กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
16 กันยายน 2567
space
space
space

ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๒


235 ตอนที่ ๓ มาแล้ว  450 ยังมีตอนที่ ๔ อีก  11    เห็นท่าจะยาวเกินอ่านปวดตา จึงมี  "รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๒"  จะได้อ่านง่ายๆ  



- เรื่องเล่าประสบการณ์ภาวนาแบบสติปัฏฐานสี่ที่ได้เรียนมากับหลวงพ่อปราโมทย์ ตอนที่ 3

-> ขณะที่ยังปฎิบัติอยู่ ผมทำทุกขณะจิต ตั้งแต่ตื่นนอนก็รู้  ลุกจากเตียงก็รู้  เกืดอะไรขึ้นในจิตก็รู้ คิดก็รู้ รู้ว่าคิด คืดแล้วดับ สัญญาเกิดก็รู้ รู้สัญญาสัญญาก็ดับ เกิดเวทนาก็รู้ เมื่อรู้เวทนาก็ดับ เผลอไปคิดยาวก็รู้ รู้เมื่อรู้แล้วก็ดับ มันเหิดดับอะไรก็รู้หมด ตอนนั้นเพียงแค่มีสติได้เร็วหรือช้าเท่านั้น แต่รู้ สักแต่ว่ารู้ จนหลับ ฝันยังรู้ว่าฝันเลย

และเมื่อเรารู้สึกตัวตลอดวัน  เวลานั่งสมาธิจิตจะนิ่งไวมากครับ  ถ้าใครอยากนั่งสมาธิให้จิตนิ่งไว ให้รู้สึกตัวมีสติตลอดวัน  แต่ถ้าใครชำนาญและจดจำสภาวะฌานได้จุดนี้ฝึกวสี เพียงนึกก็เข้าฌานได้เเล้วครับ

จนสังเกตุตัวเอง ว่า จิตมันนิ่งมาก  นิ่งแบบไม่มีกิเลสเข้าแทรกได้  เราเห็นทุกอย่างเกิด ตั้งอยู่ และดับไป  จิตไม่ส่งออกนอก  อยู่กับตัวเอง  มันมีเหตุและผลให้ตนเอง  มีความสุขมาก เป็นอย่างนี้ จนรู้สึกดี  ใช้ชีวิตได้ปกติ  เวลาดูหนัง ดูข่าว จิตจะนิ่ง ไม่มีวิจารณ์ข่าว ไม่มีวิจารณ์หนัง บางทีดูไป จิตจะรวมเป็นจุดเดียวกันตั้งมั่นในร่างกายเอง ดีจังอาการนี้

ตอนนั้นคิดว่าเราจะทำแบบนี้ไปตลอดชีวิตก็ดีนะ  พลังตกก็นั่งสมาธิ  รู้สึกตัวไปตลอด ไม่ทะเลาะกับใคร เมื่อมีโกรษ โลภ มีอยาก มันมีสติและสมาธิคอยตัดกิเลสนี้  ลงที่อุเบกขาทันที เสมือนมีปัญญที่เห็นไตรลักษณ์

จนไปหาพระอาจารย์ปราโมทย์ ที่วัด ท่านพูดคำเดียวกับผมว่า  "รู้สึกตัวให้มากนะ"  ผม งง และได้คุยกับครูบาม่อน ท่านก็บอกว่า รู้ความหมายของหลวงพ่อหรือเปล่า กับคำว่ารู้สึกตัวให้มาก  ผมบอกได้เลยว่าไม่รู้ครับ  ตอนนั้นไม่มีความคิดครับ  จะคิดต้องคอยไปนึก  มันลำบากที่จะคิดจึงไม่คิด เพราะจะคิดต้องใช้กำลังเพื่อให้มันคิดครับ

จนกลับมาบ้าน  แล้วผมก็เกิดคำถามใหม่ว่า  ทำไมต้องรู้สึกตัวนะ  แต่สิ่งนี้ทำให้ผมได้ฉุกคิด และสังเกตุตนเองอีกครั้ง กับการรู้สึกตัว เพราะมันมีเบื้องหลังของกิเลสที่เรายังไม่รู้

