กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ(สํ.สฬ.18/217/166) เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า"ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
หลักปฏิบัติ: แยกจากหัวข้อใหญ่
สภาวธรรม
เบญจขันธ์
อายตนะ
ไตรลักษณ์
ปฏิจจสมุปบาท
กรรม
วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นิพพาน
ผู้บรรลุนิพพาน
หลักบรรลุนิพพาน
มัชฌิมาปฏิปทา
ปรโตโฆสะ
โยนิโสมนสิการ
ปัญญา
ศีล
สมาธิ
อริยสัจ ๔
อารยธรรมวิถี
แรงจูงใจคน
ความสุข ๑
ความสุข ๒
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลาให้สังคม ฯ
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
เรื่องเหนือสามัญวิสัย
รู้เขา รู้เรา
คำพูดของคนใกล้สิ้นลม
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
มาฆบูชา กับ วาเลนไทน์
แรงผลักดันมนุษย์
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
<<
กันยายน 2564
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
10 กันยายน 2564
เห็น เกิด ดับ
Hi อานาปานะ
ปฏิบัติต้องลงมือทำ
ถามเจ็บ
100 ทั้ง 100
ทำ = ภาวนา. ภาวนา=ทำ. ทำ=ปฏิบัติ
ไม่ต้องตามหา เดี๋ยวมาเอง
ไม่รู้จะตั้งชื่ออะไร ดูเอง
เทียบนั่งสมาธิกับการบำเพ็ญบารมีสิบ
เห็น เกิด ดับ
ผู้ปฏิบัติแท้จะไม่หวั่นนิมิตใดๆทั้งทางกายทางใจ
อารมณ์ที่เกิดจากจิตซึ่งเป็นสมาธิแล้ว
เห็นสัจธรรมแล้วทุกข์คลายเองโดยอัตโนมัติ
หากต้องการเข้าถึงความจริง มนุษย์ต้องเข้าใจตัวเขาเอง
ขณะจิตที่บรรลุมรรคผล
ถึงอารมณ์เบื่อทุกอย่าง
เขาถามกันว่า
หายไปทั้งตัว
มีใครนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน เป็นบ้าบ้าง
จิตร้องเพลง มีเสียงพูดเสียงสอน
ถามเกี่ยวกับสภาวะจากนั่งสมาธิ
กิเลสต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงละได้
ใช้ หนอ
ประสบการณ์ชีวิตเยอะ ธรรมารมณ์ก็เยอะ
สมาธิล้ำองค์ธรรมอื่น
อย่าฝืน อย่าต้านสภาวธรรม
ทำสมาธิแล้วเกิดสภาวะทางกาย
ผู้ปฏิบัติดู Blog นี้แล้ว ดู Blog ภาคปฏิบัติด้วย
ทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงสวดมนต์
นี่เขาใช้ หนอ
นี่ไม่ใช้คำภาวนาใดๆ
คำภาวนาใดๆ ไม่ใช่สาระ
ดูลมเข้า-ออก
แยก สมมุติ กับ สภาวธรรม ให้ชัด
ใช้พุทโธ.
