สวัสดีค่าาาา
(มีกิจกรรมร่วมสนุกแจกเวาเชอร์ดินเนอร์บุฟเฟท์ที่นี่ ที่เพจเราอยู่นะคะ www.facebook.com/saoguide หมดเขตเที่ยงคืนวันศุกร์ที่ 25 มีนาคมค่ะ)
สำหรับวันนี้ก็จะมาประเดิมรีวิวหนังสือเอนทรี่แรกของปี 2559 กันบ้างนะคะ แหะๆ (เขินจุง) จะพยายามหาเวลาอ่านและรีวิวเรื่อยๆ นะคะ ตอนแรกตั้งใจจะเดือนละเล่ม แต่..ผ่านไปสามเดือนเพิ่งจะได้รีวิวเล่มแรก แง้ววว
ที่จริงหนังสือเล่มนี้อ่านมานานแล้วค่ะ จนลืมไปแล้วว่าอยากรีวิว (โพสต์ไว้ในเฟซแท้ๆ นะคะนั่น แง้ววว) จนวันหนึ่งจัดห้อง เห็นหนังสือเล่มนี้เลยนึกขึ้นได้ว่าจะรีวิวนี่หว่า เลยหยิบมาอ่านเพื่อรีวิวใหม่อีกรอบค่ะ (ลงทุนมากป้า)
เครดิตรูปจาก //www.dbooks4u.com/products/detail.php?id=373
กรรมตามสมอง พิมพ์ครั้งที่ 7
เขียนโดย ขุนเขา สินธุเสน เขจรบุตร
สำนักพิมพ์ ดีเอ็มจี
จำนวนหน้า 280 หน้า
ราคาปก 215 บาท
สำหรับหนังสือเล่มนี้เราอ่านแล้วชอบมากๆ นะคะ (ถึงได้อยากมาเขียนรีวิว แหะๆ) เป็นหนังสือที่นอกจากจะเปิดสมองให้ได้รับความรู้ใหม่ๆ แล้ว ยังสร้างแรงบันดาลใจและบอกวิธีการที่จะปรับเปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมของตัวเองเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นด้วยค่ะ
หนังสือเล่มนี้จะพูดถึงสมองในลักษณะที่มีทั้งข้อมูลเชิงกายภาค จิตวิทยา แบบวิทยาศาสตร์และเชื่อมโยงกับพุทธศาสนาด้วยค่ะ ซึ่งนั่นทำให้ยิ่งอ่านก็ยิ่งอินและเชื่อในสิ่งที่หนังสือพยายามบอกเราว่า สมองเรานั้นเป็นอย่างไร มีผลต่อชีวิตของเราอย่างไร และเราจะทำอย่างไรเพื่อให้สมองของเราสามารถทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ด้วยค่ะ
ซึ่งโดยรวมๆ หนังสือเล่มนี้จะทำให้เราได้เรียนรู้และลงมือในแต่ละเรื่อง ได้แก่ การเข้าใจและชนะใจตัวเอง เปลี่ยนนิสัยเปลี่ยนชีวิต และไขความลับเรื่องพลังจิตนะคะ
ยกตัวอย่างเช่น การรู้จักกับสมอง ซึ่งเปิดขึ้นมาตั้งแต่ๆ ต้นๆ เล่ม ก็บอกข้อมูลเชิงวิทยาศาสตร์และกายภาพว่า สมองมีเส้นประสาทมากถึง 1 แสนล้านเส้น ซึ่งมากกว่าประชากรโลกถึง 14 เท่า และมีจุดเชื่อมต่อปลายประสาทถึง 100 ล้านล้านจุด มากกว่าดาวในกาแล็คซี่บนทางช้างเผือกถึง 330,000 เท่า เซลล์สมองเท่าเมล็ดเกลือ 1 ก้อน มีข้อมูลรบรรจุในนั้นถึง 100 terabyte ซึ่งเท่ากับภาพยนตร์ความคมชัดสูงถึง 