 |
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
 |
 |
|
|
 |
 |
|
- อุทกดาบส-อาฬารดาบส บรรลุญานเป็นมิจฉาสมาธิ
- นี่ก็พุทโธ
- นั่งสมาธิไปสักพักหายใจไม่ออก
- นั่งสมาธิแล้วเห็นคนเห็นพระมาคุยด้วย
- นั่งสมาธิแล้วหายใจไม่ออก
- เรียนรู้จากประสบการณ์
- อาการแบบนี้นี้ที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิคืออะไรคะ
- นั่งสมาธิตัวสั่นโยกอย่างเร็วแล้วหยุด
- ดวงตาเห็นธรรม คืออะไรสำคัญสำหรับชีวิตคนเราไหมคับ ?
- อวิชชา, วิชชา
- ใช้สอบอารมณ์ตนเอง
- อยากฟังประสบการณ์คนนั่งสมาธิค่ะ
- อันตรายที่ซ่อนอยู่ ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงละได้
- นั่งสมาธิแล้วตัวหด
- ง่วงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ผ่านไปไม่ได้
- นั่งก็นั่ง สมาธิก็สมาธิ
- บีบกด VS เป็นไปเอง
- ฌาน
- ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๒
- ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๑
- ใกล้ตายจิตสงบง่าย
- สมถะวิปัสสนายาใจยามเจ็บ
- นั่งสมาธิวันละ 40 นาที 4 เดือนแล้วไม่เกิดอะไรเลย
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจหายทำไงต่อ
- ภาวนาพุท/โธ โดยไม่ดูลมหายใจได้ไหมคะ ?
- อวิชชา คือความไม่รู้ตามความเป็นจริง
- เมื่อทุกข์ ค้นหาเหตุ กำจัดเหตุ ทุกข์ดับ
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกกลัวเหมือนกำลังจะตาย
- ถึงนิมิตแล้วจะผ่านไปได้อย่างไร ,
- ภาวนาตัวสั่น ตัวหาย
- คนที่เริ่มภาวนา เคยพบบางสิ่งกันไหม มีวิธีออกจากสิ่งเหล่านั้นอย่างไร?
- สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
- ธรรมสากัจฉาเรื่อง "โอภาส" แสงสว่าง
- อาจารย์สำนักหนึ่งแนะนำ วิ ธี บ ร ร ลุ ธ ร ร ม
- ทำกรรมฐานแล้วหูแว่วแก้ยังไงดีคะ
- เหตุใด ผู้ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน หลายคนจึงนิมิตเห็นหลวงปู่มั่น ?
- นั่งสมาธิเกิดปรากฏการณ์ทางจิตแปลกๆ ,
- ภาวะที่เป็นอวิชชา ก็คือการไม่มองเห็นไตรลักษณ์
- นั่งสมาธิเหมือนมีอะไรกดดันที่คอจนได้เลิกนั่ง
- การนั่งสมาธิกับความคิด ,
- พูดปฏิบัติแบบโยงศัพท์ทางธรรม
- นั่งสมาธิมีเสียงในหัวหยุดความคิดไม่ได้
- อ่านแล้วรู้สึก VS เข้าถึงแล้วรู้สึก
- กัดฟันสู้ VS สู้อย่างรู้เข้าใจ
- เห็นนั่นนี่โน่น พื้นๆ
- ๒ แนวปฏิบัติ สมถะ กับ วิปัสสนา
- กำหนดพุทโธพร้อมลมหายใจ หายใจเร็วและถี่ ควรแก้ไขอย่างไรครับ
- ทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของชีวิต
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจสั้นแผ่วหาย
- ทำสมาธินานๆ แล้วเห็นแสงมีจริงหรือครับ
- นั่งสมาธิตัวสั่นโยกเร็วแล้วหยุด ,
- มหัศจรรย์ ครั้งแรกในชีวิตกับการภาวนา
- ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว
- การนั่งสมาธิที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร
- ญ รัก ช.มักต้องการให้เขาเป็นคนดี แต่ ช. รัก ญ มักตามใจจนเสียคน
- จุดตายโกก้า
- ความหมาย วิปัสสนา
- ???
