กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
บุญ
ข้อธัมม์ที่ถาม-เถียงกันบ่อย
หลักปฏิบัติ
สภาวธรรม
ปฏิบัติธรรมให้ถูกทาง
ผู้พิพากษาตั้งตุลา ใ ห้ สั ง ค ม ส ม ดุ ล
คติธรรมสั้นๆ
ภาษาธรรมวันละคำ
รู้เขา รู้เรา
ปัจฉิมวาจา
ความเป็นมาของการบวช
การทำวัตรสวดมนต์
ทำยังไงจึงจะมีอายุยืนและมีความสุข
นิพพาน-อนัตตา ฉบับเพียงเพื่อไม่ประมาท
พลังดันคน
ที่ทำงานของจิต
บรรลุธรรมอะไร?
พุทธปรัชญาในสุตตันตปิฎก
ธัมมาธิบาย
สวดมนต์
ความจน เ ป็ น ทุ ก ข์ ใ น โ ล ก
เรียนบาลีเพื่อรักษาพุทธพจน์
ศีล-ธรรมไม่มาโลกาจะพินาศ
หลักธรรมสำหรับผู้ยังไม่นับถือศาสนาใดๆ
ก่อนศึกษาพุทธธรรม
ภาค ๑. มัชเฌนธรรมเทศนา
ภาค ๒. มัชฌิมาปฏิปทา
ภาค ๓. อารยธรรมวิถี
วัฒนธรรมประเพณี
จารึกธรรม
สมาธิ,ฌาน
ถ้าหลักธรรมพุทธดีจริง คงไม่สูญจากชมพูทวีปว่าซั่น
ภาวะแห่งนิพพาน
ศีลกับเจตนารมณ์ทางสังคม
คุณค่าทางจริยธรรมของไตรลักษณ์
จงกรม ไม่ใช่ จงกลม
กรรมฐาน
สติปัฏฐาน
ศีลสำหรับประชาชน
วิธีการแห่งศรัทธา (ปรโตโฆสะที่ดี)
วิธีการแห่งปัญญา (โยนิโสมนสิการ)
<<
เมษายน 2566
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
26 เมษายน 2566
ใช้สอบอารมณ์ตนเองได้
ลมหายใจหาย
กำลังเดินทาง
ถึงนิมิตแล้วจะผ่านไปได้อย่างไร
ภาวนาตัวสั่น ตัวหาย
โอภาส แสงสีสว่างไสว
สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
ธรรมสากัจฉา โอภาส
อาจารย์สำนักหนึ่งแนะวิธีบรรลุธรรม
ทำกรรมฐานแล้วหูแว่วแก้ยังไงดีคะ
แบบนี้ระวัง
ปฏิบัติธรรมเอง เจอปรากฏการณ์แปลกๆ
ชีวิต
คน VS ธรรมะ
การนั่งสมาธิ/ความคิดของเรา
ร่างกายเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
ปฏิบัติโยงศัพท์ทางธรรม
สาระ 1000 ปัญหา
อ่านแล้วรู้สึก VS เข้าถึงแล้วรู้สึก
กัดฟันสู้ VS สู้อย่างรู้เข้าใจ
พื้นๆ
๒ แนวปฏิบัติ สมถะ กับ วิปัสสนา
บริกรรมพุทโธเหมาะเริ่มต้น
ทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของชีวิต
ธรรมชาติของชีวิต
ทำสมาธินานๆ แล้วเห็นแสงมีจริงหรือครับ
นั่งสมาธิตัวสั่นโยกอย่างเร็วแล้วหยุด
มหัศจรรย์ ครั้งแรกในชีวิตกับการภาวนา
ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว
การนั่งสมาธิที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร
ถึงเป็นแฟนก็ทำแทนกันไม่ได้
จุดตายโกก้า
ความหมาย วิปัสสนา
คอร์สโกก้า วันที่ 1-9
คอร์สโกก้า วันที่ 10