25,000 เรื่อง น้ำหนักของสมองที่หนัก 1.4 กิโลกรัม เป็น 2% ของร่างกาย แต่ใช้พลังงานแคลอรี่ถึง 20-30% ของพลังงานทั้งหมดค่ะ (อยากผอมใช้สมองเยอะๆ นะคะ 555 ) หรือเอาแบบเปรียบเทียบความสุดยอดของสมองอีกอย่างก็คือข้อมูลที่บอกว่า หากนำคอมพิวเตอร์มาประมวลการทำงานของสมอง 1 ก้อน คอมฯ เครื่องนั้นต้องมีความจุ 1,300 ล้านเทระไบต์ ซึ่งเท่ากับคอมฯ ยุคปัจจุบันประมาณ 2,600 ล้านเครื่องรวมกันค่ะ
นอกจากข้อมูลเบื้องต้นที่แสดงว่า สมองเรามีพื้นฐานเบื้องต้นที่น่าจะมีศักยภาพมากแค่ไหนแล้ว ในหนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่า "โครงสร้างทุกส่วนและเส้นประสาททุกเส้นในสมองสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาตามความคิด คำพูดและการกระทำของเราเอง" ด้วยค่ะ
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า สมองคือเครื่องมือสำคัญที่สุดที่คอยออกแบบชีวิตและกำหนดโชคชะตาของเรา แต่สำคัญกว่าคือ ทุกๆ ความคิด คำพูด และการกระทำจะมีส่วนในการกำหนดโครงสร้างสมองและเนื้อสมองมีความยืดหยุ่นไม่ต่างจากเนยแข็งและดินน้ำมัน เราจึงสามารถที่จะ "ปั้น" ได้ง่ายมาก ถ้ารู้วิธี
จากเนื้อหาข้างบน เหมือนจะเป็นเรื่องหนักๆ ใช่มั้ยคะ แต่ที่หนังสือเล่มนี้พิเศษมากๆ ก็คือ คนเขียนกลับเขียนให้อ่านได้อย่างเพลิดเพลินเลยหละค่ะ อาจจะไม่ได้สนุกตื่นเต้นเหมือนการอ่านนิยายอะไรแบบนั้น แต่อ่านไปๆ ก็จะยิ่งอยากอ่านต่อนะคะ ไม่น่าเบื่อเลย ตอนอ่านรอบสองนี่เราเลือกที่จะอ่านก่อนนอนค่ะ เพราะมันให้ความรู้สึกที่อยากมีชีวิตที่ดียิ่งๆ ขึ้นในเช้าวันรุ่งขึ้นด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อพูดถึงสมองและความฉลาด สมองของไอน์สไตน์ก็ได้รับการพูดถึงในหนังสือเล่มนี้ด้วยค่ะ ซึ่งก็มีการศึกษาสมองของเขา (ตามความต้องการของไอน์สไตน์เอง) และค้นพบความแตกต่างหลายๆ อย่างของสมองของไอน์สไตน์กับคนทั่วไปด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นรอยหยักของสมองที่มากกว่าคนทั่วไปทั้งในบริเวณสมองส่วนหน้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับการวางแผน แก้ปัญหาและการวิเคราะห์ที่ต้องใช้เหตุผล หรือสมองส่วน Occipital Lobes ซึ่งเป็นสมองส่วนสร้างจินตภาพและสมองส่วนนอกที่มีรอยหยักซับซ้อน มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งยิ่งสัตว์ที่มีความฉลาดสูงรอยหยักจะยิ่งซับซ้อนมากค่ะ ซึ่งรอยหยักสำคัญเพราะเป็นการเพิ่มพื้นที่ผิวสมอง แทนการยัดเนื้อสมองในกะโหลกจนทำให้น้ำหนักเกินที่ร่างกายเราจะรับไหวค่ะ