- ปล่อยวางความแค้นในอดีต ได้ยังไง
- นั่งสมาธิเห็นสิ่งที่ไม่ใช่คน
- มือไม้ ลูกกะตา ปาก ขา ทั้งร่างกาย เคลื่อนไหวเอง
- ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ
- วิธีแผ่เมตตาจิต
- อยากหยุดความรู้สึกที่ไม่ดี
- จิตจะพัฒนาไปเรื่อย
- นั่งสมาธิแล้วเกิดนั่นนี่โน่น กลัวค่ะ ,
- นั่งสมาธิแล้วเหมือนโดนไฟช็อต
- นั่งสมาธิจงกรมแล้วอารมณ์ยังเหวี่ยงง่าย
- เป็นวิปัสสนูปกิเลส
- นั่งสมาธิแล้วเหมือนมีแมลงไต่
- นั่งสมาธิแล้วภาพ สัตว์ แมลงลอยให้เห็น ,
- ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ ,
- วิปัสสนูปกิเลส
- ฝึกเป็นอริยบุคคล ,
- หลักพระอรหันต์แท้
- นั่งสมาธิมีเสียงพูดเสียงสอน
- ออกจากสมาธิแล้วคิดอะไรไม่ออก
- จิตส่งเสียงคล้ายคนสวดมนต์
- จิตบอกให้หยุดหายใจ ,
- สภาวะปีติ ๕
- ประสบไตรลักษณ์อย่างไม่รู้เท่าทัน ,
- นั่งสมาธิแล้วร่างกายสั่นจริง
- นี่ใช้พุท-โธเป็นไง ดู
- หลักสอบอารมณ์ตนเอง
- ลมหายใจหาย
- ภาวนาแล้วรู้สึกกายใจสกปรก
- ธงชัยพระอริยบุคคล
- นั่งสมาธิแล้วมีความสุขมาก
- สวดมนต์ เจอกิเลสมารคิดชั่วร้ายกับครูอาจารย์
- ปฎิบัติธรรมเอง แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะอะไรหรอคะ ?
- มิจฉาปฏิปทา
- นั่งสมาธิแล้วร่างกายคล้ายๆมวลสาร สารพัด
- ธัมมุทธัจจ์ ๑๐
- ถามสภาวะที่เกิดจากนั่งสมาธิ
- นั่งสมาธิแล้วเหมือนประจุไฟฟ้าแล่นไปแล่นมา
- นั่งสมาธิฟุ้งซ่านมากแก้ไขอย่างไรดีคะ
- กลัวการนั่งสมาธิค่ะ
- มีปัญหาในการนั่งสมาธิค่ะ กลัวมาก
- ไปปฏิบัติธรรมแล้วสามีมีอาการเหมือนคนบ้า
- วิปัสสะนึก ต่อ
- วิปัสสะนึก
- อารมณ์สมถะ - วิปัสสนา ,
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจหาย ต้องทำไงต่อ
- นั่ ง ส ม า ธิ แล้วเหมือนมีแมลงไต่
- นั่งสมาธิแล้วหยุดหายใจ
- วิธีล้างเจ้ากรรมนายเวรออก
- วิบเดียว มีตัวอย่างประกอบ
- จิตเกิด-ดับรวดเร็ว มีตัวอย่างประกอบ
- นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการชาๆตึงๆ
- ธรรมะไม่ถูกใจคน ,
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกมีลมเย็นพัดผ่านหลัง
- ธัมมะธัมโมโฮ่กันอยู่ได้
- นั่งสมาธิเห็นเป็นคนมาล้อม, กลัว
- กำหนดรู้ตามที่มันเป็นเพื่อให้รู้เห็นชัด ,
- นั่งสมาธิแล้วได้ยินเสียงคนพูด
- ตัวอย่างเทียบ กท. ล่าง ,
- เห็นเทวดาพนมมือรับบุญ
- โทสะกำลังเกิดคนไม่รู้ตัว มันดับไปแล้วจึงรู้
- สวดมนต์นั่งสมาธิ ได้ยินเสียงนั่นนี่โน่น
- รู้จัก อานาปานสติ
- อ่านเข้าใจแล้วต้องไปปฏิบัติ
- ชาวพุทธเข้าใจคำว่าธรรม ว่าหมายถึงอะไรกันบ้างเหรอครับ ,
- ขอคำอธิบาย จากผู้รู้ ว่าการภาวนา การทำสมาธิ มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจชอบหาย
- การปฎิบัติธรรมทำให้เราเห็นโลกอีกมิติ จริงไหมคะ
- นั่งสมาธิ กับ บารมี ๑๐
- ใช้คำว่า ดับไม่กลับมาอีกเลย
- ผู้ปฏิบัติแท้จะไม่หวั่นนิมิตใดๆ ทั้งทางกาย ทางใจ ,
- ทำอย่างไร จึงจะทำให้จิตนิ่งและแข็งขึ้นดีคะ