ปล่อยวางความแค้นในอดีต ได้ยังไง
ตอนทำสมาธิ เห็นสิ่งที่ไม่ใช่คน
มือ ลูกกะตา ปาก ขา ทั้งร่างกาย เคลื่อนไหวเอง
กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
วิธีแผ่เมตตาจิต
สงสัยอาการตอนนั่งสมาธิ
จิตจะพัฒนาไปเรื่อย
นั่งสมาธิแล้วเกิดนั่นนี่โน่น กลัวค่ะ
นั่งสมาธิแล้วเหมือนโดนไฟช็อต
นั่งสมาธิจงกรมแล้วอารมณ์ยังเหวี่ยงง่าย
เป็นกิเลส ไม่ใช่ฤทธิ์
จิต
นั่งสมาธิแล้วเหมือนมีแมลงไต่
เจตนา เป็นตัวกรรม
ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ
วิปัสสนูปกิเลส
ฝึกเป็นอริยบุคคล
หลักพระอรหันต์แท้ๆ
นั่งสมาธิมีเสียงพูดเสียงสอน
ออกจากสมาธิแล้วคิดอะไรไม่ออก
นั่งสมาธิแล้วจิตส่งเสียงคล้ายคนสวดมนต์
จิตมันพูดว่าลองหยุดหายใจตายดูหน่อยสิ
สภาวะปีติ ๕
ประสบไตรลักษณ์อย่างไม่รู้เท่าทัน กลับทำให้เกิดทุกข์
นั่งสมาธิแล้วร่างกายสั่นจริง
นี่ใช้พุท-โธ
ใช้สอบอารมณ์ตนเองได้
ลมหายใจหาย
กำลังเดินทาง
ปักธง
ติดสุข
สวดมนต์ เจอกิเลสมารคิดชั่วร้ายกับครูอาจารย์
ปฎิบัติธรรมเอง แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป
มิจฉาปฏิปทา
ไม่ใช่ทาง
ธัมมุทธัจจ์
เหมือนตัวหาย
เหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นไปตามขา
นั่งสมาธิ ฟุ้งซ่านมาก
นั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างจ้าวาบเข้ามาในตา
พอจิตเริ่มนิ่ง แขนขยับได้เอง
แทนที่จะดี กลายเป็นเสียงของ
ต่อจากวิปัสสะนึก
วิปัสสะนึก ไม่ใช่วิปัสสนา
อารมณ์สมถะ - วิปัสสนา
ลมหายใจหาย ไปไม่เป็น
นั่ ง ส ม า ธิ แ ล้ ว เหมือนมีแมลงไต่
ทำสมาธิแล้วเหมือนจะขาดใจ
วิธีล้างเจ้ากรรมนายเวรออก
วิบเดียว
จิตเกิด-ดับรวดเร็ว วิบ
นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการชาๆตึงๆ
ธรรมะไม่ถูกใจคน
นั่งสมาธิแล้วรู้สึกมีลมเย็นพัดผ่านหลังตลอด
ธัมมะธัมโมโฮ่กันอยู่ได้
นั่งสมาธิเห็นเป็นคนมาล้อม, กลัว
กำหนดรู้ตามที่มันเป็นเพื่อให้รู้เห็นชัด
เสียงจากการนั่งสมาธิ
ตัวอย่างเทียบ กท. ล่าง
เห็นนิมิตเทวดาพนมมือรับบุญที่เรานั่งกรรมฐาน
ขณะโทสะเกิดคนไม่รู้ ดับแล้วจึงรู้
นั่งสมาธิ-สวดมนต์ ได้ยินเสียงนั่นนี่โน่น
อานะ+อาปานะ+สติ
อ่านเข้าใจแล้วต้องไปปฏิบัติ
ชาวพุทธเข้าใจคำว่าธรรม ว่าหมายถึงอะไรกันบ้างเหรอครับ
ตามดูรู้ทันไม่บรรลัย
ทำ = ภาวนา. ภาวนา=ทำ. ทำ=ปฏิบัติ = ปฏิปทา
ไม่ต้องตามหา เดี๋ยวมาเอง
พอจิตสงบๆหน่อยจะเห็นนั่น ได้ยินนี่
