|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
- อันตรายที่ซ่อนอยู่ ต้องเห็นชัดด้วยปัญญาจึงละได้
- นั่งสมาธิแล้วตัวหด
- ง่วงเป็นอุปสรรคในการปฏิบัติธรรม ผ่านไปไม่ได้
- ไม่ใช่มองเห็นการนั่งเป็นสมาธิไป
- บีบกด VS เป็นไปเอง
- ฌาน
- ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๒
- ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๑
- ใกล้ตายจิตสงบง่าย
- สมถะวิปัสสนายาใจยามเจ็บ
- นั่งสมาธิวันละ 40 นาที 4 เดือนแล้ว ทำไมๆ
- นั่งสมาธิแล้วลมหายใจหายทำไงต่อ
- ภาวนา พุทธ/โธ โดยไม่ดูลมหายใจ
- อวิชชา คือความไม่รู้ตามความเป็นจริง
- เมื่อทุกข์ค้นหาเหตุกำจัดเหตุทุกข์ดับ
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกกลัวเหมือนกำลังจะตาย
- ถึงนิมิตแล้วจะผ่านไปได้อย่างไร ,
- ภาวนาตัวสั่น ตัวหาย ,
- โอภาส แสงสีสว่างไสว ,
- สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย
- ธรรมสากัจฉา โอภาส ,
- อาจารย์สำนักหนึ่งแนะวิธีบรรลุธรรม ,
- ทำกรรมฐานแล้วหูแว่วแก้ยังไงดีคะ ,
- ตัวอย่างแนวๆนี้พึงระวัง ,
- นั่งสมาธิเกิดปรากฏการณ์ทางจิตแปลกๆ ,
- ชีวิต ,
- นั่งสมาธิเหมือนมีอะไรกดดันที่คอ ,
- การนั่งสมาธิกับความคิด ,
- ร่างกายเหมือนคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ,
- ปฏิบัติโยงศัพท์ทางธรรม ,
- นั่งสมาธิมีเสียงในหัวหยุดความคิดไม่ได้ ,
- อ่านรู้สึก VS เข้าถึงรู้สึก ,
- กัดฟันสู้ VS สู้อย่างรู้เข้าใจ ,
- พื้นๆ
- ๒ แนวปฏิบัติ สมถะ กับ วิปัสสนา
- บริกรรมพุทโธเหมาะเริ่มต้น
- ทุกข์เป็นสภาวะด้านหนึ่งของชีวิต
- ธรรมชาติของชีวิต
- ทำสมาธินานๆ แล้วเห็นแสงมีจริงหรือครับ
- นั่งสมาธิตัวสั่นโยกเร็วแล้วหยุด ,
- มหัศจรรย์ ครั้งแรกในชีวิตกับการภาวนา
- ลมหายใจหาย อึดอัดทนไม่ไหว
- การนั่งสมาธิที่ถูกต้องต้องทำอย่างไร
- ถึงเป็นแฟนก็ทำแทนกันไม่ได้
- จุดตายโกก้า
- ความหมาย วิปัสสนา
- คอร์สโกก้า วันที่ 1-9
- คอร์สโกก้า วันที่ 10
- ปล่อยวางความแค้นในอดีต ได้ยังไง
- ตอนทำสมาธิ เห็นสิ่งที่ไม่ใช่คน
- มือ ลูกกะตา ปาก ขา ทั้งร่างกาย เคลื่อนไหวเอง
- กำหนดรู้ตามที่มันเป็น
- วิธีแผ่เมตตาจิต
- อยากหยุดความรู้สึกที่ไม่ดี
- จิตจะพัฒนาไปเรื่อย
- นั่งสมาธิแล้วเกิดนั่นนี่โน่น กลัวค่ะ ,
- นั่งสมาธิแล้วเหมือนโดนไฟช็อต
- นั่งสมาธิจงกรมแล้วอารมณ์ยังเหวี่ยงง่าย
- ไม่ใช่ฤทธิ์ เป็นกิเลส
- นั่งสมาธิแล้วเหมือนมีแมลงไต่
- นั่งสมาธิแล้วภาพ สัตว์ แมลงลอยให้เห็น ,
- ประสบการณ์จากการฝึกสมาธิ ,
- วิปัสสนูปกิเลส