- เห็นสัจธรรมแล้วทุกข์คลายเอง
- หากต้องการเข้าถึงความจริง มนุษย์ต้องเข้าใจตัวเขาเอง ,
- ขณะจิตบรรลุมรรคผล
- นั่งสมาธิแล้ว เ บื่ อ ทุกอย่าง
- ชอบถามธรรมะระดับแก่น
- นั่งสมาธิแล้วหายไปทั้งตัว
- มีใครนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน เป็นบ้าบ้างคะ ?
- นั่งสมาธิได้ยินเสียงสิ่งที่มองไม่เห็น
- นั่งสมาธิตัวหาย กายสั่น
- จะทำยังไงให้ไม่คิดแค้นหรือโกรธใครคะ
- ใช้ พอง-ยุบ เป็นกรรมฐาน
- ประสบการณ์ชีวิตเยอะ ธรรมารมณ์ก็เยอะ
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย
- อย่าฝืน อย่าต้านสภาวธรรม
- นั่งสมาธิเหมือนมีคนจับหน้าบิดไปมา
- ผู้ปฏิบัติดู Blog นี้แล้ว ดู Blog ภาคปฏิบัติด้วย
- ทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงสวดมนต์
- ตัวอย่าง ใช้พองหนอ ยุบหนอ
- ตัวอย่าง ไม่ใช้คำภาวนาใดๆ
- คำภาวนา ไม่ใช่สาระ
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจชอบหาย
- แยก สมมุติ กับ สภาวธรรม ให้ชัด
- ตัวอย่างใช้ พุทโธ
- ความหมาย สภาวธรรม ตัวอย่าง
|
|
 |
|
นั่งสมาธิแล้ว เ บื่ อ ทุกอย่าง |
|
จะว่าถึงญาณหอบเสื่อหอบหมอนกลับบ้านก็ได้ ยังไม่ลงตัว ไปอีก ไปด้วยการกำหนดอารมณ์เบื่อหน่ายนี่แหละ ชีวิต (ขันธ์ ๕) มันมีมันเป็นของมันยังงั้น มันก็เป็นยังงั้น ดูตัวอย่าง
- ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พองหนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมาครับ
>กระผมคิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนดยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเหมือนกับว่าร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ ผมเลยใช้การกำหนดดูจิต ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผมเริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผมยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึกสิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะหนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะเหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกาย ก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้อ่ะครับ
ผมเลย นึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อย ๆๆถอดออกจากสมาธิ แล้วลืมตา ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกายอ่ะครับ ผมกลับมีความรู้สึกอีกอย่าง เข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ เหมือนว่า ร่างกายผมอ่ะครับมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง (ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น) และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวันเหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลยครับ
หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน แต่ทุกๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือนกับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยากเจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเองวัน ๆ อยากนั่งทำสมาธิ เพราะในช่วงที่เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย
ในสิ่งที่ผมถามและอยากรู้นะครับ คือ
1. ผมปฎิบัติผิดตรงไหนหรอเปล่าครับ
2. ถ้าไม่ผิด ผมจะปฎิบัติยังไงต่อครับ
3. สิ่งที่เกิดขึ้นกับผมในขณะนั่นมันคืออะไรกันแนะครับ
วันต่อมา เมื่อวานนี้ ได้นั่งพิจารณาอารมณ์และตามดูจิต ยืน เดิน นั่ง นอน ได้แทบทั้งวัน รู้สึกถึงความเย็น สงบ ใครนินทา กล่าวร้าย ไม่รู้สึกเสียใจอะไรเลย มันนิ่งได้ทั้งวันจริง ๆ
พอตกดึก มาเจริญสติอีกครั้ง คราวนี้ มีอาการเช่นเดิม คือ เหมือนสภาพร่างกายหายไปแบบตอนแรกแต่ ครั้งนี้ เกิดนิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็กๆๆ กลายเป็นลูกใหญ่ แล้วคือเวลาเราหลับตาอ่ะครับ มันจะดำๆๆ ใช่ไหมครับ แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่หลับตาอยู่นั่นเอง และพอกำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไร ได้หมด
ความรู้สึกเบื่อหน่ายเริ่มหายไปแล้ว แต่รู้สึกกายนี้มีแต่ทุกข์ จิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ สิ่งใดๆ ก็ทุกข์ เกิดแล้วดับ วนเวียนไปไม่หมดสิ้น พิจารณาอยู่นานเหมือนกัน ตอนนั่นไม่รู้สึกอะไรแล้ว ลมหายใจขาดหายไป ความรู้สึกรอบตัว อาการเย็น ร้อน อ่อน แข็งรอบ ๆ ตัว หายไป หลังจากกำหนด ลูกแก้ว ให้เล็กจนหายไป ภาพกลับมาเหมือนตอนหลับตาปกติ คราวนี้ เกิดนิมิตใหม่ คือ ได้เห็น ช่วงเวลาตอนบ่าย ตอนเช้า ทุก ๆ ขณะที่กระทำสิ่งใดไปในแต่ล่ะวัน ค่อยๆ ปรากฎเป็นภาพอย่างเห็นได้ชัดเหมือนกับว่า ได้กลับไปอยู่ในสถานการณ์นั่น ๆ อีกครั้งหนึ่ง ได้เห็น สิ่งที่ทำไป ในอดีต ค่อย ๆๆ ผุดขึ้นมาที่ละนิดๆ จนได้รู้สึกถึงตอนวัยรุ่น ตอนเด็ก ๆๆ ได้ทำอะไรลงไปบ้าง บางขณะ ได้ทำอะไรดีดี จิตก็รู้สึกดี ก็ตามพิจารณารู้ว่ารู้สึกดีตลอด บางขณะ ได้ทำอะไรชั่ว ก็ได้ตามพิจารณาว่าทำชั่ว สภาพจิตเหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง รู้ถึงตอนที่ พ่อมาเยี่ยมที่โรงพยาบาล พอถึงตอนนี้ ในความรู้สึกเหมือนน้ำตาไหล ที่เห็นพ่อแม่อยู่ด้วยกัน (ความเป็นจริงไม่อยู่แล้ว) เลยอธิฐานขอออกจากสมาธิ ภาพเหล่านั่นก็หายไป แล้วความรู้สึก ถึงสภาวะรอบตัว และร่างกายกลับมาอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็ออกจากสมาธิครับ
สิ่งที่ผมเห็น ผมคิดไปเองหรือเปล่าครับ หรือว่าผมปฎิบัติอะไรผิดอีกแล้วคราวนี้ ความรู้สึกหลาย ๆ อย่าง ไม่เคยจำได้ แต่เห็นเป็นภาพอย่างชัดแจ้ง เมื่อเช้าได้ถามแม่ ในหลายๆเรื่องที่จำไม่ได้ แต่เห็นในนิมิตนั่น แม่ก็บอกว่าจริงทุกเรื่อง และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตของผมจริง ๆ ช่วยแนะนำการปฎิบัติต่อไป ให้ผู้โง่เขลาในธรรมด้วยครับ ไม่อยากยึดติดกับอะไร ให้เป็นทุกข์อีกต่อไป.
