กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
<<
ธันวาคม 2566
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
6 ธันวาคม 2566
คอร์สโกก้า วันที่ 1-9
คอร์สโกก้า วันที่ 10
ทำกรรมฐานแล้วหูแว่วแก้ยังไงดีคะ
ระวัง
ปฏิบัติธรรมเองที่บ้านตปท. เจอปรากฏการณ์ทางจิตแปลกๆ
โอ้ชีวิต
คน VS ธรรมะ
การนั่งสมาธิ/ความคิดของเรา
รายต่อไป
ปฏิบัติโยงศัพท์ทางธรรม
สาระ 1000 ปัญหา
อ่านแล้วรู้สึก VS เข้าถึงแล้วรู้สึก
กัดฟันสู้ VS สู้อย่างรู้เข้าใจ
พื้นๆ
๒ แนวปฏิบัติ สมถะ กับ วิปัสสนา
บริกรรมพุทโธเหมาะเริ่มต้น
ทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของชีวิต
อาการแบบนี้ที่เกิดขณะนั่งสมาธิคืออะไร
การทำสมาธินานๆ แล้วเห็นแสงมีจริงหรือครับ
นั่งสมาธิตัวสั่นโยกอย่างเร็วแล้วหยุด.
ครั้งแรกในชีวิตกับการภาวนา
ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว ไปต่อไม่ได้
ขึ้นกับอุปนิสัยแต่ละคนด้วย
ถึงเป็นแฟนก็ทำแทนกันไม่ได้
จุดตายโกก้า
ความหมาย วิปัสสนา
คอร์สโกก้า วันที่ 1-9
คอร์สโกก้า วันที่ 10
ปล่อยวางความแค้นในอดีต ได้ยังไง
รู้สึกว่าเห็นสิ่งที่ไม่ใช่คน ตอนทำสมาธิ
มือ ลูกกะตา ปาก ขา ทั้งร่างกาย เคลื่อนไหวเอง
กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
วิธีแผ่เมตตาจิต
สงสัยอาการตอนนั่งสมาธิ
จิตเดินทาง
สภาวะเกิดแล้วกลัว
นั่งสมาธิแล้วเหมือนโดนไฟช็อต
นั่งสมาธิจงกรมแล้วอารมณ์ยังเหวี่ยงง่าย
เป็นกิเลส ไม่ใช่ฤทธิ์
จิต
สภาวะของมัน
เจตนา เป็นตัวกรรม
ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ
วิปัสสนูปกิเลส
ฝึกเป็นอริยบุคคล
หลักพระอรหันต์แท้ๆ
มีเสียงพูดเสียงสอน
ออกจากสมาธิแล้วคิดอะไรไม่ออก
จิตก็ต้องมีอาหารกิน
ถูกนักมายากลหลอก
สภาวะปีติ
ประสบไตรลักษณ์อย่างไม่รู้เท่าทัน กลับทำให้เกิดทุกข์
สภาวะทางกาย
นี่ใช้พุท-โธ
ใช้สอบอารมณ์ตนเองได้
ถูกทางแต่ยังไม่สุดทาง
กำลังเดินทาง
ปักธง
ติดสุข
สวดมนต์ เจอกิเลสมาร
ปฎิบัติธรรมเอง แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะอะไร
มิจฉาปฏิปทา
ไม่ใช่ทาง
ธัมมุทธัจจ์
สภาวะที่เกิดจากการนั่งสมาธิ
เหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นไปตามขา
คิดฟุ้งซ่านมาก ตอนนั่งสมาธิ แก้ไขอย่างไร
อาการของปีติ ๕
พอจิตเริ่มๆมีสมาธิ เอาล่ะทีนี้
แทนที่จะดี กลายเป็นเสียงของ
ต่อจากวิปัสสะนึก
วิปัสสะนึก ไม่ใช่วิปัสสนา
อารมณ์สมถะ - วิปัสสนา
ลมหายใจหาย ไปไม่เป็น
นั่ ง ส ม า ธิ แ ล้ ว เหมือนมีแมลงไต่
รู้ตามที่มันเป็น
วิธีล้างเจ้ากรรมนายเวรออก
วิบเดียว
จิต เกิด-ดับรวดเร็ว วิบ วิบ
ปฏิบัติเพื่อให้รู้เข้าใจชีวิต
ธรรมะไม่ถูกใจคน
ขอถามเกี่ยวกับการนั่งสมาธิค่ะ
ธัมมะธัมโมโฮ่กันอยู่ได้
ปฏิบัติแบบนี้ก็พอได้
กำหนดเพื่อให้รู้เห็นชัด
นั่งสมาธิได้ยินเสียงคนพูด
ตัวอย่างเทียบ กท. ล่าง
เรื่องสมาธิ
ขณะโทสะเกิดคนไม่รู้ ดับแล้วจึงรู้
นั่งสมาธิ-สวดมนต์ ได้ยินเสียงนั่นนี่โน่น
ความหมาย อานะ+อาปานะ+สติ
อ่านเข้าใจแล้วต้องไปปฏิบัติ
ถามทำเอาเขิล
ตามดูรู้ทันไม่บรรลัย
ทำ = ภาวนา. ภาวนา=ทำ. ทำ=ปฏิบัติ,ปฏิปทา
ไม่ต้องตามหา เดี๋ยวมาเอง
พอจิตสงบๆหน่อยจะเห็นนั่น ได้ยินนี่
นั่งสมาธิ กับ บารมี ๑๐
เห็นการเกิด-ดับ
ผู้ปฏิบัติแท้จะไม่หวั่นนิมิตใดๆ ทั้งทางกาย ทางใจ
อารมณ์ที่เกิดจากจิตซึ่งเป็นสมาธิแล้ว
เห็นสัจธรรมแล้วทุกข์จะคลายโดยอัตโนมัติ
หากต้องการเข้าถึงความจริง มนุษย์ต้องเข้าใจตัวเขาเอง
ขณะจิตที่บรรลุมรรคผล
ถึงอารมณ์เบื่อทุกอย่าง
ชอบถามธรรมะระดับแก่นกัน
นั่งสมาธิแล้วตัวหาย
มีใครนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน เป็นบ้าบ้าง
จิตร้องเพลง มีเสียงพูดเสียงสอน
ถามเกี่ยวกับสภาวะจากนั่งสมาธิ
กิเลสต้องเห็นชัดด้วยปัญญา
เขาใช้ พอง-ยุบ
ประสบการณ์ชีวิตเยอะ ธรรมารมณ์ก็เยอะ
สมาธิล้ำองค์ธรรมอื่น
อย่าฝืน อย่าต้านสภาวธรรม
ทำสมาธิแล้วเกิดสภาวะทางกาย
ผู้ปฏิบัติดู Blog นี้แล้ว ดู Blog ภาคปฏิบัติด้วย
ทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงสวดมนต์
นี่เขาใช้ หนอ
ไม่ใช้คำภาวนาใดๆ
คำภาวนาใดๆ ไม่ใช่สาระ
ดูลมเข้า-ออก
แยก สมมุติ กับ สภาวธรรม ให้ชัด
เขาใช้พุทโธ
สภาวธรรม หมายถึง
คอร์สโกก้า วันที่ 10
ต่อ จบคอร์สเขา 10 วัน
จนกระทั้งถึงเช้า
วันที่
10
วันสุดท้ายของหลักสูตร
ร่างกายฉันแย่ถึงขีดสุด แต่ก็ทุเลาจากเมื่อคืน