- ฝึกเป็นอริยบุคคล ,
- หลักพระอรหันต์แท้ๆ
- นั่งสมาธิมีเสียงพูดเสียงสอน
- ออกจากสมาธิแล้วคิดอะไรไม่ออก
- จิตส่งเสียงคล้ายคนสวดมนต์
- จิตบอกให้หยุดหายใจ ,
- สภาวะปีติ ๕
- ประสบไตรลักษณ์อย่างไม่รู้เท่าทัน ,
- นั่งสมาธิแล้วร่างกายสั่นจริง
- นี่ใช้พุท-โธ
- หลักสอบอารมณ์ตนเอง ,
- ลมหายใจหาย ,
- ภาวนาแล้วรู้สึกตัวเองสกปรก ,
- ธงชัยอริยบุคคล
- นั่งสมาธิแล้วมีความสุขมาก
- สวดมนต์ เจอกิเลสมารคิดชั่วร้ายกับครูอาจารย์
- ปฎิบัติธรรมเอง แล้วทุกอย่างเปลี่ยนไป ,
- มิจฉาปฏิปทา ,
- นั่งสมาธิร่างกายคล้ายๆมวลสาร
- ธัมมุทธัจจ์ ๑๐
- เหมือนตัวหาย ,
- เหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นไปตามขา
- นั่งสมาธิ ฟุ้งซ่านมาก
- นั่งสมาธิแล้วมีแสงสว่างจ้าวาบเข้ามาในตา ,
- พอจิตเริ่มนิ่งๆ แขนขยับได้เอง
- เรากับสามีไปปฏิบัติธรรม แล้วสามีมีอาการเหมือนคนบ้า
- ต่อจากวิปัสสะนึก
- วิปัสสะนึก ,
- อารมณ์สมถะ - วิปัสสนา ,
- ลมหายใจหาย ไปไม่เป็น ,
- นั่ ง ส ม า ธิ แ ล้ ว เหมือนมีแมลงไต่ ,
- ทำสมาธิแล้วเหมือนจะขาดใจ ,
- วิธีล้างเจ้ากรรมนายเวรออก
- วิบเดียว
- จิตเกิด-ดับรวดเร็ว วิบ
- นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการชาๆตึงๆ ,
- ธรรมะไม่ถูกใจคน ,
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกมีลมเย็นพัดผ่านหลัง ,
- ธัมมะธัมโมโฮ่กันอยู่ได้
- นั่งสมาธิเห็นเป็นคนมาล้อม, กลัว ,
- กำหนดรู้ตามที่มันเป็นเพื่อให้รู้เห็นชัด ,
- นั่งสมาธิแล้วได้ยินเสียงคนพูด ,
- ตัวอย่างเทียบ กท. ล่าง ,
- เห็นนิมิตเทวดาพนมมือรับบุญ ,
- ขณะโทสะเกิดคนไม่รู้ ดับแล้วจึงรู้ ,
- นั่งสมาธิ-สวดมนต์ ได้ยินเสียงนั่นนี่โน่น ,
- รู้จัก อานาปานสติ
- อ่านเข้าใจแล้วต้องไปปฏิบัติ ,
- ชาวพุทธเข้าใจคำว่าธรรม ว่าหมายถึงอะไรกันบ้างเหรอครับ ,
- ภาวนา=ทำ. ทำ=ปฏิบัติ = ปฏิปทา ,
- ไม่ต้องตามหา เดี๋ยวมาเอง ,
- แสง สี เป็นต้นจะปรากฎเมื่อจิตเริ่มสงบ ,
- นั่งสมาธิ กับ บารมี ๑๐ ,
- เห็นการเกิด-ดับ ,
- ผู้ปฏิบัติแท้จะไม่หวั่นนิมิตใดๆ ทั้งทางกาย ทางใจ ,
- เป็นอารมณ์ที่เกิดจากจิตที่เป็นสมาธิแล้ว ,
- เห็นสัจธรรมแล้วทุกข์คลายเอง ,
- หากต้องการเข้าถึงความจริง มนุษย์ต้องเข้าใจตัวเขาเอง ,
- ขณะจิตบรรลุมรรคผล
- นั่งสมาธิ แ ล้ ว เ บื่ อ ทุกอย่าง ,
- ชอบถามธรรมะระดับแก่นกัน ,
- นั่งสมาธิแล้วหายไปทั้งตัว ,
- มีใครนั่งสมาธิแล้วเพี้ยน เป็นบ้าบ้าง ,
- นั่งสมาธิได้ยินเสียงสิ่งที่มองไม่เห็น ,
- สภาวะจากนั่งสมาธิตัวหาย กายสั่น ,
- กิเลสต้องเห็นชัดด้วยปัญญา