นอกจากนั้นสมองส่วนซ้ายและขวาของเราที่มีส่วนเชื่อมด้วย Corpus Callosum ซึ่งเป็นเสมือนสะพานให้สมองสองซีกทำงานร่วมกันได้นั้น ไอน์สไตน์เองก็มีเครือข่ายใยประสาทตัวนี้หนาแน่นกว่าคนทั่วไป จึงมีความสามารถในการใช้สมองทั้ง 2 ซีก (ตัวเลข เหตุผล กับจินตนาการ) ได้มากกว่าคนอื่นๆ ค่ะ
เครดิต : //www.life-enhancement.com/magazine/article/2992-think-like-einstein
แต่ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือการที่หนังสือเล่มนี้บอกกับเราว่า เราสามารถมีสมองอย่างไอน์สไตน์ได้ เพราะความเชื่อ (อดีตความรู้) ที่เคยบอกว่า สมองของคนเราเมื่อพ้นวัยเด็กแล้วจะเป็นโครงเหล็ก ไม่สามารถเปลี่ยนได้อีกต่อไปนั้น ถูกการวิจัยใหม่ๆ เปลี่ยนไปแล้วว่า ที่จริงสามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็บอกค่ะว่า ความคิด คำพูด และการกระทำ เป็นสามสิ่งที่มีประสิทธิภาพที่จะออกแบบสมองให้เป็นอย่างใจต้องการได้ค่ะ (ทางพุทธศาสนาก็มโนกรรม วจีกรรมและกายกรรมนั่นเองค่ะ)
ซึ่งการกล่าวนี้ไม่ได้เป็นการกล่าวลอยๆ นะคะ หนังสือเล่มนี้กล่าวอ้างถึง Dr. David P.Rakel ซึ่งทำงานวิจัยและได้ข้อสรุปว่า ทัศนคติและอุปนิสัย ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรมอย่างใหญ่หลวง
นอกจากนั้นการมองโลกในแง่ดีและการมีความรักความเมตตา จะส่งผลโดยตรงต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับพันธุกรรมด้วย ซึ่งมีวิชาเหนือพันธุศาสตร์ (Epigenetics) ที่มีองค์ความรู้ว่า รหัสพันธุกรรมทุกตัวเป็นคำสั่งที่หลับใหลอยู่ในร่างกายเรา แต่ยีนเหล่านั้นจะตื่นมาแสดงผลหรือไม่ ก็ขึ้นกับการใช้ชีวิตและมีความคิดอย่างไรค่ะ
ที่จริงหนังสือเล่มนี้มีหลายๆ อย่างที่น่าสนใจค่ะ แต่จะเขียนรายละเอียดมาทั้งหมด เดี๋ยวหนังสือเค้าไม่ต้องขายกันพอดีอะนะคะ ฮาา แต่ขอยกตัวอย่างอีกสักสองสามตัวอย่างที่อยากบอกเล่าให้อ่านกันนะคะ
อย่างเช่นเรื่องที่ว่า ทำไมคนเรารู้ว่าอะไรถูกต้อง อะไรดี แต่ยังเลือกทำสิ่งที่ผิดและชั่ว?