ปวดหัว
เหลือแค่ตรงท้ายทอย
หัวใจเต้นเร็วจนมือสั่น มีอาการไอเพราะรู้สึกถึงแรงดันจากด้านบนช่องอก
(ตอนนี้ระลึกออกแล้วว่าแท่งเย็นๆที่ไหลมาบรรจุที่ช่องอกตลอดวันที่ 9 มันมาทำหน้าที่อะไร)
กินไม่ได้ อ้วก
ทุกสิ่งออกมา เท้าน่าจะบวมร่วมด้วย (หลังจากจบหลักสูตร 4 วันเพิ่งมาสังเกตเท้าเพราะมันมีตะคริวตลอดเวลา ถึงรู้ว่ามันบวมหน่อยๆ) อาการนี้มาสืบค้นทีหลังคล้ายภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน
ฉันลงชื่อเข้าพบ
อาจารย์
ช่วงประมาณเที่ยง เล่าอาการให้ฟังตั้งแต่คืนวันที่ 7
อาจารย์
บอกว่าฉันใช้
ตา
เคลื่อนไปเวลากำหนดจิต
“เธอไม่ไปแค่จิต เธอใช้ลูกตาไปด้วย ตาดำเธอเคลื่อนไปทุกที่” เพื่อความแน่ใจฉันเลยถามเพิ่ม โดยแจ้งไปว่า หนูเคยลองจ้องไปที่ต้นไม้ และกำหนดจิตไปที่ขาก็สัมผัสถึงขาได้ โดยตาก็ไม่เคลื่อนตามนะคะ
ท่านว่า "ตอนเธอลืมตาเธอมีสติ แต่พอหลับตาเธอไม่รู้ตัว"
และเนื่องจาก
อาการป่วย
ในแต่ละคืนไม่เหมือนกัน (มันเพิ่มระดับ) ฉันจึงอยากอธิบายอาการให้ชัดเจนขึ้น ถึงคืนวันที่ 9 ล่าสุด
อาจารย์
บอก “พอๆ จะยังไงก็เหมือนกัน คือเธอใช้ตา เธอต้องยอมรับ”
ฉันยอมรับได้ มันไม่ใช่สิ่งน่าอาย ฉันแค่อยากอธิบายหากมันอันตรายฉันจะได้รับการรักษา แต่ท่านค่อนข้างไม่ชอบฟังแล้วค่ะ เริ่มแรกถูกตำหนิ
ว่าไม่วางอุเบกขา
ฉันจึงแจ้งไปว่า
วางค่ำถึงเช้าก็ไม่หาย
ท่านจึงเงียบไป ฉันแจ้งท่านว่า ตอนนี้
หัวใจเต้นแรงมากจนมือสั่น
คิดกำหนดหรือไม่คิด เช่น คิดถึงผ้าห่ม แล้วผ้าห่มมันวางที่เท้า
คิดแค่นี้เท้าก็เต้นตุบๆ จนหัวใจเต้นรัวตาม
ท่านตอบมาว่า
“ก็เธอไป
ผูกจิต
มันไว้ทุกส่วนแล้วนิ แค่รู้สึกปวดตรงนี้ (ท่านเอามือจับให้ดูจมูกบนระหว่างตา) เธอควรจะลืมตาได้แล้ว เธอใช้ตากรอกไปมาแล้วยังไม่ยอมรับ” อ่อเป็นเช่นนี้เอง ฉันไม่เคยรู้มาก่อน เลยตอบว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ฉันเคย
รายงานอาจารย์ครั้งหนึ่ง
ว่า
มีเม็ดตุบ ตุบ ที่ด้านล่างคิ้ว
ท่านก็เตือนให้ระวังว่า
ตา
กรอกไปด้วย หรือเปล่าถ้ากรอกมันจะปวดที่กระบอกตา ฉันเลยบอก
ไม่รู้สึกเจ็บกระบอกตา
ท่านเลยว่า
งั้นเธอก็ไม่ได้ใช้ตา
แถมฉันยังไปทดสอบด้วยการ
ลืมตาทำสมาธิ