ครั้งนี้ทิ้งการดูขันธ์เวทนา สัญญา สังขาร แต่ดูที่กาย
เดินก็รู้ ยกมือก็รู้ เคี้ยวข้างก็รู้ หายใจก็รู้ กินน้ำก็รู้ มองรถก็รู้ ได้กลิ่นก็รู้ แต่ครั้งนี้ รู้ที่กาย อ้าว สิ่งนี้เคยทำสมกับเด็กๆนี่ แบบหลวงปู่เทียนเลย ทำอยู่ 3 วันเต็มๆ จนจิต

มันบอกว่านี่ไงสติ  ผมเห็นสติในจิตแล้ว   ผมโง่อยู่นาน  เห็นว่าสิ่งนี้คือสติ  มันเกิดแว๊ปเดี๋ยวในขณะที่รู้สึกตัว  แล้วมันก็จะวิ่งไปที่อื่น  แล้วรู้อีก   เกิดอะไรก็รู้  ทั้งอายตนะภายนอกสู่ภายใน

จุดนี้เมื่อผมรู้จักคำว่าสติที่ชัดเจนสิ่งนี้คือสติชัดเจน   ผมกลับมาทบทวนตนเองว่า  สิ่งที่เราปฏิบัติมาคืออะไรบ้าง

1. ผมสังเกตุว่า  การที่เรามีสติระลึกรู้  คือขนิกสมาธิ   (เพียงช้างกระดิกหู)   เมื่อใดที่รู้ คือสิ่งนั้นดับไป เมื่อดับไป จิตจะไม่ไหลหยุดการต่อเนื่องของจิต  เป็นการทำลายความต่อเนื่อง หรือเรียกว่าสันตติขาดของจิต  (จุดนี้อาจจะลึกเกิดไปก็ข้ามได้ครับ)  และถ้ารู้แบบต่อเนื่อง  มีขณิกสมาธเพียงเล็กน้อย  แต่ต่อเนื่อง  มันคือจุด จุดจุด  มีเยอะจนกลายเป็นเส้นตรงได้ มันจะกลายเป็นสมาธิโดยอัตโนมัติ

2. ผมสังเกตุตนตอนที่ปฏิบัติแล้วมีแต่ความสุข  กิเลสเข้าไม่ได้  มันมีสติคอยบอกตนเองตลอดเวลา จิตไม่ส่งออก หยุดการคิดใดๆ มีสังขารปรุงแต่ง  แต่จะปรุงแต่งเมื่อใด  สังขารนั้นโดนตัด จากการมีสติ  แต่เมื่อใดเราทำจนชิน ชำนาณ จะกลายเป็นการทรงฌาน   (ฌาน  แปลว่า ความเคยชิน)  มันจะเคยชินกับการไม่คิด  เมื่อไม่คิด  กิเลสเข้าไม่ได้  จุดนี้มันกลายมาเป็นสมถะทันที ไม่เกิดปัญญาที่เห็นธรนมตามความเป็นจริง  กิเลสถูกกดข่มาไว้  แต่ไม่ทุกข์  เห็นการเกิดดับของจิตตลอดเวลา  มันตัด  อายตนะภายนอกที่ไม่ไปวิเครึสิ่งต่สงๆเข้ามากวนใจ  แล้วลงที่อุเบกขา ไม่มีการกฎจัดกืเลสและอนุสัยสันดารใดๆ  เพียงแค่ไม่ให้มันเกิด  และลงอุเบกขาด้วยไตรลักษณ์ (ต่อไปถ้าใครเจอแบบนี้ผมสามารถบอกได้ทางลัด แต่ต้องมีนิพพานเป็นอารมณ์จะดีมากๆลัดสั้นตรง)

ให้สังเกตุอีกอย่างของการทรงฌานคือ  ความจำจะหายไป  จิตไม่ยอมจำอะไร ทำอะไรก็ลืม จะคิดก็คิดไม่ออก จะคิดต้องใช้พลังในการคิด  บางครั้งมันจึงไม่ดึงสัญญามาใช้เพราะต้องใช้กำลังในการดึงสัญญา เพราะจิตมีสติมากเกินไป  มันจะตัด เวทนา สัญญา สังขาร ของมันเอง ไม่ได้รับการฝึกมา เพราะธรรมชาติของจิตคือรักสุขเกลียดทุกข์