วางตัวอย่าง เทียบให้ดู ประสบการณ์ชีวิตครั้งอดีต ซึ่งยังฝังใจอยู่ (อนุสัย) ผุดขึ้นมารบกวน
- นั่งสมาธิแล้วมีภาพเจ้ากรรมนายเวรลอยมาให้เห็นครับ
>เวลาผมนั่งสมาธิ พอภาวนาไปซักพัก เริ่มตัดภาวนาไปแล้วทีนี้ก็จะเกิดอาการขนลุกเย็นทั้งตัว แล้วหลังจากนั้นก็จะมีภาพ คน สัตว์ แมลง ที่เราเคยทำร้ายเคยทำให้เค้าตาย หรือเจ็บลอยมาให้เห็น คือ แปลกใจว่า บางเรื่องเป็นเรื่องที่นานมากบางเรื่องเป็นเรื่องสมัยเด็กๆอยู่ด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีนึกถึงยังนึกไม่ออกเลย เพราะนานมาก แต่พอมานั่งสมาธิ ก็ลอยมาให้เห็นเฉยเลย
วางวิปัสสนาญาณเทียบให้พิจารณา 
- วิปัสสนาญาณ 9
1. อุทยัพพยานุปัสสนา หรือเรียกสั้นๆว่า อุทยัพพยญาณ ญาณอันตามเห็นความเกิด-ดับ คือ พิจารณาความเกิดขึ้น และความดับไปแห่งเบญจขันธ์ จนเห็นปัจจุบันธรรมที่กำลังเกิดขึ้น และดับสลายไปๆ ชัดเจน เข้าใจภาวะที่เป็นของไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ไม่อยู่ในบังคับบัญชาตามความอยากของใคร หยั่งทราบว่า สิ่งทั้งหลายเกิดขึ้น ครั้นแล้ว ก็ต้องดับไป ล้วนเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปทั้งหมด เมื่อเกิดการรับรู้ หรือเคลื่อนไหวใดๆ ในแต่ละขณะ ก็มองเห็นนามธรรม รูปธรรม และตัวรู้ หรือ ผู้รู้ที่เกิดขึ้น แล้วทั้งรูปธรรม นามธรรม และตัวรู้นั้น ก็ดับไปพร้อมกันทั้งหมด เป็นความรู้เห็นชัดแก่กล้า (พลววิปัสสนา) ทำให้ละนิจจสัญญา สุขสัญญา และอัตตสัญญาได้ 2. ภังคานุปัสสนาญาณ เรียกสั้นๆ ว่า ภังคญาณ ญาณอันตามเห็นความสลาย คือ เมื่อเห็นความเกิด-ดับเช่นนั้น ชัดเจนถี่เข้าๆ ก็จะคำนึงเห็นเด่นชัด ในส่วนความดับที่เป็นจุดจบสิ้น มองเห็นแต่อาการที่สิ่งทั้งหลาย ดับไปๆ เห็นว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ล้วนจะต้องดับสลายไปทั้งหมด 3. ภยตูปัฏฐานญาณ เรียกสั้นว่า ภยญาณ ญาณอันมองเห็นสังขารปรากฏเป็นของน่ากลัว คือ เมื่อพิจารณาเห็นแต่ความแตกสลาย อันมีแก่สิ่งทั้งปวงหมดทุกอย่างเช่นนั้นแล้ว สังขารทั้งปวงไม่ว่าจะเป็นไปในภพใดคติใด ก็ปรากฏเป็นของน่ากลัว เพราะล้วนแต่จะต้องแตกสลายไป ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น