แล้วก็สัมผัสถึงส่วนอื่นได้เช่นเดิม เหมือนกรรมมันบังตานะฉันมองข้ามเรื่องนี้ไป
แล้วฉันก็ยกมือไหว้ลา
วันที่ 10 เปิดวาจาได้
ฉันแจ้ง
พี่ที่ทำหน้าที่
บริการถึงอาการแต่ไม่ได้ลงรายละเอียดนักเพราะเหนื่อยมากๆ ขออนุญาตไม่เข้าร่วมช่วงเย็นที่นั่งสมาธิ แต่
พี่บอกลองอดทนหน่อยมันเป็นชั่วโมงแผ่เมตตาเผื่อเราแผ่ให้เจ้ากรรมนายเวร
อาจดีขึ้น ฉันเลยรับปากไป แล้วก็บอกเพื่อนข้างห้องด้วยเผื่ออาการไม่ดี
แล้วฉันก็เข้าร่วมชั่วโมงปฎิบัติต่อครั้งสุดท้าย โดยคิดว่า
พรุ่งนี้เช้าก็จะได้กลับบ้านแล้ว
นั่งสมาธิแผ่เมตตาจนจบ ได้โดย
วิธีเคลื่อนไหวอิริยาบถเล็กๆ
เช่น
ขยับท่านั่ง เคาะนิ้ว เกาโน้นนี้ เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ไม่ให้เกิดสมาธิได้
เวลานั่งในห้องปฎิบัติรวมฉันมีผ้าคลุมคนอื่นอาจไม่สังเกตเห็น มีเพียงเพื่อนข้างห้องที่ฉันบอกอาการไว้ที่สังเกตได้ว่าฉันเปลี่ยนท่านั่งบ่อยนั่นแระค่ะ หลังจากนั้นก็ชั่วโมงสุดท้ายนั่งฟังวีดีโอ ซึ่งฉัน
ไม่สามารถทนได้
ต้องวิ่งกลับห้องไป
อ้วก
และก็
ถูกตามกลับมานั่งอีก
ค่ะ จนครั้งที่สองคือ
ส่งสัญญาณไม่ไหว
พี่ที่ทำหน้าที่บริการเขารับรู้แล้วไม่ตามอีก
และค่ำคืนวันที่สุดท้ายก็มาถึง จากการรู้สาเหตุของทุกข์ รู้ความทุกข์ วิเคราะห์หาทางแก้ไขทั้งวัน ในที่สุดฉันหา
วิธีพ้นทางทุกข์
นี้ได้โดยวิธีนี้ค่ะ
เมื่อปวดหัว หรือ ทุกข์ทรมาณทางกาย
อย่างหนัก
การคิดปรุงแต่งเรื่องต่างๆ
ย่อมทำได้ยากมาก ความคิดที่สามารถคงอยู่ได้ มันค่อนข้างเป็นอะไรที่เป็นแก่นแท้จริงๆ เช่น ฉัน
คิดถึงหน้าพ่อ
และคำอวยพรตอนมาส่งฉันค่ะ น้ำตานี้ไหลเลย
คิดถึงหมาตอนที่ลูบขนมัน
ความคิดนี้ค่อยจะทุเลาอาการได้นานหน่อย
และ
วิธีที่จะหลับ
ลงได้ล่ะทำยังไง ฉันค้นพ้น
วิธีการจากการหาจุดในร่างกาย
ที่อยู่ได้ ที่ไม่ได้ไปฝึกจับสติไว้ นั่นคือ ภายใน
ช่องปาก
ฉันต้องหายใจเข้านิดเดียวผ่านจมูกไม่เกิน 2 วิ และปล่อยออกเบา ๆ ทางปากนิดเดียว ท่าหายใจออกนี้พิเศษเมื่อจมูกหายใจเข้าลิ้นจะแตะเพดาน
เมื่อหายใจออกลิ้นจะตกมาด้านล่างปาก เหมือนการเดาะลิ้นเกิดเสียง เตาะ เตาะ ตลอดเวลาแต่นั้นคือท่าที่สบายที่สุด เมื่อทั้งร่างกายมันอนุญาตให้ฉันอยู่สบายแค่ท่านี้