นั่งสมาธิ กับ บารมี ๑๐
เห็นการเกิด-ดับ
ผู้ปฏิบัติแท้จะไม่หวั่นนิมิตใดๆ ทั้งทางกาย ทางใจ
เป็นอารมณ์ที่เกิดจากจิตที่เป็นสมาธิแล้ว
เห็นสัจธรรมแล้วทุกข์คลายเอง
หากต้องการเข้าถึงความจริง มนุษย์ต้องเข้าใจตัวเขาเอง
ขณะจิตบรรลุมรรคผล
ถึง อารมณ์เบื่อ ทุกอย่าง
ชอบถามธรรมะระดับแก่นกัน
นั่งสมาธิแล้วหายไปทั้งตัว
มีใครนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน เป็นบ้าบ้าง
ได้ยินเสียงสิ่งที่มองไม่เห็นขอความช่วยเหลือ
ถามเกี่ยวกับสภาวะจากนั่งสมาธิ
กิเลสต้องเห็นชัดด้วยปัญญา
ใช้ พอง-ยุบ เป็นกรรมฐาน
ประสบการณ์ชีวิตเยอะ ธรรมารมณ์ก็มากตาม
นั่งสมาธิแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย เกร็งๆ
อย่าฝืน อย่าต้านสภาวธรรม
นั่งสมาธิเหมือนมีคนจับหน้าบิดไปมา
ผู้ปฏิบัติดู Blog นี้แล้ว ดู Blog ภาคปฏิบัติด้วย
ทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงสวดมนต์
ตัวอย่าง ใช้ หนอ
ตัวอย่าง ไม่ใช้คำภาวนาใดๆ
คำภาวนา ไม่ใช่สาระ
นั่งสมาธินั่งดูลม
แยก สมมุติ กับ สภาวธรรม ให้ชัด
ตัวอย่างใช้ พุทโธ
สภาวธรรม หมายถึง
ใช้สอบอารมณ์ตนเองได้
ผู้ภาวนามัย ซึ่งใช้พอง-ยุบก็ดี ลมเข้า-ออกแล้วพุท-โธ ก็ดี หรืออื่นๆจากนี้ ยกเว้นผู้พูดๆเอานั่นเอานี่ ใช้บทความนี้สอบอารมณ์ตนเองได้
คุณค่าไตรลักษณ์ด้าน
การทำจิต
หรือคุณค่า
เพื่อความหลุดพ้น
เป็นอิสระ
คุณค่าด้านนี้ พร้อมทั้งหลักปฏิบัติเพื่อเข้าถึงคุณค่านั้น เป็นเรื่องเกี่ยวด้วยจุดหมายสูงสุดของพุทธธรรม ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ สำคัญ เป็นส่วนคลุมยอดของระบบทั้งหมดของพระพุทธศาสนา มีขอบเขตกว้างขวาง อีกทั้งมีรายละเอียดในการปฏิบัติที่พึงทำความเข้าใจโดยเฉพาะ คัมภีร์ทั้งหลายจึงกล่าวถึงบ่อยและมาก บางคัมภีร์ก็นำมาประมวลแสดงเป็นขั้นตอนตามลำดับโดยตลอด ดังเช่นคัมภีร์วิสุทธิมัคค์ เป็นต้น แม้ในหนังสือนี้เอง ก็ได้บรรยายไว้ทั่วๆ ไปแล้ว จึงจะไม่นำมากล่าวรวมไว้ในที่นี้ แต่จะพูดไว้พอเป็นแนวสำหรับความเข้าใจอย่างกว้างๆ
ตามปกติ ผู้เจริญปัญญาด้วยการพิจารณา
ไตรลักษณ์ จะพัฒนาความเข้าใจต่อโลกและชีวิตให้เข้มคมชัดเจนยิ่งขึ้น พร้อมกับ
มีความเปลี่ยนแปลงทางด้านสภาพจิต
เป็นขั้นตอนสำคัญ ๒ ขั้นตอน
คือ
ขั้นตอนที่ ๑
เมื่อเกิดความ
รู้เท่าทันสังขารมองเห็นความไม่เที่ยง ความเป็นทุกข์
และความไม่เป็นตัวตนชัดเจนขึ้นใน
ระดับปานกลาง