อาการทรงฌานนี้สุขจริงๆ  ไม่ทุกข์ร้อนใด  สิ่งนี้เองที่พ่อแม่ครูอาจารย์ถึงเรียกว่า ติดสุข มันสุข ไม่ทุกข์  มองทุกอย่างเป็นไตรลักษณ์ทั้งสิ้น มีครบ เมตตา กรุณา ยิ้มแย้มแจ่มใส มีสติ ถ้าผู้ใดมีความรู้สึกแบบนี้   ให้ทวนตัวเองว่า  เมื่อเจอสภาวะใด ให้กลับมาดูจิตดูใจว่า ปัญญาลงที่ไตรลักษณ์และอุเบกขาหรือไม่ ถ้าใช่นั้นคือฌานครับ เพราะกิเลสในอุปาทานยังไม่โดนจัดการ เพียงกดข่มไว้เท่านั้น

3. จุดนี้  ทำให้ผมแยกสติและสมาธิได้ขาดออกจากกัน  ว่าสภาวะนี้คือสติ  ว่าสภาวะนี้คือสมาธิ ทำแบบนี้บ่อยๆกลายเป็นฌาน  จิตมันแยกเองโดยเราไม่ต้องคิอ  มันจะบอกมันเอง

4. เมื่อเราแยกขันธ์ทั้ง 4 ขาดอกจากจิต คือ กาย เวทนา สัญญา สังขารการปรุงแต่ง และเห็นการทำงานของขันธฺ์ 5 ขัดเจน  เราจะรู้ทิศรู้ทางในจิตของเราว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับจิตบ้าง  จนผมแยกระว่างการปรุงแต่ง  (คือเราคิด) กับ วิปัสสนา   (คือจิตเห็น) เพราะผมยึดหลักที่ว่า เราฝึกจิต แต่เราเพียงป้อนสัญญาใหม่ให้กับจิต  อาจารย์หลายท่ายจึงบอกว่า  ไม่ต้องไปแก้จิต  ยิ่งแก้ยิ่งมีกิเลส  ให้เพียงรู้และดูมัน  รู้ทันมันอย่างดี

มาถึงจุดนี้ผมอยากบอกว่า  เมื่อก่อนผมไม่เคยเชื่อเรื่องของพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเลย เมื่อก่อนคิดว่ามันงมงาย  ไร้สาระ  แต่มาถึงจุดนี้  ผมเห็นแล้วว่า พระพุทธเจ้าท่านทรงปรีชาความสามารถที่ท่านได้ทรงรู้จุดนี้ รู้ทะลุปุโปร่งของจิต และบัญญัติเป็นคำสอนเพื่อให้คนรุ่นหลังมาปฏิบัติตาม และมีพระสงฆ์ที่สืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้  เพราะผมทำแล้วเห็นแล้วครับ ผมเชื่อเเล้วครับ ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเป็นเรื่องจริง  สิ่งนี้ไม่ใช่ความคิด แต่สิ่งนี้คือจิตมันเห็นครับ

และจุดนี้ในตอนนั้น  ผมยังไม่เกิดปัญญาญาณเลยสักนิดนึ่งครับ  กิเลสหยาบๆยังพอเห็น  เห็นตอนเกิดและดับ  ยังไม่เห็นถึงรากเหง้าที่มันยึดอยู่  กิเลสละเอียด  อนุสัยสันดานเดิม  ความกลัว มานะ ทิฐิ พยาบาทตนเอง  นันทิ  ตัณหา  อาลัยอาวรณ์  อุปกิเลส  จุดนี้ละเอียดมากยังไม่ได้กล่าวถึงเลย  ที่จะนำไปสู่ทางสายกลางที่ไม่มีแบ่งแยกใดๆ ไม่มีการตัดสิน  ไม่มีถูกผิด  ดีเลว ไม่มีในจิตใจเลย

