็มีความสุขกับชีวิตใหม่ของเธอโดยปราศจากผม และต้องขอบอกเลยว่าผมคงไม่รีบร้อนจะกลับไปประจำการอยุ่ที่ฐานเดิมฐานนั้นอีกครั้งหรอกนะ"
"นี่ไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นเลยทุกคน" ผมบอก
"แล้วคุณคิดถึงอะไรเกี่ยวกับการแต่งงานล่ะ" อลันถาม
"อืม ผมคิดถึงภรรยาน่ะ" ผมบอก "แต่ก็คิดถึงความรู้สึกอีกอย่างด้วย ไม่รู้สินะ คงเป็นความรู้สึกสบายใจล่ะมั้ง มันเป็นความรู้สึกที่ว่าเราอยู่ในที่ที่ควรอยู่ อยู่กับคนที่ควรอยู่ด้วย ที่แน่ๆ คือผมไม่รู้สึกถึงมันตอนอยู่บนนี้ พวกเราเดินทางไปตามที่ต่างๆ เพื่อไปต่อสู้ร่วมทางไปกับคนที่อาจจะตายวันตายพรุ่งได้ทุกเมื่อ อย่าถือสากันนะ"
"ไม่เลย" คีย์สบอก
"บนนี้มันไม่มีความรู้สึกมั่นคงนั้นเลย" ผมว่า "มันไม่มีอะไรที่ให้ความรู้สึกปลอดภัย ชีวิตแต่งงานผมก็มีขึ้นมีลงเหมือนของคนอื่นนั่นแหละ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังมั่นคง ผมคิดถึงความรู้สึกอุ่นใจแบบนั้น ความรู้สึกผูกพันกับใครสักคนแบบนั้น คุณค่าที่เรามีต่อคนอื่นคือสิ่งที่ทำให้เรายังเป็นมนุษย์อยู่ได้ เช่นเดียวกับคุณค่าที่คนอื่นมีต่อเรา ผมคิดถึงการได้มีคุณค่าต่อคนอื่น การมีส่วนนั้นของความเป็นมนุษย์อยู่กับตัว นี่ล่ะคือสิ่งที่ผมคิดถึงเกี่ยวกับการแต่งงาน"
อืมม์...คืออ่านแล้วรู้สึกถึงความเป็นจริงของชีวิตยังไงบอกไม่ถูกค่ะ 5555 คือ ชีวิตคู่ส่วนใหญ่คงเป็นอย่างนั้น และเรารู้สึกอิจฉาเพอร์รี่เล็กๆ ที่เขามีชีวิตแต่งงานและได้พบคนที่ตัวเองรักและให้ความรู้สึกแบบนั้นได้น่ะค่ะ (ทั้งอยากมีและอยากเป็นกันเลยทีเดียว)
ซึ่งการปูเรื่องความรักที่เพอร์รี่มีต่อภรรยานี้ ทำให้เซอร์ไพรซ์อย่างหนึ่งของนิยายเรื่องนี้นี่ยิ่งทำให้คนอ่านรู้สึกแบบบบบบบ เฮ้ยยยยยยย แล้วก็เลยเข้าใจในสิ่งที่เพอร์รี่มีปฏิกิริยาต่อมันได้อย่างชัดเจนมากๆ ค่ะ
ขอยกตัวอย่างอีกอันที่แสดงให้เห็นถึงความรักระหว่างเพอร์รี่กับภรรยานะคะ (สารภาพว่าเป็นอย่างหนึ่งที่ชอบมากจริงๆ ในนิยายเรื่องนี้ค่ะ)
"เธอกำลังทำวอฟเฟิลในตอนเช้าวันอาทิตย์วันหนึ่ง แล้วเกิดเป็นโรคหลอดเลือดสมองขึ้นมาขณะกำลังมองหาวานิลลา" ผมเล่า "ตอนนั้นผมอยู่ในห้องนั่งเล่น จำได้ว่าเธอถามหาวานิลลาอยู่ดีๆ เสร็จแล้วก็มีเสียงล้มตึง ผมวิ่งไปที่ห้องครัวเป็นเธอนอนตัวสั่นและมีเลือดไหลตรงจุดที่หัวกระแทกโต๊ะเคาน์เตอร์ ผมโทร.เรียกรถฉุกเฉินขณะกอดเธอเอาไว้ ผมพยายามห้ามเลือดให้เธอ ปากพร่ำบอกแต่ว่าผมรักเธอๆ จนกระทั่งหน่วยกู้ชีพมาถึงและดึงเธอออกไป แต่ระหว่างนั่งรถไปโรงพยาบาล พวกเขาก็ยอมให้ผมจับมือเธอ เธอตายบนรถพยาบาลโดยที่ผมจับมือเธอไว้ ผมเห็นประกายชีวิตเลือนหายไปจากดวงตาของเธอ ผมเอาแต่บอกว่าผมรักเธอๆ อยู่อย่างนั้นจนกระทั่งพวกเขาเอาตัวเธอไป"
"ทำไมคุณถึงทำอย่างนั้น" เจนถาม
"ผมอยากให้แน่ใจว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอจะได้ยินคือคำพูดของผมที่บอกว่าผมรักเธอมากแค่ไหน"