4. อาทีนวานุปัสสนาญาณ เรียกสั้นว่า อาทีนวญาณ ญาณอันคำนึงเห็นโทษ คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวง ล้วนต้องแตกสลายไป เป็นของน่ากลัว ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้นแล้ว ย่อมคำนึงเห็นสังขารทั้งปวงนั้นว่าเป็นโทษ เป็นสิ่งที่มีความบกพร่อง จะต้องระคนอยู่ด้วยทุกข์ 5. นิพพิทานุปัสสนาญาณ เรียกสั้นว่า นิพพิทาญาณ ญาณอันคำนึงเห็นความหน่าย คือ เมื่อพิจารณาเห็นสังขารว่าเป็นโทษเช่นนั้นแล้ว ย่อมเกิดความหน่าย ไม่เพลิดเพลินติดใจ 6. มุญจิตุกัมยตาญาณ ญาณหยั่งรู้ที่ทำให้ต้องการจะพ้นไปเสีย คือ เมื่อหน่ายสังขารทั้งหลายแล้ว ย่อมปรารถนาที่จะพ้นไปเสียจากสังขารเหล่านั้น 7. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ หรือ ปฏิสังขาญาณ ญาณอันพิจารณาทบทวนเพื่อให้เห็นทาง คือ เมื่อต้องการจะพ้นไปเสีย จึงกลับหันไปยกเอาสังขารทั้งหลาย ขึ้นมาพิจารณากำหนดด้วยไตรลักษณ์ เพื่อมองหาอุบายที่จะปลดเปลื้องออกไป 8. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารทั้งหลายต่อไป ย่อมเกิดความรู้เห็นสภาวะของสังขารตามเป็นจริงว่า มันก็เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา หรือเป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง จึงวางใจเป็นกลางทำเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขัดใจติดใจในสังขารทั้งหลาย แต่นั้น ก็มองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงโน้มน้อมที่จะมุ่งแล่นไปยังนิพพาน เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารทั้งหลาย ญาณข้อนี้ จัดเป็นสิขาปปัตตวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่ถึงจุดสุดยอด และเป็นวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่เชื่อมถึงมรรค อันเป็นที่ออกจากสิ่งที่ยึด หรือออกจากสังขาร
9. สัจจานุโลมิกญาณ หรือ อนุโลมญาณ ญาณอันเป็นไปโดยอนุโลมแก่การหยั่งรู้อริยสัจ คือ เมื่อวางใจเป็นกลางต่อสังขารทั้งหลาย ไม่พะวง และญาณก็โน้มน้อมแล่นมุ่งตรงสู่นิพพานแล้ว ญาณอันคล้อยต่อการตรัสรู้อริยสัจ ย่อมเกิดขึ้นในลำดับถัดไป เป็นขั้นสุดท้ายของวิปัสสนาญาณ อนึ่ง พึงทราบว่า วิปัสสนาญาณ 9 นั้น คัมภีร์อภิธัมมัตถสังคหะนับรวม สัมมสนญาณ เข้าในชุดด้วย จึงเป็น วิปัสสนาญาณ 10 (สงฺคห.55)

วางธรรมุทธัจจ์ หรือ วิปัสสนูปกิเลสเทียบไว้อีก ซึ่งมันยังขึ้นๆลงๆอยู่
- วิปัสสนูปกิเลส (เกิดในขณะอุทยัพพญาณอย่างอ่อน - ตรุณวิปัสสนา)
๑. โอภาส แสงสว่าง (ผู้ปฏิบัติจะเห็นแสงสีต่างๆสว่างไสว)
๒. ปีติ ๕ อย่าง (จะเกิดขึ้น) ดังนี้