- ใช้ พอง-ยุบ เป็นกรรมฐาน
- ประสบการณ์ชีวิตเยอะ ธรรมารมณ์ก็เยอะ
- นั่งสมาธิแล้วรู้สึกเหมือนจะตาย เกร็งๆ
- อย่าฝืน อย่าต้านสภาวธรรม
- นั่งสมาธิเหมือนมีคนจับหน้าบิดไปมา ,
- ผู้ปฏิบัติดู Blog นี้แล้ว ดู Blog ภาคปฏิบัติด้วย
- ทำสมาธิแล้วได้ยินเสียงสวดมนต์ ,
- ตัวอย่าง ใช้พองหนอ ยุบหนอ
- ตัวอย่าง ไม่ใช้คำภาวนาใดๆ ,
- คำภาวนา ไม่ใช่สาระ
- นั่งสมาธินั่งดูลม พอจิตเริ่มนิ่งๆสงบ ,
- แยก สมมุติ กับ สภาวธรรม ให้ชัด
- ตัวอย่างใช้ พุทโธ
- ความหมาย สภาวธรรม ตัวอย่าง
|
|
|
|
|
รายนี้เล่าพอเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ดิฉันฝึกหัดนั่งสมาธิวิปัสสนาแนวทางท่านอาจารย์โกเอ็นก้า คือนั่ง ดูลมหายใจเข้าออกเฉยๆ ไม่บริกรรมและให้ ดูเวทนาที่เกิดในร่างกายแล้วให้ มีอุเบกขา คอร์สแรกที่ดิฉันไปศึกษาเรียนรู้เป็นเวลา 10 วัน และหลังจากนั้นดิฉันก็กลับมาปฎิบัติที่บ้าน สม่ำเสมอ วันละหลายครั้ง บางทีก็หลายชั่วโมงติดต่อกัน ล่วงเข้ามาประมาณเดือนที่ 3 ดิฉันมี อาการร้อนที่ร่างกายทุกส่วน และเกิดอาการ ปวดศีรษะเหมือนมีเข็มเป็นร้อยๆเล่มอยู่ในหัว บางที แข็ง ตึง มึน ทึบอยู่ในหัว จนยากที่จะอธิบาย จนขนาดต้องไปเอกซ์เรย์แต่ไม่มีอะไรผิดปรกติ อาการมันลงมาที่มือข้างซ้าย และ กรามบน ขมับ 2 ข้าง เหมือนมีกระแสไฟฟ้าวิ่งอยู่ตลอดเวลาเป็นที่ ทรมานมาก ระยะหลังมาดิฉันก็เลยนั่งบ้างไม่นั่งบ้าง เพราะปวดหัวเหลือเกิน บางอาการไม่สามารถบอกมาเป็นตัวอักษรได้ว่ารู้สึกอย่างไร อาการเป็นตลอด เวลา 2 - 4 ชั่วโมง ทั้งหลับทั้งตื่น ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ไปหาหมอฝังเข็ม ฝังมา 9 ครั้ง ไม่มีทีท่าว่าจะทุเลา อาการยังมีตลอด ดิฉันก็ได้แต่ อุเบกขา ทำใจไป คิดไปต่างๆนานา เวลานั่งก็ขออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ตอนนี้นับระยะเวลา เป็นมากว่า 2 ปี ได้แต่หวังว่าผู้รู้ทั้งหลายคงช่วยอนุเคราะห์คนมีกรรมคนนี้ด้วย ขอได้โปรดเมตตาช่วยด้วยนะคะ
ส่วนรายนี้เล่าละเอียดยาวจนต้องมีหน้า ๒
การรู้เห็นกรรมตัวเองจากการนั่งวิปัสนากรรมฐาน และเห็นแสงเมื่อทำสมาธิ
เรื่องจะยาวหน่อยนะคะ ฉันอยากเขียนมันขึ้นมา เพื่อเป็นข้อเตือนใจและเตือนถึงความอันตรายของการปฎิบัติสมาธิแบบที่ไม่เหมาะกับตัวเองให้คนที่อาจมีอาการเช่นเดียวกันรับรู้และระวังค่ะ
คุณเคยสงสัยว่าทำไมบางคนนั้นสมาธิแล้วแสดงอาการแปลกๆ ท่าทางหรืออะไรก็ตามที่ผิดแปลกไปจากปกติ หรือนั้นคืออาการที่เรียกว่ากรรมเก่าออก? หรือหลับตาแล้วเห็นโน้นนี้ แสงเอย ใดๆเอย มันคืออะไรกันแน่ ?