ตอนนั้นสงสัยมากทำไมลิ้นขึ้นไปแตะเพดานปากตกลงมาและขึ้นไปแตะใหม่ได้เองอัตโนมัติ ภายหลังจึงรู้จากการสังเกตว่าเพราะกล้ามเนื้อรอบปากฉันบีบและคลายตัวมากกว่าปกติท่าเดาะลิ้นนั้นจึงเป็นอัตโนมัติได้ เพียงเผยอริมฝีปากไว้หน่อยๆ และทำซ้ำแค่ท่านี้เท่านั้นหัวใจจึงค่อยเต้นช้าลง เป็นท่าหายใจที่แปลกที่ไม่เคยทำมาก่อน
อ่อ กล้ามเนื้อเคยบีบจนปากยื่นมาข้างหน้าด้วยนะ ตอนนั้นลองนั่งสมาธิแล้วสัมผัสได้ถึงการบีบจึงทดสอบจับปากดูแล้วมันก็เป็นทางกายภาพจริงๆ
การหายใจออกจากปากเป็นการระบายแรงดันจากช่องอกได้เป็นอย่างดี ถ้าปล่อยให้ไอมันจะร้าวไปทั้งหัว แล้วก็เป็นวงจรหัวใจเต้นรัวตามมา ดังนั้น ฉันต้องอยู่ในท่าหายใจนี้จนถึงเช้า ซึ่งโชคดีที่มันเป็นลักษณะอัตโนมัติได้ แค่ควบคุมมันครั้งแรกๆ
นี่ล่ะค่ะ กรรมของฉัน กรรมที่เกิดจากการกระทำที่ไม่รู้ และยังทำมันซ้ำๆ รวมวันละ 9-10 ชั่วโมง ยาวนาน 6 วัน จนเกิดเป็นผลกรรมที่ต้องชดใช้
อ่อแล้วก็การมีสมาธิมันหลั่งสารแห่งความสุขออกมาช่วยระงับความเจ็บปวดได้ดีจริงๆ ฉันถึงมีอาการแค่ก่อนนอนในช่วงแรกๆเท่านั้น ยกเว้นวันที่ 10 ที่ฉันไม่ทำสมาธิแล้วจึงมีอาการทั้งวัน
ฉันอยากฝากนะคะ ไม่ใช่ทุกคนจะมี
อาการทางตา
แบบนี้ แต่หากใครมีอาการปวดร้าวกระบอกตา ตุบๆที่ตรงคิ้ว หรือรู้สึกร่างกายไม่โอเค บางทีเราต้องสมดุลทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางความคิดเรื่องกรรมเก่าบันดาลให้ดี
และในการไปปฎิบัติธรรม พวกเรามักจะต้องฝากของมีค่า และอยู่ในที่ๆไม่คุ้นชิน การตัดสินใจทำอะไรก็อาจไม่สะดวกเหมือนการอยู่ที่บ้าน ฉันอยากฝากสถานปฏิบัติธรรมให้ใส่ใจอาการแปลกๆของผู้ปฏิบัติมากขึ้น บางทีมันก็ร้ายแรง อย่างฉันเองก็เพิ่งกลับมากูเกิลดู ถึงรู้ว่ามีอาการใกล้เคียง
ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน จากความเจ็บปวด
ตอน
รายงานความผิดปกติให้อาจารย์ฟัง
หลังจากนั้นท่านก็ไม่ได้มาถามไถ่ใดๆ
ยาแก้ปวดก็ถูกห้ามใช้ ไม่สามารถขอเบิกได้
ตอนนั้นฉันเหนื่อยทั้งกาย และใจ ได้แต่อดทนเพื่อวันพรุ่งนี้
ก็จะเป็นอิสระ
โชคดีที่หาวิธีประคองร่างกาย
ให้ผ่านพ้นคืนสุดท้ายมาได้ค่ะ.