1. ขุททกาปีติ มีลักษณะดังนี้ 1.1 เยือกเย็น ขนลุกตั้งชันไปทั้งตัว 1.2 ร่างกาย มึน ตึง หนัก 1.3 น้ำตาไหลพราก 1.4 ปรากฏเป็นสีขาวต่างๆ
๒. ขณิกาปีติ มีลักษณะดังนี้ 2.1 เป็นประกายดังฟ้าแลบ 2.2 ร่างกายแข็ง หัวใจสั่น 2.3 แสบร้อนตามเนื้อตามตัว 2.4 คันยุบยิบ เหมือนแมลงไต่ตามตัว
๓. โอกกันติกาปีติ มีลักษณะดังนี้ 3.1 ร่างกายไหวโยก โคลงแคลง บางครั้งสั่นระรัว 3.2 สะบัดหน้า สะบัดมือ สะบัดเท้า 3.3 น้ำลายสอในปาก คลื่นไส้ อาเจียน 3.4 มีอาการคล้ายๆละลอกคลื่นซัด 3.5 ปรากฏมีสีม่วงอ่อน สีเหลืองอ่อน
๔. อุเพงคาปีติ มีลักษณะดังนี้ 4.1 มีอาการคล้ายๆกายสูงขึ้น ตัวเบา ตัวลอย 4.2 คันยุบยิบ เหมือนมีตัวไร ตอมไต่ตามหน้าตา 4.3 ท้องเสีย ลงท้อง 4.4 สัปหงกไปข้างบ้าง ข้างหลังบ้าง 4.5 หัวหมุนไปมา 4.6 กัดฟันบ้าง อ้าปากบ้าง หุบปากบ้าง 4.7 กายงุ้มไปข้างหลังบ้าง ข้างๆบ้าง 4.8 กายกระตุก ยกแขน ยกขา 4.9 ปรากฏสีไข่มุก สีนุ่น
๕. ผรณาปีติ มีลักษณะดังนี้ 5.1 ร่างกายเยือกเย็นแผ่ซ่านไปทั้งตัว 5.2 ซึมๆไม่อยากลืมตา ไม่อยากเคลื่อนไหว 5.3 ปรากฏเป็นสีคราม สีเขียว สีบงกด
๓. ญาณ (ความรู้) ปรากฏว่า ตัวมีความรู้เปรื่องปราชญ์ หมดจด อย่างไม่เคยมีมาก่อน
๔. ปัสสัทธิ มีความรู้สึกสงบเยือกเย็น ทั้งกายและใจ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่กระวนกระวาย สงบเงียบดังเข้าผลสมาบัติ
๕. สุข ได้แก่ วิปัสสนาสุข รู้สึกว่ามีความสุขที่สุด อย่างไม่เคยพบมาก่อน ยินดี เพลิดเพลิน ไม่อยากออกจากการปฏิบัติ อยากจะพูด อยากจะบอก ผลที่ตนได้ แก่ผู้อื่น
๖. อธิโมกข์ (สัทธา) มีความเลื่อมใสในพระรัตนตรัย เป็นต้น อย่างแรงกล้า
๗. ปัคคาหะ (ความเพียร) ขยันเกินควร ตั้งใจปฏิบัติจริง ยอมสู้ตาย ไม่ถอย จนเกินพอดี
๘. อุปัฏฐานะ (สติ) สติมากเกินไป ระลึกถึงแต่เรื่องในอดีตและอนาคต จนทิ้งอารมณ์ปัจจุบันเสีย
๙. อุเบกขา รู้สึกเฉยๆ ไม่ยินดี ยินร้าย ใจลอย หลงๆลืมๆ เป็นต้น อะไรมากระทบก็เฉย ขาดการกำหนด ปล่อยใจไปตามอารมณ์
๑๐. นิกันติ ความพอใจติดใจที่สร้างความอาลัยในวิปัสสนา มีอาการ สุขุม ซึ่งความจริงเป็นตัณหาที่ละเอียด แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถกำหนดจับได้ว่าเป็นกิเลส ธรรมทั้งหมดนี้ (เว้นแต่นิกันติ ซึ่งเป็นตัณหาอย่างสุขุม) โดยตัวมันเอง มิใช่เป็นสิ่งเสียหาย มิใช่เป็นอกุศล แต่เพราะเป็นประสบการณ์ประณีตล้ำเลิศที่ไม่เคยเกิดมีแก่ตนมาก่อน จึงเกิดโทษ เนื่องจากผู้ปฏิบัติไปหลงสำคัญผิดเสียเองว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เป็นฌานขั้นนั้นขั้นนี้