จะมีความรู้สึกทำนองเป็นปฏิกิริยาเกิดขึ้น คือรู้สึกในทางตรงกันข้ามกับความรู้สึกที่เคยมีมาแต่เดิม ก่อนนั้นเคยยึดติดหลงใหลในรูปรสกลิ่นเสียง เป็นต้น มัวเมาเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งเหล่านั้น คราวนี้ พอมองเห็นไตรลักษณ์เข้าแล้ว ความรู้สึกเปลี่ยนไป กลายเป็นรู้สึกเบื่อหน่าย รังเกียจ อยากจะหนีไปเสียให้พ้น บางทีถึงกับรู้สึกเกลียดกลัว หรือขยะแขยง นับว่าเป็นขั้นที่
ความรู้สึก
แรงกว่า
ความรู้
(
เรียกอย่างภาษาไทยว่า อารมณ์เหนือปัญญา
)
ขั้นตอนแรกนี้
แม้ว่าจะเป็นขั้นตอนที่ปัญญายังไม่สมบูรณ์ และความรู้สึกยังเอนเอียง แต่ก็เป็นขั้นตอนที่สำคัญ หรือบางทีถึงกับจำเป็น ในการที่จะถอนตนให้หลุดออกไปได้จากความหลงใหลยึดติด ซึ่งเป็นภาวะที่มีพลังแรงมาก เพื่อจะสามารถก้าวต่อไปสู่ภาวะที่สมบูรณ์ในขั้นตอนที่ ๒ ต่อไป
ในทางตรงข้าม ถ้าหยุดอยู่เพียงขั้นนี้ ผลเสียจากความรู้สึกที่เอนเอียงก็จะเกิดขึ้นได้
ขั้นตอนที่ ๒
เมื่อความรู้เท่าทันนั้นพัฒนาต่อไป จนกลายเป็นความรู้เห็นตามความเป็นจริง ปัญญาเจริญเข้าสู่ภาวะสมบูรณ์ เรียกว่า
รู้เท่าทันธรรมดา
อย่างแท้จริง ความรู้สึกเบื่อหน่ายรังเกียจและอยากจะหนีให้พ้นไปเสียนั้น ก็จะหายไป กลับรู้สึกเป็นกลาง ทั้งไม่หลงใหล ทั้งไม่หน่ายแสยง ไม่ติดใจ แต่ก็ไม่รังเกียจ ไม่พัวพัน แต่ก็ไม่เหม็นเบื่อ มีแต่ความรู้ชัดตามที่มันเป็น และความรู้สึกโปร่งโล่งเป็นอิสระ พร้อมด้วยท่าทีของการที่จะปฏิบัติต่อสิ่งนั้นๆ ไปตามความสมควรแก่เหตุผล และตามเหตุปัจจัย
พัฒนาการทางจิตปัญญาในขั้นตอนที่สอง
นี้
ในระบบ
การปฏิบัติของวิปัสสนา
ท่านเรียกว่า
สังขารุเปกขาญาณ
(ญาณอันเป็นไปโดยความเป็นกลางต่อสังขาร)
เป็นขั้นตอนที่สำคัญและจำเป็น ในการที่จะเข้าถึงความรู้ประจักษ์แจ้งสัจจะ และความเป็นอิสระของจิตโดยสมบูรณ์
คุณค่าด้านความเป็นอิสระหลุดพ้นของจิตนี้ โดยเฉพาะในระดับที่พัฒนาสมบูรณ์แล้ว (ถึงขั้นตอนที่ ๒)
จะมีลักษณะ
และ
ผล
ข้างเคียงที่สำคัญ
๒ ประการ
คือ
๑) ความปลอดทุกข์ คือ เป็นอิสระหลุดพ้นจากความรู้สึกบีบคั้นที่เกิดจากความยึดติดถือมั่นต่างๆ มีความสุขที่ไม่อิงอาศัยอามิส หรือไม่ขึ้นต่อสิ่งล่อ ปลอดโปร่ง ผ่องใส สดชื่น เบิกบาน ไร้กังวล ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไม่เหี่ยวแห้งไปตามความผันผวนปรวนแปรขึ้นๆ ลงๆ ที่เรียกว่าโลกธรรม ไม่ถูกกระทบกระแทกเนื่องจากความสูญเสียเสื่อมสลายพลัดพราก เป็นต้น