สภาวธรรม หมายถึง
เห็น เกิด ดับ
นักเทศน์ นักธรรม ชอบพูดกัน เห็นการ
เกิด ดับ เห็นไตรลักษณ์
หมายถึงผู้ปฏิบัติต้องเห็นสภาวธรรมนั่นนี่โน่นขณะนั้นๆว่า มันเกิดแล้วมันก็ดับ ดับแล้วมันก็เกิด เกิดแล้วมันก็ดับ (เกิดดับๆ เกิดๆดับๆ) เรียกว่า เห็นการเกิดดับ
ไม่ใช่ว่าดับแล้วไม่กลับมาอีกเลย เช่นคำพูดนี้
https://1.bp.blogspot.com/-gp1Ivi7cXOc/YTrFcH2AY0I/AAAAAAAAAzk/SbMeGNqQF_0tREviwlPgyo-F9cycQyMkwCLcBGAsYHQ/s320/199470929_4150609908334181_8213785813915228542_n.jpg
ซึ่งพูดอธิบายโยงไปนั่นมานี่แล้วก็สรุปท้ายว่า ดับแล้วจะไม่พบที่ไหนอีกเลยทั้งสิ้น ในสังสารวัฏฏ์ จึงใช้คำว่า "
ดับ ไม่กลับมาอีกเลย
"<= พูดให้เห็นภาพก็ว่า "
ดับไม่กลับมาอีกเลย"
อย่างเข้าใจนั่น
ได้แก่คนที่ตายจากโลกนี้ไป ดับหายไปเลย ไม่กลับมาเป็นลูกเป็นสามีเป็นภรรยากับคนในบ้านนั่นอีก
)
ทีนี้ใช้ของจริงจากบุคคลผู้หนึ่งเทียบ
ว่ามันดับแล้วมันก็เกิด มันเกิดแล้วมันก็ดับ
ดิฉันเริ่ม
ทำสมาธิได้สองเดือนกว่าๆ
แล้ว...พยายามทำสมาธิให้ได้วันละสาม ชม. แรกๆก็จะบริกรรม ดูลม (เรียนทำสมาธิจากเวปต่างๆ และคลิปที่ยูทูป อยู่ต่างประเทศคะ) จนเห็นจิตเด่นชัด ก็จะบริกรรมไม่ได้แล้ว แต่หากฟุ้งก็จะบริกรรมอีก ตอนนี้แยกร่างกายกับจิตได้บ้างแล้ว เห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา เห็นตัวรู้
จนเมื่อวานนี้และวันนี้ ได้เกิดการ
สั่นขึ้นที่ร่างกายส่วนตัวขึ้น
มันเริ่มจากตุบๆ เหนือก้น แรกๆเห็นไม่ชัด จนมันตุบๆๆๆ แรงขึ้นๆ จนกลายเป็นสั่น และสั่นรุนแรงขึ้น เหมือนแผ่นดินไหว แต่ก็พยายามประคองจิตเอาไว้ ให้นิ่งดูเฉยๆ
ในระหว่างนั้น เริ่ม
ฟุ้งซ่าน
ขึ้นมานิดๆ
แต่ก็ประคองไว้ จนรู้สึกเหนื่อย ปวดหัว
เพราะ
สั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก
จนถึงวันนี้ๆ
ลองลืมตาดูว่ามันเป็นอย่างไร พอลืมตาดูก็เห็นว่าร่างกายสั่นจริง สั่นแต่ช่วงตัว
ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ
(บางทีนอกจากเหนือก้นจะตุบๆ แล้ว ที่บริเวณกลางอก ก็ตุบๆๆ สังเกตได้ชัด บริเวณหัวด้วย แต่ไม่มากเท่าไหร่) ไม่ทราบว่ามีท่านใดเคยทำสมาธิแล้วเป็นแบบนี้บ้างคะ ขอรบกวนให้คำปรึกษาด้วยนะคะ....อยู่ต่างประเทศจะไปวัดขอคำปรึกษา จากพระไม่ได้เลย
จขกท. นี่เห็นการเกิดดับที่ลึกลงถึงก้นบึ้งของจิตใจทีเดียว แต่ก็มีคำถามอีกว่า แล้วทำไมผู้ปฏิบัติยังไม่ลงตัว ยังติดยังกังวลนั่นนี่อยู่เล่า ? ตอบ: เพราะการรู้การเห็นนั่นยังไม่เป็นปัญญาที่เรียกว่าญาณ
เอาสังขารุเปกขาญาณเทียบ (จะให้ดีต้องดูไล่ๆจาก วิปัสสนาญาณข้อที่ ๑ ลงๆมา แล้วสังเกตความรู้สึกความคิดของผู้ปฏิบัติจะเปลี่ยนมาเป็นเข้าใจชีวิตเพิ่มขึ้นๆตามลำดับ) ตัดข้อ ๘ มา ดังนี้
๘.
สังขารุเปกขาญาณ
ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร คือ เมื่อพิจารณาสังขารทั้งหลายต่อไป
ย่อมเกิดความ
รู้เห็นสภาวะของสังขารตามเป็นจริง
ว่า
มันก็เป็นอยู่เป็นไปของมันอย่างนั้นเป็นธรรมดา
หรือ เป็นธรรมดาของมันอย่างนั้นเอง
จึงวางใจเป็นกลางทำเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย ไม่ขัดใจติดใจในสังขารทั้งหลาย
แต่นั้น ก็มองเห็นนิพพานเป็นสันติบท ญาณจึงโน้มน้อมที่จะมุ่งแล่นไปยังนิพพาน
เลิกละความเกี่ยวเกาะกับสังขารทั้งหลาย
ญาณข้อนี้ จัดเป็นสิขาปปัตตวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่ถึงจุดสุดยอด และเป็นวุฏฐานคามินีวิปัสสนา คือ วิปัสสนาที่เชื่อมถึงมรรค อันเป็นที่ออกจากสิ่งที่ยึด หรือออกจากสังขาร
ที่ว่า
"...