สังเกตดู มีสภาวะใดคงที่บ้าง ไม่มีเลย มันเปลี่ยนแปลงนั่นนี่โน่นวนไป ดังนั้น ท่านจึงให้กำหนดรู้ดูมันเหมือนเราดูหนังดูละคร (แต่ไม่ใช่ร้องไห้ เมื่อถึงบทพระเอกนางเอกถูกตัวโกงถูกนางอิจฉาตบตีนะ ดูแบบนั้นใช้ไม่ได้) ไม่ว่านิมิตนั้น อารมณ์จะดีจะร้าย ชอบใจไม่ชอบใจ กำหนดรู้ดูมัน แต่ก็ยึดหลักคือลมเข้าลมออก ซึ่งเป็นปัจจุบันไว้ ครั้นลมหายใจเข้า-ออกหาย พอง ยุบหาย ก็กำหนดรูปนั่งปัจจุบันไว้ เมื่อรูปหายร่างกายหาย ก็กำหนดตรงจุดที่ชัด เช่น ก้นกบที่กดกับพื้น เมื่อพอง ยุบ คืน ลมหายใจเข้า-ออกคืน ก็กำหนดหลักคือลมเข้า-ออก พอง ยุบ ต่อไป
สรุป ก็คือนิมิตอื่นๆก็กำหนดรู้ แต่ไม่ใช่อารมณ์หลัก ถึงไม่ใช่หลักก็ต้องกำหนดรู้เพื่อไม่ให้จิตหลงยึดติดมัน (คนที่เพื้ยนก็หลงนิมิตหลงอารมณ์พวกนี้)
อนึ่ง ถึงนิมิตที่ปรากฏจะเป็นอารมณ์รองไม่ใช่อารมณ์หลักดัง พอง กับ ยุบ ดังลมหายใจเข้า-ออกก็ตาม แต่ก็ต้องกำหนดด้วย ไม่ใช่ปล่อยไปเรื่อยเปื่อย หรือเบือนหน้าหนีมัน ไม่ใช่ ไม่เอาแบบนี้ ให้กำหนดมันตามที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ตามที่ใจคิด (เห็นหนอ เสียงหนอ กลิ่นหนอ คิดหนอ เป็นต้น) ตัวอย่างข้างบน เขาเห็นนิมิตเป็นลูกแก้ว กำหนดจนมันหายไป (นิมิตดีๆพอรู้พอทนกันได้ แต่ถ้าเป็นนิมิตร้ายๆ คนจะเตลิด นิมิตพวกนี้เป็นภาพจากจิตเอง ซึ่งสติยังไม่แข็งแรงพอ สติจะเกิดก็จากการกำหนดทันปัจจุบันอารมณ์นั่นเอง)
ตรงนี้ เทียบกสิณ ก็แนวๆฌาน
> ครั้งนี้ เกิดนิมิตเป็นลูกแก้วใสสว่าง ขึ้นมา จากลูกเล็กๆกลายเป็นลูกใหญ่ แล้วคือเวลาเราหลับตาอ่ะครับ มันจะดำๆๆ ใช่ไหมครับ แต่พอ ลูกแก้วขนาดจนเต็มความรู้สึกเหมือนสว่างไสวไปหมด เป็นสี ขาว มีประกาย ทั่วที่หลับตาอยู่นั่นเอง และพอกำหนดให้มันเล็กลง มันก็เล็กได้ดังใจ เหมือนกับว่า ในขณะนั่นจิตจะสั่งการอะไร ได้หมด
ถ้าจะเล่นสมถะเล่นฌานก็ทางนี้ ก็นั่งเล่นกับมันไป ย่อให้เล็กบ้าง ขยายให้ใหญ่โตมโหฬารบ้าง ทำให้มันหายไปบ้าง แล้วก็นึกให้มันคืนมาบ้าง ฯลฯ ทำให้มันพิสดารนั่นนี่ได้ ก็เท่ากับว่าจิตมีพลัง จะให้ถึงฌานจริงๆ ต้องผ่านวสี ๕ ก่อน
Create Date : 21 มิถุนายน 2564 |
Last Update : 26 กุมภาพันธ์ 2568 21:55:44 น. |
|
0 comments
|
Counter : 2385 Pageviews. |
 |
|
|
|
|
 |
|
|
|