เรื่องนี้ค่อยข้างจะยาว คุณเคยได้ยินไหมคะว่ากรรมเป็นเรื่องที่ซับซ้อน ฉันกำลังจะเล่าเรื่องการประสบพบเจอสิ่งที่เรียกว่ากรรมตามสนอง อย่างทีละขั้นตอน ตั้งแต่จุดเริ่มกรรม จุดที่กรรมกำลังสะสมกำลังเพื่อสงผล และจุดที่ฉันทรมาณจากผลของกรรมที่ทำ และจุดที่ฉันหลุดพ้นกรรมนั้นมาได้อย่างมีสติ และเรื่องนี้ค่อนข้างอธิบายได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์
- ขอเริ่มเรื่องด้วยคำถามว่า แสงที่เห็นเมื่อหลับตาเมื่อทำสมาธิคืออะไร ?
หากลองตั้งคำถามนี้ในบอร์ดวิทยาศาตร์ก็จะได้คำตอบอีกอย่าง หากในบอร์ดที่เกี่ยวกับพลังจิตหรือการทำสมาธิก็จะได้คำตอบที่เหนือโลกอีกอย่าง ส่วนตัวฉันเองค่อนข้างชอบหลักการที่มีเหตุผลอธิบายได้ทางวิทยาศาสตร์ และเชื่อว่าศาสนาพุทธก็คือศาสนาแห่งปัญญา พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็เพราะการเฝ้าดูทุกสิ่งเกิด-ดับตามความเป็นจริง เกิดปัญญารู้แจ้งและดับทุกข์ได้ตามหลักอริยสัจ ๔ (ถ้าพูดผิดในข้อการตรัสรู้ขออภัยล่วงหน้านะคะ เนื่องจากอิงตามความเข้าใจตัวเอง) ดังนั้น ฉันจึงเป็นผู้ที่นับถือพุทธเพราะชอบหลักการที่มีเหตุและผลนี้
ปกติฉันก็นั่งสมาธิบ้าง (ไม่ประจำ) ก่อนนอน ระยะเวลาที่นั่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง โดยกำหนด พุธ เข้า – โธ ออก เอาสติจับที่ลมหายใจพร้อมคำบริกรรม และมีประสบการณ์ไปปฏิบัติติธรรมตอนเพิ่งเรียนจบ ป.ตรี แนวเจริญสติปัฏฐาน 4 ซึ่งก็ได้ประสบการณ์ที่ดี จากคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิเลยก็เหมือนจะเริ่มเข้าใจการทำสมาธิและการอยู่นิ่งๆดูลมหายใจเข้าออกได้มากขึ้น หลังจากนั้นก็ไปอีกครั้ง ฉันขอเกริ่นให้พอรู้คร่าวๆถึงประสบการณ์ที่มีว่าเคยทำสมาธิมาบ้างแล้ว และครั้งนี้คือการไปเข้าคอร์สฝึกสมาธิอีกครั้ง หลังไม่ได้ไปมาหลายปี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ค่ะ
เข้าเรื่องราวอันยืดยาวนับ 10 วันแห่งการปฏิบัติที่เปิดประสบการณ์ครั้งแรกที่ชีวิตนี้ไม่เคยสัมผัสมาก่อน มันมีทั้งความสุข และมันสร้างความทุกข์จนฉันรู้สึกเหมือนจิตวิญญาณสามารถดับจากร่างในนี้ได้ชั่ววินาทีใดวินาทีหนึ่ง
หลักสูตร 10 วัน คอร์สปฏิบัติติกรรมฐาน ที่ฉันรู้จากคนดังท่านหนึ่ง มันฟังดูน่าสนใจ ความคาดหวังก่อนไปคือแค่อยากไปฝึกตัวเองให้ตื่นเช้าขึ้น และมีสมาธิมากขึ้น โดยไม่มีความเข้าใจใดๆเลยกับวิธีปฏิบัติตแนวนี้ รู้แค่วิธีการคร่าวๆ ดูลมหายใจตามความจริง โดยไม่บริกรรม