ที่แบ่งปันนี้ถ้าเทียบ 10 เต็ม เพิ่งเดินได้แค่ 3 สำหรับผมครับ เราจะเดินต่อให้เต็ม 10

ไว้มาเล่าต่อตอนที่ 4 ครับ

Facebook

- เห็นตอนเกิดและดับ 

235 ถ้าเห็นการเกิด ดับ ของรูปนาม เห็นถึงขนาดนั้นมันจบแล้ว ไม่มีอะไรจะพูดไม่รู้จะพูดว่าอะไรแล้ว  มันแค่นั้นเอง       107


- ตอน ๔ มาแล้ว เร็วดี มาเช้ามาเย็น


- จากตอนที่ 3 สู่ต่อตอนที่ 4 ในการสติปัฏฐานสี่ ของหลวงพ่อปราโมทย์ตอนสุดท้าย

- > การเกิดอะไรขึ้นในจิตก็รู้  คำนี้สั้นมาก แต่ความหมายมันลึกซึ้ง ที่ผมต้องรู้มันว่ามีสิ่งใดบ้างในจิต  มันเป็นอวิชชาของผม  ผมเป็นคนที่ตั้งคำถามมากมายจนพระอาจารย์หลายๆท่าน ไม่คุยกับผม เพราะไม่สามารถอธิบายว่าเป็นอย่างไร  และ บอกว่าผมละเอียดในธรรมมาก  แต่ด้วยจริตที่เป็นพุทธจริตแท้ คือไม่เชื่ออะไรใครง่ายๆ  จนกว่าจะพิสูจน์ได้เห็นจริงเท่านั้น ที่ยอมในธรรมที่เป็นธรรมจากผู้ที่ปฏิบ้ติจริงเท่านั้น  ผมไม่ใช่แก่ศรัทธาจริต

ตอนนี้ผมรู้สภาวะทรงฌานว่าเป็นอย่างไร ผมแยกระหว่างสติ และสมาธิออกจากกัน และแยกคำว่าสภาวะความเป็นจริงคือ การเป็นคนทั่วไป  ที่มีโลภโกรษ หลงอยู่ นี่คือความเป็นจริง นู้การทำงานของขันธ์ 5 ได้ เห็นไตรลักษณ์ชัดมาก  แต่ยังไม่ถึงไตรลักษณ์ที่ชัดเจน  แต่ทั้งหมดที่ทำมานี้ยังไม่เรียกว่าเกิดปัญญาเลย เป็นเพียงจักขุงและญานังเท่านั้น  ผมรู้ตัวทุกครั้ง

จะกำจัดกิเลสได้ ต้องรู้จักกิเลส และเห็นกิเลสว่าอยู่ไหน มาอย่างไร ไปอย่างไร อย่างชัดเจน เราจึงหาต้นตอของกิเลสนั้นได้  จุดนี้คือเบื้องหลังความคิดของเรา

เมื่อผมรู้แล้วว่า ผมติดสุข ติดในฌาน ที่ไม่มีความคิดตัดสังขารความคิดออก ผมจึงกลับมาสู่ สภาวะความเป็นจริง ให้เกิดความคืดนึกปรุงแต่ง ปล่อยจิตให้เป็นไปตามธรรมชาติของมัน รู้ เสพ รับเวทนา ปล่อยเวทนาให้เกิด ปล่อยสัญญา ปล่อยสังขารให้เกิด ปล่อยมันให้เกิดออกมาให้หมด

ทิ้งมันให้หมด สิ่งที่เรียนรู้มาเลิกปฏิบัติทุกอย่าง เหลือเพียงแต่รู้ที่เวทนา อย่างเดียว แต่ผมเปลี่ยนวิธีการรู้ใหม่ คือ

เวลาโกรธ  ผมปล่อยให้มันโกรษออกมา  แล้วผมเห็นความโกรษ นั้นเป็นตัวแดงๆ มีเขา 2 ข้าง มีแต่กางเกง ไม่ใส่รองเท้า แล้วมันก็หัวเราะผม  เวลาผมโกรษ  พอผมเห็นว่าผมโกรษ  ผมน้อมจิตไปหาสาเหตุมี่ผมโกรษ  ผมโกรษเรื่องอะไร  ทำไมผมถึงโกรษ  ผมยึดอะไรไว้ (สิ่งนี้คือ ปฏิโลม เอาผลไปหาเหตุ)  หาสิ่งที่ผมยึดคืออะไร