https://pantip.com/topic/41864658
(คคห. ข้างล่างถาม/ตอบกับผู้ร่วมสนทนา)
คคห.5-1
ขอบคุณที่เข้าใจนะคะ เราคิดว่าความไม่รู้ก็คือไม่รู้จริงๆ ตอนรายงานผลปฎิบัติ อ.ก็ว่านั้นคือเวทนาละเอียด ให้ดูต่อไป เพื่อสัมผัสอะไรได้มากขึ้น ตอนทำวิปัสสนาก็เข้าใจว่าตัวเองสบายๆ ไม่เพ่ง แต่การนั่งซ้ำวนๆ 9 ชั่วโมง + ความไม่รู้ตัวว่าลูกตาเคลื่อนเพราะวิธีปฎิบัติคือห้ามหยุดที่ใดที่หนึ่ง เคลื่อนไปเรื่อยๆ จิต,ความคิด เราเลยย้ายที่ไปเรื่อย
แสงสีขาวนั้นคือลูกตาเรามันพยายามมองแสงเลยเกิดตามหลักการทำงานของระบบประสาทตาหรืออาจเพราะกำลังสมาธิ (เรื่องนี้ไม่ค่อยมีความรู้ขอวางอุเบกขาไว้ก่อนนะคะ)
คคห. 6-1
ตอนหาวิธีออกจากความเจ็บ เพิ่งรู้ตัวเลยค่ะ จิตกับกายดิฉันไม่แยกจากกัน อาจเพราะวิธีฝึกจิตที่เอาฐานไว้ที่กายแบบคอยเอาจิตตามดูกายด้วยมั้งคะ
ยังไงจะศึกษาเรื่องการฝึกแยกกายและจิตนะคะ ตอนเจ็บมากก็คิดอยากแยกจิตออกจากฐานกาย แต่พบว่าทำไม่ได้
ทำได้แค่คิดจินตนาการเรื่องราวไปเรื่อยๆ
แต่สักพักเหมือนมันกลับมาที่ฐานกาย (เพราะไปเทรนสมาธิให้จับที่กายไว้) มือใหม่น่ะค่ะ หวังแค่ไปทำสมาธิให้สงบแค่นั้นเอง
คคห. 6-3
สิ่งที่ทำสติ ไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงจิต (ที่ไม่คงที่) ที่ดูความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ของกาย เวทนา จิต ธรรม เท่านั้น ครับ
จิต จ้องเข้าใจว่า จิตเป็นตัวรู้ แล้ว รู้ว่าเห็นการเปลี่ยนแปลงำของร่างกาย หรือ การเปลี่ยนแปลงไป ของความรู้สึก
สติของเธอตั้งมั่นที่กาย กายมีอยู่ ก็เพียงสักแต่รู้ เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
...
.................................
เหมือนที่คุณแนะนำดิฉันยังไม่เข้าใจ จะค้นคว้า และใครครวญดูเพิ่มค่ะ (อย่างคุณกล่าวต้องเป็นผู้ปฏิบัติจนภูมิธรรมสูงถึงเอาความเป็นตัวเราออกไปได้ไหมคะ สักแต่รู้ ดิฉันอยู่ชั้นอนุบาลมันคิดยังไม่ค่อยออกจริงๆ) จิตดูการเปลี่ยนแปลงกายป่วย ดูแล้วมันเจ็บ มันเครียด หัวใจเต้นรัว จะไม่ดูสักแต่รู้ แต่มันก็มากระตุ้นให้ดูอย่างรุนแรง
..................................
ไม่ใช่ เอาจิตไปผูกกับความรู้สึกว่า ความรู้สึกเป็นของเรา ไม่ใช่ความรู้สึกเป็นตัวเรา
..................................