ทำไมธรรมชาติสร้างสมองมาอย่างน่าอัศจรรย์ แต่กลับไม่ให้มนุษย์ควบคุมได้อย่างใจ ทำไมถึงถูกออกแบบมาอย่างบกพร่องถึงเพียงนี้
ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็บอกว่า ที่จริงมันไม่ใช่ความบกพร่อง แต่เป็นสิ่งที่ทำให้มนุษย์ดำรงเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ได้ต่างหากค่ะ นั่นก็เป็นเพราะสมองมีหลักการพัฒนาและเติบโตจากในสู่นอก ด้านในสุดทำหน้าที่ควบคุมสิ่งสำคัญที่สุดต่อการมีชีวิต นั่นก็คือ การหายใจ การย่อยอาหาร การเต้นของหัวใจ ซึ่งเป็นสัญชาตญาณในการดำรงชีพ ความหิว การขับถ่าย ส่วนกลางถัดมาเป็นเรื่องของอารมณ์ การเอาตัวรอด การสืบพันธุ์ การปกป้องตัวเอง ความต้องการทางเพศ หรือจิตใต้สำนึกของเรานั่นเองค่ะ และส่วนนอกสุดคือความคิดชั้นสูง ซึ่งมนุษย์เท่านั้นที่วิวัฒนาการสมองจนสามารถพัฒนาถึงชั้นนี้ได้ สมองส่วนนี้ก็จะได้แก่เรื่องการวางแผน การยับยั้งชั่งใจ การคิดโดยใช้เหตุผล ซึ่งเป็นส่วนที่ทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์
และสมองยิ่งอยู่ลึกเท่าไหร่ก็จะยิ่งคุมยาก (เพราะธรรมชาติคือ ร่างกายเราคงไม่อยากให้เราคุมเรื่องการหายใจ การเต้นของหัวใจอันมีผลต่อการมีชีวิตได้) แต่ทำไมอารมณ์จึงถูกพัฒนาก่อนความคิด (เพราะอยู่ลึกกว่า ซึ่งนั่นทำให้ควบคุมยากกว่าความคิด) เพราะความกลัว ความโกรธ และความต้องการทางเพศสำคัญต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ (ในอดีต) มากกว่าการใช้เหตุผลและจินตนาการน่ะสิคะ
ซึ่งนั่นเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมความฉลาดจึงไม่สามารถบรรเทาความรู้สึกเจ็บปวดจากการอกหัก และอารมณ์จึงมักชนะเหนือเหตุผลน่ะค่ะ
อ่านแล้วเกิดคำถามมั้ยคะว่า แล้วทำไมเราต้องต่อต้านการออกแบบอันชาญฉลาดของมันด้วย??
หนังสือเล่มนี้บอกว่า วิทยาการพัฒนาเร็วกว่าวิวัฒนาการของมนุษย์ที่ใช้เวลานานกว่าจะไล่ตามทัน ความโกรธแค้นในอดีตที่เคยทำลายแค่เผ่าตรงกันข้าม แต่ปัจจุบันสามารถล้างผลาญโลกได้ทั้งใบ (เพราะฉะนั้นหากเราไม่ฝึกฝน มนุษย์เราจะทำลายล้างผู้อื่นได้อย่างมาก และแน่นอนว่าสร้างความวุ่นวายให้กับสังคมได้แน่ๆ ค่ะ)
นอกจากนั้นการที่สมองส่วนนอกสุดหรือ Neo-Cortex นี้มีน้ำหนักเป็น 85% ของสมองทั้งหมด ถ้าตั้งใจฝึกฝนสมองส่วนนอกจะมีอำนาจเหนือสมองส่วนใน เหมือนที่บุคคลชั้นนำของโลกและผู้นำทางจิตวิญญาณหลายคนทำให้เราดูมาแล้ว วิทยาศาสตร์พบว่าเซลล์สมองส่วนนี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นประมาณ 150,000 เซลล์ต่อ 1 ชั่วอายุคน (มิน่า..เด็กรุ่นใหม่ๆ ฉลาดกว่ารุ่นเราเยอะนะคะว่ามั้ย ฮา) แต่ถ้าไม่ใช้มันก็จะเหี่ยวเฉาไปนะคะ แหะๆ
เอาหละค่ะมาถึงวิธีที่หนังสือเล่มนี้แนะนำให้เราฝึกและจัดการกับสมองของเราเพื่อให้เรามีชีวิตที่ดีขึ้นกันบ้างนะคะ
วิธีการหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้แนะนำคือการนั่งสมาธิค่ะ โดยบอกว่า ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิก็เหมือนเรากำลังพาสมองส่วนนอกไปเข้าโรงยิมค่ะ การนั่งสมาธิทำให้สมองส่วนอมิกดาล่า (Amygdala) ซึ่งเป็นสมองที่ทำงานเมื่อเราโกรธหรือกลัวย่อขนาดลงเรื่อยๆ ซึ่งทำให้เราสามารถที่จะควบคุมความโกรธและกลัวของตนเองได้ดีกว่า
เครดิต : //www.kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=7917
นอกจากนั้นก็แนะนำให้เราสร้างนิสัยใหม่ ให้สมองจดจำพฤติกรรมดีๆ ที่สร้างความสุขแทนพฤติกรรมเดิมๆ ที่แย่ๆ ทำให้เราติดในสิ่งใหม่ ติดการกระทำที่ดีกว่าเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น แต่ผูกโยงอย่างมีสติ เพราะติดอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็ยังบอกอีกว่า จิตใต้สำนึกมีหน้าที่หลักตามธรรมชาติในการสงวนพลังงานเพื่อไว้ใช้ยามขาดแคลนหรืออันตราย ดังนั้นการจะเปลี่ยนแปลงอะไรจึงยากเพราะจิตใต้สำนึกจะรั้งไว้เพราะกลัวการใช้พลังงานนั่นเอง ค่ะ
นอกจากนั้นหนังสือก็แนะนำให้เราฝึกสติ หาความฝันตัวเองให้เจอ และเปลี่ยนแปลงแหล่งกำเนิดของความสุข (คือให้ความสุขเกิดจากการทำสิ่งดีๆ ทำอะไรให้ชีวิตดีขึ้น ไม่ใช่สุขจากการได้ขี้เกียจ ฯลฯ น่ะค่ะ)
สิ่งควรระวังอย่างหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้เตือนก็คือ การยอมแพ้ต่อกิเลสเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จะทำให้เรามีโอกาสพ่ายแพ้ต่อกิเลสในเรื่องอื่นๆ ด้วย เพราะเส้นประสาทที่เกี่ยวข้องกับการให้รางวัลตัวเองโดยทำตามกิเลสจะแข็งแกร่งขึ้นทุกครั้งที่เราใช้มันค่ะ
นอกจากนั้นอีกตัวอย่างหนึ่งที่อยากยกมาปิดท้าย (ซักที..ยาวเกินเดี๋ยวคนอ่านอ่านไม่จบ ฮาา ) ก็คือ ให้พูดกับจิตใต้สำนึกอย่างถูกต้อง เลิกถามว่า ทำไม แต่ถามจิตใต้สำนึกว่าทำอย่างไร จิตใต้สำนึกมีพลังมหาศาล และเมื่อถามคำถามที่ถูกต้อง จิตใต้สำนึกจะพยายามหาหนทางเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราเพื่อให้เราได้รับคำตอบที่ต้องการค่ะ
สรุปสำหรับหนังสือเล่มนี้นะคะ เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เราเชียร์สุดๆ ให้อ่านกันค่ะ นอกจากได้รับความรู้ใหม่ๆ หลายประการแล้วก็ยังได้วิธีการที่ดีที่จะนำมาใช้กับชีวิตและทำให้ชีวิตของเราดียิ่งๆ ขึ้นไปได้ด้วยค่ะ
ปิดท้ายด้วยข้อความจากหนังสือเล่มนี้ที่เราชอบนะคะ
"What they do to you is their karma,
how you react is your karma"
-Dalai Lama-
"สิ่งที่คนอื่นทำกับคุณ คือกรรมของเขา
แต่สิ่งที่คุณเลือกตอบโต้ใส่เขา คือกรรมของคุณ"
ดาไล ลามะ
"คนที่ไม่สามารถเป็นนายของตัวเองได้ จะเป็นทาสของคนอื่นไปชั่วชีวิต" -ขุนเขา-
อารมณ์เป็นคนรับใช้ที่ยอดเยี่ยม
แต่เป็นเจ้านายที่ไม่เอาถ่าน
-ขุนเขา-