ก็หลับตาประคองสติต่อ ให้เห็นการเกิดดับ
" ตรงนี้เป็นความเห็น ไม่ใช่เห็นการเกิดดับ ตรงที่มันเกิดแล้วมันดับเราไม่เห็น
เพราะเราไม่ชอบ (
สั่นแรงมาก มาแล้วก็หาย แล้วก็มาอีก
) เลยพาคิดเป็นอื่น ทั้งๆที่ธรรมะมันเกิดมันดับนั่นแหละ อย่างนี้ท่านเรียกว่าไม่เห็นธรรมะตามความเป็นจริง, ไม่เห็นสภาวธรรมตามที่มันเป็น
"...สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้
เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งคืนทั้งวัน
"
สํ.นิ.16/231/114
การปฏิบัติธรรม
(จะเรียกชื่อยังไงสุดแท้แต่)
ปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์แท้ๆนั้น ฟังง่ายๆพึงเทียบคำโบราณ "เลือกที่รัก มักที่ชัง" "เลือกที่รัก ผลักที่ชัง
" เรา
จะเอาแต่ที่พอใจ ที่ไม่พอใจไม่รับ ไม่ได้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์ ปฏิบัติพ้นทุกข์ มันจะดีจะชั่ว จะสุขจะทุกข์ ชอบใจ ไม่ชอบใจ ยังไง ต้องกำหนดรู้ดูมันได้ทุกอารมณ์ทุกสภาวะ
ลองนึกดู ในการดำเนินชีวิตของเราของคนเรา (แม้แต่ในครอบครัว มีแต่สองคนขึ้นไป) แต่ละวันๆนั้น เราเลือกเอาแต่
อิฏฐารมณ์
(อารมณ์ที่น่าปรารถนา น่าชอบใจ)
อนิฏฐารมณ์
(อารมณ์ที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าปรารถนา) ไม่เอา เลือกได้ไหม ไม่ได้เลย เราจะบอกกับเขาคนนั้นเขาคนนี้ว่า พูดดีๆกับฉันหน่อยได้ไหม พูดอย่างนี้...ฉันไม่ชอบนะ ได้ไหม ไม่ได้อีก ใครพูดไม่ดีกับเรา เราไม่ชอบใจโกรธ (โทสะ) ใครพูดดีก็ชอบ (โลภะ,ราคะ,โมหะ หรืออวิชชาเป็นพื้นใจอยู่ทั้งเพ) เพราะเหตุนั้น ในการปฏิบัติก็เพื่อกำจัดกิเลสจำพวกนี้ ท่านจึงให้
กำหนดรู้
ทั้งความชอบใจ ไม่ชอบใจ แม้แต่ความเฉยๆ ต่ออารมณ์ ซึ่งปรากฎในขณะนั้นทั้งทางกายทางใจ
ตามที่มันเป็น
เมื่อกิเลสจำพวกนี้เบาบางลงเท่าใด ผู้นั้นก็พ้นทุกข์ได้เท่านั้น เข้าใกล้นิพพานเข้าไปเท่านั้น เมื่อ ราคะ (โลภะ) โทสะ โมหะ หมดไป ทางพระพุทธศาสนาก็เรียกว่าอรหันต์ (อาสวักขัย) แล. จบกิจ เรื่องมันก็มีเท่านี้เท่านั้น (พูดให้สุดทางเลย)
ยังมีผู้สงสัยอีกว่ากิเลสมันจะหมดได้ยังไง ลองศึกษาที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=07-2021&date=15&group=1&gblog=42
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=samathijit&month=04-2021&date=25&group=14&gblog=6
Create Date : 10 กันยายน 2564
Last Update : 27 กันยายน 2564 7:49:19 น.
0 comments
Counter : 490 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ให้ทิปเจ้าของ Blog
[
?
]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 6 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com