งั้นเปลี่ยนฝึกดูจิตจะปลอดภัยกว่ามั้ยค่ะ จิตไหลไปคิดก็รู้ โกรธ เบื่อ รู้ แล้ววาง อันนี้พอทำได้ค่ะ (ตอนนี้
ดูกายไม่ได้แล้วมันหลอนไปหมด
)
คคห. 7-2
จขกท. อุสาไม่เอ่ยชื่อกลัวว่าไปกระทบเขา 😆 วิธีปฎิบัติก็ดีนะคะ ฟังแล้วมีเหตุ และผลรองรับ รีวิวคนไปมาก็มีแต่ดีดี ย้อนกลับไปคิด เราอยากให้ทางคอร์สแนะนำหน่อยให้ระวัง คุณอยากเอาตากำหนดไปด้วย เพราะชั่วโมงปฏิบัติหนักมาก หากร่างกายทำผิดก็คือ
ทุกข์ทรมาน
แบบนี้เลยค่ะ
คคห. 8-1
ไม่ได้สนใจอะไรมากค่ะ เพราะสนไปก็ไม่รู้จะทำอะไรได้ในตอนนั้น
แต่ส่วน
แสง
ที่เล่า คือตอนที่มันแสดงผลของความเจ็บปวดให้เห็นค่ะ เช่น แสงที่ตารูปทรงกรวย บีบเข้า ออก (ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร ก็เฝ้ามองอย่างไม่รู้) ตอนนี้รู้ละมันคืออาการกล้ามเนื้อรอบดวงตาหด คลาย
ลองอ่านที่เราเขียนดูดีๆนะคะ
แสงที่เราเห็นค่อนข้างเชื่อว่ามันเป็นการทำงานของระบบประสาทตาที่จะพยายามรวบรวมแสงในที่มืด เพื่อแปลผลเป็นภาพออกมาตามปกติที่มันเคยทำ เพราะระบบประสาทตีความว่าต้องมองเห็น
คคห. 10-1
ศัพท์ไม่รู้จักเเทบทุกคำ ต้องไปกูเกิลเพิ่มก่อนค่ะ เพี้ยนขำหนักมาก
ผิดที่ร่างกายไม่เหมาะมั้งค่ะ ลูกตากรอกไปด้วยเพราะชินกับการใช้กายนี้ทำทุกอย่าง จากหัว > ไปเท้า > ไปหลังด้วย ลูกตามันกรอกตามเพราะระบบสมองคงตีความว่าต้องเพ่งดู เธอกำลังดู
พอร่างกายป่วย หากปกติที่ไม่เคยฝึกผูกเงื่อนไขกันไว้ก็จะปวดแค่ที่จุดนั้น ไม่ลามไปที่อื่น
แต่ด้วยการ
ฝึกดูกาย
อย่างละเอียด ซึ่งเป็นการสอน
วิปัสสนา
(เขาให้ดู
กาย
จน
สัมผัสถึงเวทนา
ละเอียด)
ดูจนพบจุดเชื่อมโยง
นึง คือ
สัมผัสได้ถึงชีพจร ตุบ ตุบ ที่มีอยู่แล้วในร่างกาย
และนี้คือการเริ่ม
ผูกเงื่อนไข
ระหว่างทำ
วิปัสสนา
ตามที่ถูกสอนมา ร่างกาย และจิตใจเรา เริ่มมีพฤติกรรมการเรียนรู้แบบมีเงื่อนไข ทางจิตวิทยาดังนี้ค่ะ
1. ตากรอก (สาเหตุความเจ็บปวด = สิ่งเร้าที่แท้จริง ) +
2. มีสมาธิ (ระหว่างวิปัสสนาก็มี
สมาธิ
ในกาย = สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง) +
3.