"ชีวิตของคุณเป็นผลพวงจากสิ่งที่คุณเลือกเอง หากคุณไม่ชอบชีวิตที่มีอยู่ตอนนี้ คุณก็ต้องรู้จักเลือกให้ดีกว่าเดิม และการเลือกที่ดีกว่าเดิม จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อคุณมีสติในการเลือกมากกว่าเดิม" -ขุนเขา-
ปฏิทินธรรม
วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม 2559 (ทุกวันเสาร์แรกของเดือน)
1. ตักบาตรพระกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น วัดพุทธบูชา
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2559 (ปกติกิจกรรมจัดทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน แต่เดือนมกราคม จะจัดวันปีใหม่) 1.ทำบุญกับพระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต (เดือนนี้งานทอดกฐินด้วยค่ะ) ณ มูลนิธิพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ถ.จรัญสนิทวงศ์ซอย 37 เวลา 06.30-10.30 น. ดูรายละเอียดพระที่มารับบาตรและแผนที่ได้ที่ //www.watpa.com/board_detail.asp?board_id=3447 วันเสาร์และอาทิตย์ที่ 11 - 12 มีนาคม 2559
1. มุทิตาสักการะอายุวัฒนมงคล 80 ปี หลวงปู่อุทัย สิริธโร ณ วัดเขาใหญ่ญาณสัมปันโน ต.โป่งตาลอง อ.ปากช่อง นครราชสีมา
https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1510853665886058&id=1482592958712129
วันอาทิตย์ที่ 13 และ 27 มีนาคม 2559 (กิจกรรมจัดทุกๆ วันอาทิตย์ที่ ๒ และ ๔ ของเดือน) 1. ทำบุญ ฟังธรรม จากครูบาอาจารย์พระป่าสายกัมมฐาน ณ ศาลาลุงชิน แจ้งวัฒนะ 14 กิจกรรมจะเริ่มจากการถวายภัตตาหารร่วมกันเวลา ๘:oo น. สำหรับท่านที่สนใจนำอาหารมาร่วมทำบุญ แนะนำให้มาก่อนเวลาเพื่อจัดเตรียมอาหารใส่ภาชนะ ซึ่งจะเริ่มลำเลียงถาดอาหารเพื่อเตรียมประเคนเวลาประมาณ ๗:๔๕ น. ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ https://www.facebook.com/SalaLungChin?fref=ts
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม 2559 (จัดทุกวันเสาร์ที่สี่ของเดือน)
1. เชิญทุกท่านร่วมทำบุญตักบาตร สดับธรรม พระเถระวัดป่ากรรมฐาน เมตตารับบาตร โดย เว็บไซต์บ้านอารีย์ //www.baanaree.netวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 26 - 27 มีนาคม 2559 1. ขอเชิญร่วมงานบุญประเพณี ผ้าป่า 12 เมษา สืบหน่อต่อแขนงคลังหลวง บูชาพระคุณองค์หลวงตา ณ สวนแสงธรรม กรุงเทพฯhttps://www.facebook.com/siangdhamluangta/posts/1060056840717061 ขอบคุณทุกท่านที่แวะมาค่ะ1,469,696+3161140 =4630836/12080/1089
โดนใจตรงที่เขาแนะนำเรื่องนั่งสมาธิ ทุกวันนี้ก็พยายามนั่งประมาณ 15 นาทีต่อวัน แต่มันก็ยากนะคะ สมองคอยจะว๊อกแว็กตลอดเลย
ปล1. เม้นท์ที่แล้วโดนแบนอ่ะค่ะ ไม่รู้ทำไม ไม่แน่ใจว่าเขียนอะไรผิดไปหรือเปล่า จะเล่นเกมซะหน่อย อุปสรรคเยอะจริง 555+
ปล.2 ใช่ค่ะเกดคือ เกด หทัย ในเฟสบุ๊คคร้า