เช่น เวลาผมทำอาหาร  ผมไม่ชอบให้ใครมายืนใกล้ซิ้งค์ล้างจาน เพราะผมอยากทำอาหารให้ไว มันจะหงุดหงิดทุกครั้งที่ใครเข้าใกล้  จะต้องรีบล้างกระทะ วันนั้นแฟนผมยืนใกล้ซิ้งค์ล้างจาน ผมด่าว่าแฟนผม  ที่ยืนใกล้ซิ้งค์ล้างจาน  ผมระเบิดมันออกมา  ผมเห็นโกรษตั้งแต่เริ่มทีละเล็กละน้อยจนโกรษใหญ่โต  จนหยุดทำอาหาร  จุดนี้เวทนามันแรงมาก  ผมเห็นตั้งแจ่มันเกิดตั้งอยู่และดับไปเอง  โดยที่ผมไม่ได้ตั้งใจดู  แต่มันดูของมันเอง  ไม่มีการทำหรือแทรกแซงจิตเลยแล้วจากนั้นผมน้อมจิตกลับไปดูตัวเองว่าจิตนั้นยึดมั่นอะไรอยู่

ทำไมเราไม่ชอบให้ใครยืนใกล้ซิ้งค์เพราะทำให้เราทำงานช้าลง ทำงานไม่สะดวก เกะกะการทำงาน เพราะยืนใกล้ซิงค์น้ำ แต่ถ้าไม่มีใครมายืนที่จุดนี้เราไม่โกรษ แล้วทำไมเราโกรษล่ะ (ปฏิโลม)

พอไล่มาถึงตรงนี้ จุดมันตะโกนบอกว่า  ก็เรายึดซิ้งค์น้ำนี่เป็นของเรา ไง  "ซิ้งค์น้ำเป็นของเรา"

คำนี้คำเดียวมันทำให้จิตนี้สว่างเลยครับ ของเรา สิ่งนี้คือเบื้องหลังของจิตที่ยึด สิ่งนี้เป็นของเรา

จุดนี้คือจุดเปลี่ยนของชีวิตผมไปตลอดกาล

ผมเห็นมันแล้ว "อะไรที่เป็นของเรามันคือทุกข์"  คำนี้ผมได้ยินมาเยอะแต่ไม่เข้าถึงคำนี้เลย (ตอนนั้นเริ่มเห็นคำว่า  "ของเรา"  แต่ยังตัดไม่ได้สักที  แต่ต่อมาผมตัดครั้งเดียวยกทุกสิ่งที่เป็นของเราทีเดียวขาดไปเลย  (เมื่อจิตเห็นปฏิจจสมุปบาทในนามรูป)  จุดนี้ไว้กล่าวในตอนต่อไป

จากนั้นผมเห็นซิ้งค์น้ำเมื่อไหร่ผมได้ยิ้มในใจกับกิเลสตัวนี้ และ ต่อจากนั้น ผมไม่ขุ่นใจกับเรื่องนี้อีกเลย เพราะจิตมันรู้แล้วว่าเราโกรษเรื่องอะไร  มันหมดความยึดมั่นถือมั่นไปเอง เราไม่โกรษเรื่องนร้อีกแล้ว

จุดนี้หลายคนคงมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับผมมันคือจุดเปลี่ยนของชีวิตผม เพราะผู้รู้วิธีในการกำจัดกิเลสให้ออกจากจิตจากใจได้แล้ว และมันไม่กลับมาเกิดใหม่ได้อีกแล้ว

กิเลสตัวต่อไป  ผมก็จะต้องทำแบบนี้อีก  คือให้มันเกิดให้มันออกมา ป ล่อยให้มันปรุงแต่ง เราจึงเห็นว่าเรายึดอะไรอยู่  ตอนนั้นสนุกมากๆกับการหากิเลสตัวนี้