เคลื่อนจิตแบบไล่ไปเรื่อยๆ ทั้งร่างไม่พัก หากเจอเวทนาละเอียดเคลื่อนต่อ
หากไม่พบกลับมาดูใหม่ได้ 1-2-3 นาที
ดูให้รู้อนิจจัง รู้แล้วปล่อยวาง
(
สัมผัสถึง ก้อนชีพจร ตุบ ตุบ
=
สิ่งเร้าที่ไม่แท้จริง
)
แล้วเมื่อร่างกายปวดถึงขีดสุด สมองแค่เจอสิ่งเร้าที่ไม่แท้จริงสักข้อระบบประสาทอัตโนมัติก็พร้อมทำหน้าที่ค่ะ หัวใจ ชีพจร กล้ามเนื้อ + กับผู้ปฎิบัติใหม่ที่ไม่เคยเจอความอันตรายแบบนี้มาก่อน ก็ได้แต่แก้ไขตามที่ถูกสอน
ดูให้รู้แล้ววางอุเบกขา
ทั้งวี่ทั้งวันก็ดูแค่กาย
จะคิดออกจากฐานกายในจุดนั้นก็ทำได้ยากมากๆๆ
ลองทำทุกทางเท่าที่ปัญญาจะคิดออกแล้ว เหลือแค่อยากไป รพ.ขอยาสลบ เพี้ยนเบลอ
[Spoil] คลิกเพื่อ
ซ่อนข้อความ
การ
ฝึกแบบเคลื่อนไม่หยุด
นี้
เมื่อมี
สมาธิที่จุดอื่น
เราแทบ
ไม่รู้สึกปวดที่หัว
แล้ว มีครั้งหนึ่งกำลังไล่เคลื่อนจาก
เท้าสู่หัว
ใกล้หัวเท่านั้นรับรู้เลยว่าปวดมากจนรีบเคลื่อนรีบหนี
ไปส่วนอื่นเลยค่ะ
จากที่เขาสอน
จิตใต้สำนึกสื่อสารกับกายผ่านเวทนา
เวทนาคือกิเลสที่เราสะสมไว้ในทุกภพทุกชาติ มันจะลอยขึ้นมาสู่ร่างกายผ่านเวทนา
เราจึงต้อง
สอนจิตโดยวางอุเบกขา
ให้ได้
จิตก็จะค่อยๆสะอาดขึ้นจากกิเลส
[/spoil
*
เสริม
(
ก่อนสอนวิปัสสนา
ให้ฝึก
อานาปานสติ
ก่อน 3 วันครึ่ง ตอนฝึกมี
สมาธิมาก
ค่ะ จนรู้ว่า ลมหายใจ 2 ข้างจมูก เข้ามากน้อยต่างกัน สลับไปมา โดยดูตามความจริง)
คคห. 15-1
ล่าสุด 14 ก.พ ที่ผ่านมาเริ่มลองนั่ง
สมาธิ
ใหม่จริงจังค่ะ ใช้วิธีที่คุณวงกลมแนะนำ เป็น
ผู้ดู กายก็ไม่ใช่เรา ความรู้สึกก็ไม่ใช่
เริ่มทำอานาปานสติ
ตอนนั้น
ตา
ก็เหมือน
เต้นตุบๆ
นะคะ (ไอ้ตัว
ชีพจร
นี้พอลองสัมผัสได้ครั้งหนึ่งอย่างรุนแรง เหมือนขยันเต้นให้ดู 55) ซึ่งก็แค่รู้และพิจารณาว่า
กาย
ก็ทำหน้าที่ของมัน ดูลมหายใจเข้า-ออก มีความรู้สึกกลัวหน่อยๆ ก็รู้จิตมันกลัว พอรู้ ความกลัวก็ดับ ก็สงบอยู่กับลมหายใจ
คราวนี้นั่งได้นานสุด
เกือบ
2
ชั่วโมงครึ่ง
ดูเวลาตกใจเลยค่ะ ไม่น่าปวดขาเปลี่ยนท่านั่งไป 3 รอบ
ต่อที่จุดตาย
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=08-12-2023&group=5&gblog=102
Create Date : 06 ธันวาคม 2566
Last Update : 11 ธันวาคม 2566 7:14:26 น.
0 comments
Counter : 88 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com