สารภาพว่าตอนอ่านถึงตรงนี้นี่ น้ำตาไหลพรากๆ ค่ะ (เป็นเอามากนะป้า) มันเป็นเหมือนความรู้สึกงดงามที่เราก็รู้สึกว่า...มันทั้งน่าชื่นชมและน่าอิจฉาน่ะนะ ถ้าเราจะต้องตายเราก็คงอยากเป็นแบบภรรยาเพอร์รี่นี่แหละ หรือถ้าคนที่เรารักตาย เราก็อยากทำแบบเพอร์รี่เช่นกัน...นั่นแหละค่ะ ไม่พูดต่อดีกว่า รู้สึกว่ารีวิวนี้ป้าเพ้อเจ้อเอามากค่ะ 555
ที่ต้องชมอีกอย่างคือ การแปล ค่ะ แปลได้ดีมาก อ่านแล้วไม่สะดุดเลย และอารมณ์ขันก็ยังคงไว้ด้วยค่ะ (หลายคนน่าจะคุ้นชื่อนักแปลจากชุดนิยายเรื่องดังอีกเรื่องน้าา) แล้วนิยายเล่มนี้ก็เป็นนิยายเล่มนี้ของสนพ.ใหม่เอี่ยมอย่าง Solis Books ด้วย ซึ่งเราถือว่าเลือกเรื่องมาเปิดตัวได้ดีนะคะ ปกก็ซ้วยสวย (ตอนสนพ.มาโพสต์ปกนี่มีแต่คนมาชม) ถือว่าเป็นงานผลิตที่ดีเลยค่ะ ขอให้รักษามาตรฐานแบบนี้กับเล่มต่อๆ ไปนะคะ
สรุปแล้วก็เป็นนิยายไซไฟ แบบฮาๆ ดราม่าและรักสะเทือนใจ (มันหลากหลายจริงๆ ท่านผู้โช้มมมม) ที่ถ้าใครอ่านรีวิวอย่างละเอียดแล้วชอบ ก็อยากให้ไปหามาให้อ่านกันค่ะ โดยส่วนตัวแล้วชอบนะคะ
ปฏิทินธรรม
วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม 2561
1. ทำบุญตักบาตร ณ วัดพุทธบูชา (กิจกรรมจัดทุกวันเสาร์แรกของเดือน)
วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคา 2561 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ https://www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447
2. งานไถ่ชีวิตโคกระบือ ทุกวันอาทิตย์แรกของเดือนณ. วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร เขตบางเขน กรุงเทพฯhttps://web.facebook.com/bogboon/photos/a.614964165213890.1073741836.335629013147408/540852169291757/
วันอาทิตย์ที่ 11 และ 25 มีนาคม 2561 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม 2561 (จัดทุก อาทิตย์ที่สามของเดือน)
1. 19 มีนาคม- ตักบาตร พระกัมมัฏฐาน และ ฟังพระธรรมเทศนา เวลา 7.00 น.
ณ ชมรมกลุ่มพุทธธรรมลานทอง หมู่บ้านลานทอง อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี
วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม 2561 (กิจกรรมทุกเสาร์ที่ 4 ของเดือน)
1. ทำบุญตักบาตร ถวายภัตตาหารโดยพระเถระวัดป่ากรรมฐาน
เมตตารับบาตรโดย
เวลา ๐๗.๐๐-๑๐.๐๐ น. ณ ศาลาปันมี มูลนิธิบ้านอารีย์
วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 24 และ 25 มีนาคม 2561 (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน)
1. งานบุญประจำเดือน (ทุกเสาร์และอาทิตย์สุดท้ายของเดือน) ทำบุญบำรุงรักษาสวนแสงธรรม และถวายปัจจัยร่วมสร้างพิพิธภัณฑ์ธรรมเจดีย์ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน ณ วัดป่าบ้านตาด
ณ สวนแสงธรรม พุทธมณฑล สาย 3 แขวงบางไผ่ เขตบางแค กรุงเทพมหานคร
ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1469696+5957619=7427315/13136/1630
Create Date : 11 มีนาคม 2561
Last Update : 11 มีนาคม 2561 19:58:50 น.
32 comments
Counter : 3757 Pageviews.
เนื้อหาของหนังสือก็น่าสนใจ
มีฮาหน่อยๆ แบบนี้ชอบจ้ะ
แต่คงไม่ได้อ่าน อิอิ
เพิ่งเห็นว่าอัพใหม่
โหวตหมดมะกี้เองจ้ะ
ไว้พรุ่งนี้น้า