แต่จุดนี้ต้องบอกว่า ทุกข์มาก  สู้กับกิเลสตัวเองสุดๆ ร้องไห้ไปหลายรอบ  ชนะบ้างแพ้บ้าง บ้างครั้งท้อมาก  ท้อจนอยากเลิกทำ  แต่เพียงคิดง่าจะเลิกทำ  เสียงของ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็บอกว่า

"อย่าเสียชาติเกิดนะลูก"  คำพูดนี้มันก้องอยู่ในหัวผมในขณะปฏิบัติ และอดทนสู้กับมัน มีล่ะตัว ทีละตัว จนช่วงนั้น

แต่ผมสังเกตุตนตลอด ตอนที่สู้กิเลสไม่ไหวเพราะสติหมดกำลัง  ต้องหยุดปฏิบัติกลับมาสร้างกำลังสติ

แต่ถ้ามองไม่เห็นสิ่งที่ยึดมั่นในกิเลส  แสดงว่าสมาธิไม่พอ  จนผมรู้ว่า สิ่งไหนอ่อนจะเติมสิ่งนั้น  ให้สมดุลระหว่างสมาธิและสติ  ที่ต้องเดินคู่กัน

หรือแม้แต่สัญญาเก่าเราผุดขึ้นมาในหัว  ถึงคนนี้ที่เราเคยเกลียด  ไม่อยากคุยด้วย ผมก็ปฏิโลม หาเหตุที่เราเกลียด  ทำไมเราถึงเกลียด ไล่หาลงไปว่าเรายึดสิ่งใดในจิต เสมือนซิ้งค์น้ำเป็นของเรา เมื่อใดเจอสิ่งที่ยึดแล้ว เวลาคิดถึงคนนั้นจะไม่มีฮาการโกรษใดๆในจิตให้ขุ่นมั่วอีกเลย

จุดนี้คือการกำจัดกิเลส ให้ออกจากใจโดย หาสาเหตุ เบื้องหลังความคิด ที่จิตนั้นยึดมั่นถือมั่นไว้ หาให้เจอ เมื่อหาเจอแล้ว สิ่งนี้จะไม่มากวนใจอีกได้เลย

จนปฏิบัติไปปฏิบัติมา จนเห็นว่าสิ่งที้งหลายทั้งมวลที่เกิดทุกข์นี้มันเป็นความผิดของเราเอง เราทำเอง ไม่มีใครทำให้เราทุกข์ เราผิดหมดทุกอย่าง คนอื่นนั้นไม่ผิดเลย เรานี่แย่มากๆที่ได้กระทำในสิ่งต่างไปที่ทำให้คนอื่นทุกข์ และเราทุกข์ด้วย

สุดท้ายเราผิดเอง ไม่มีใครผิด จิตมันเห็นสิ่งนี้ได้ด้วยตนเองครับ  แต่ยังไม่จบ  เพราะสิ่งนี้เพิ่งเริ่มการปฏิบัติที่แท้จริงครับ เดินได้ 4 ใน 10 ยังมีสิ่งที่เจออีกมากมาย แต่ตอนนี้ผมได้รู้ทางเข้าของผมแล้ว

ไว้ต่อตอนที่ 5 ครับ ในเรื่องระลึกชาติ สวรรค์ บนความเป็นจริง


Facebook


- เห็นไตรลักษณ์แต่ยังหากิเลสอยู่   9   หาโทสะเจอะล่ะ  เวลาโกรธ  ผมปล่อยให้มันโกรษออกมา  แล้วผมเห็นความโกรษ นั้นเป็นตัวแดงๆ มีเขา 2 ข้าง มีแต่กางเกง ไม่ใส่รองเท้า แล้วมันก็หัวเราะผม  เวลาผมโกรษ

- ตอนที่ ๔ นี้หลวงพ่อฤๅษีลิงดำมาแล้ว 

- ตอน ๕ ระลึกชาติได้ ๗ ชาติ

Facebook


 


Create Date : 16 กันยายน 2567
Last Update : 24 กันยายน 2567 12:33:35 น. 0 comments
Counter : 76 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

BlogGang Popular Award#20


 
สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space