ลักษณะข้อนี้มีผลไปถึงจริยธรรม
ด้วย ในแง่ที่จะไม่ก่อปัญหาเนื่องจากการระบายทุกข์ของตนแก่ผู้อื่นหรือแก่สังคม ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งของปัญหาจริยธรรม และในแง่ที่มีสภาพจิตใจซึ่งง่ายต่อการเกิดขึ้นของคุณธรรม โดยเฉพาะเมตตากรุณา ความมีไมตรีจิตมิตรภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกื้อกูลแก่จริยธรรมเป็นอันมาก
๒) ความปลอดกิเลส คือ เป็นอิสระหลุดพ้นจากอำนาจบีบคั้นครอบงำ และบงการของกิเลสทั้งหลาย เช่น ความโลภ ความโกรธ ความติดใคร่ ชอบชัง ความหลง ความริษยา และความถือตัวถืออำนาจ เป็นต้น โปร่งโล่ง เป็นอิสระ สงบ และบริสุทธิ์ ลักษณะข้อนี้มีผลโดยตรงต่อจริยธรรม ทั้งด้านภายในที่จะคิดการหรือใช้ปัญญาอย่างบริสุทธิ์เป็นอิสระ ไม่เอนเอียงไปด้วยชอบชังรังเกียจและความปรารถนาผลประโยชน์ส่วนตัว เป็นต้น และด้านภายนอก ที่จะไม่ทำความผิดความชั่วต่างๆ ตามอำนาจบังคับบัญชาของกิเลสทุกอย่าง ตลอดจนสามารถทำการต่างๆ ที่ดีงามตามเหตุผลได้อย่างจริงจังเต็มที่ เพราะไม่มีกิเลส เช่น ความเกียจคร้าน ความห่วงผลประโยชน์ เป็นต้น มาคอยยึดถ่วงหรือดึงให้พะวักพะวน
อย่างไรก็ดี
คุณค่าข้อที่ ๑ นี้ ในขั้นที่อยู่ระหว่างกำลังพัฒนา
ยังไม่สมบูรณ์สิ้นเชิง ถ้ามีแต่ลำพังอย่างเดียว ก็มีช่องทางเสีย คือ อาจก่อให้เกิดโทษได้ ตามหลักที่ว่า
กุศล
เป็นปัจจัยแก่
อกุศล
ได้ กล่าวคือ เมื่อทำจิตได้แล้ว ใจสบาย มีความสุขแล้ว ก็ติดใจเพลิดเพลินอยู่กับความสุขทางจิตใจเสีย หรือพอใจในผลสำเร็จทางจิตนั้น แล้วหยุดความเพียรพยายามเสีย หรือปล่อยปละละเลยไม่เร่งทำกิจที่ควรทำ ไม่จัดการแก้ไขปัญหาภายนอกที่ค้างคาอยู่ เรียกว่าตกอยู่ในความประมาท ดังตัวอย่างในพุทธพจน์ที่ว่า
“นันทิยะ อย่างไรอริยสาวกจะชื่อว่า
เป็นผู้อยู่ด้วยความประมาท
? อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหว ในพระพุทธเจ้า... ในพระธรรม... ในพระสงฆ์... ประกอบด้วยศีลทั้งหลายที่พระอริยะยอมรับ...อริยสาวกนั้น พอใจ (หรืออิ่มพอ=สันโดษ) ด้วยความเลื่อมใส... ด้วยศีลทั้งหลายที่พระอริยะยอมรับเหล่านั้น ย่อมไม่พยายามให้ยิ่งขึ้นไป ฯลฯ อย่างนี้แล นันทิยะ อริยสาวกชื่อว่าเป็นอยู่ด้วยความประมาท”
ทางออกที่จะป้องกันไม่ให้เกิดผลเสียที่กล่าวถึงนี้ ก็คือ จะต้องปฏิบัติตามหลักการที่จะให้เกิดคุณค่าข้อที่ ๒ ควบคู่กันไปด้วย.
วางตัวอย่างเทียบไว้ด้วย
ผมนั่งสมาธิโดยการกำหนด ยุบหนอ-พอง หนอ โดยกำหนดจิตรับรู้การเคลื่อนของกระเพาะอาหารเวลาลมหายใจเข้าไปและออกมา
กระผม คิดเอาเองว่าคงนั่งได้ประมาณ 2 ชม.ได้แล้ว และผมก็ได้รู้สึกว่า ร่างกายของผมเหมือนไม่มี เหมือนจิตผมหยุดนิ่งอยู่ที่ใดที่หนึ่งโดยไม่รู้ว่า สิ่งที่ผมกำหนดตอนแรก หายไปไหน ลมหายใจของผมประหนึ่งกับดับไป ผมพยายาม กำหนดต่อไป แต่คราวนี้มันกำหนด ยุบหนอ พองหนอ ไม่ได้เสียแล้ว เพราะเหมือนกับว่า ร่างกายนี้ไม่มีอยู่ครับ
ผมเลยใช้การกำหนด
ดูจิต
ที่ยังพอรู้สึกได้อย่างเลือนลางนั่นต่อไป จนผม เริ่มเกิดความรู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง คือ ผมไม่ได้หายใจ แต่ใจผม ยังคงหยุดอยู่ที่สิ่งแรกอยู่ แต่รู้สึก สิ่งนั่น ที่ใจนึกถึงนั่น มันเด่นชัดมากขึ้น
ผมนั่งต่อไปอีกสักระยะ หนึ่งครับ แต่ไม่รู้ว่าจะกำหนดอะไรต่อไปแล้ว เพราะเหมือนรู้สึกว่า ไม่มีอะไรเลยครับ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด คือ เหมือนร่างกายก็ไม่มี และสิ่งรอบข้าง ก็หายไปหมด เหมือนกับว่า ไม่มีอะไรอยู่ข้างกายแบบนี้
ผมเลย นึกในใจอยากออกจากสมาธิ ก็เริ่มรู้สึกถึงร่างกายของผมเองขึ้นมาที่ละนิด ๆ แล้วก็รู้สึกว่า มีสิ่งแวดล้อมรอบตัว กลับมาอีกครั้ง รู้สึกถึงการหายใจขึ้นมาอีกครั้ง ผมค่อยๆ ถอดออกจากสมาธิ แล้วลืมตา ในตอนนั้น ในตอนที่รู้สึกถึงร่างกาย ผมกลับมีความรู้สึกอีกอย่าง เข้ามาในใจอย่างรุนแรงมาก คือ
เหมือนว่าร่างกายผมมันสกปรกมาก เหมือนกับซากศพอะไรซักอย่าง
(ไม่ได้กิเลสนะครับ แต่เป็นความรู้สึกในตอนนั้น)
และผมก็เกิดความกลัวไปหมด กลัวจะผิดศีล 5 กลัวภัยในแต่ละวัน
เหมือนจิตจะฟุ้งซ่านมากในขณะนั่นเลย หลังจากคืนนั่น ในคืนต่อ ๆ มา ผมก็นั่งสมาธิตามปกติ และ
ก็ได้รับรู้ความรู้สึกเช่นที่เป็นมา ทุกคืนติดต่อกัน
แต่
ทุก ๆ คืน จนถึงวันนี้ ผมเหมือนกับเบื่อหน่าย ที่จะทำงาน ไม่อยากเจอหน้าภรรยา ไม่อยากเจอหน้าพ่อแม่ ไม่อยากเจอหน้าลูก เหมือนเบื่อหน่ายทุกสิ่งในโลก อาหาร แม้แต่ตัวเอง
วันๆอยากนั่งทำสมาธิ เพราะในช่วงที่เล่าให้ฟัง มันมีความสุขมาก เหมือนผมลืมทุกอย่างไปเลย
Create Date : 26 เมษายน 2566
Last Update : 13 ธันวาคม 2566 19:08:07 น.
0 comments
Counter : 265 Pageviews.
Share
Tweet
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [
?
]
Webmaster - BlogGang
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
Bloggang.com