1-3 วันแรก คือการเอาสติจดจ่อ ดูลมที่เข้าออกช่องจมูก แค่ดูตามความเป็นจริง ไม่มีคำบริกรรมใดๆ หนึ่งวันนั่งนานครั้งละ 1-1.5 ชั่วโมง/ครั้ง รวมทั้งวันคือนั่ง 11 ชั่วโมง ส่วนตัวฉันเองทำได้แค่ 9 ชั่วโมง นอกนั้นในชั่วโมงปฏิบัติในห้องพักก็มีแอบงีบบ้าง ฉันผ่านไปได้ด้วยดี มีสมาธิมาก ไม่ค่อยส่งจิตออกนอกไปปรุงแต่งเรื่องราวตามความเคยชิน
วันที่ 4 ช่วงบ่าย เริ่มต้นวิธีการสอนทำวิปัสสนา โดยให้เพ่งจิตดูเวทนาที่เกิดขึ้นตรงช่องเล็กๆบริเวณที่ลมหายใจ เข้า-ออก ให้สัมผัสว่าเห็นอะไรบ้าง เวทนาหยาบ-เวทนาละเอียด ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าต้องดูหรือเห็นอะไร ฉันเห็นแค่ลมหายใจตัวเอง ฉันคือผู้ปฏิบัติใหม่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่า สมาธิ กับ วิปัสสนาแตกต่างกันอย่างไร แต่ฉันก็ทำต่อไปเรื่อยๆ
และวิธีการก็เพิ่มขึ้นคือ
เคลื่อนย้ายสติให้เริ่มจับที่กลางหัว > เลื่อนต่อไปทั่วหนังหัว > หน้าผาก > คิ้ว > ตา > คอ > คอด้านหลัง > หลังส่วนบน-ล่าง > ทุกๆส่วนของร่างกายไล่จนถึงเท้า และไล่กลับขึ้นมาด้านบนใหม่ ทำแบบนี้ซ้ำๆ โดยนั่งสมาธิหลับตา จับความรู้สึกใดก็ตามให้ได้ เย็น ร้อน แสงสว่าง คัน อะไรก็แล้วแต่ ...
ฉันสัมผัสได้แค่ว่าเวลาหลับตาจะเห็นแสงสว่างเหมือนส่องมาจากหน้าผากด้านซ้ายและที่จุดบนอื่นๆ แรกเริ่มมันไม่เคลื่อนไหว ต่อมามันอาบไปทั่วหน้าผาก ทั้งที่ทั้งห้องไม่ค่อยมีแสงยิ่งหลับตาทำสมาธินานยิ่งเห็นชัด มันคือการเห็นชัดเจนเกินจะบอกแค่ว่ารู้สึก ฉันเคยเอาผ้ามาผูกตาให้มืดที่สุดเมื่ออยู่ในห้องพัก แม้ช่องระหว่างจมูกที่แสงรอดเข้าได้ก็เอาผ้ามาปิดเพื่อทดสอบเรื่องนี้ และแสงนั้นก็ค่อยๆสว่างขึ้นเช่นเคยเมื่อหลับตาทำสมาธิ เรื่องแสงนี้แม้แต่ตอนนั่งสมาธิที่บ้านแบบกำหนดดูลมหายใจที่จมูกก็เคยเห็นแสงแต่มันจางๆบางๆ บางทีมีบางทีไม่มี ก็ไม่รู้จริงๆว่าคืออะไร แต่ครั้งนี้มันชัดมาก และเคลื่อนที่ตามการนึกคิดหรือจิตฉันได้ คิดไปที่คิ้วมันก็ไปที่คิดแบบค่อยๆไหลแผ่ไป
วันที่ 5-6 ก็ดำเนินต่อไปเช่นวันที่ 4 แต่ฉันเริ่มมีอาการเมื่อจะนอน หัวสัมผัสถึงหมอนฉันเริ่มมีความรู้สึกมึนหัวอย่างแรง เหมือนมีการหมุนวนๆบนหัวแม้หลับตาก็ยังรู้สึกมึนๆอยู่สักครู่ก่อนมันจะหายไป อ่อ น่าจะเพราะนั่งหลับตานาน เลือดไปเลี้ยงหัวไม่พอมั้ง ฉันให้คำตอบตัวเองแบบส่งๆไป
ต่อวันที่ 7 ฉันไม่เคยรู้จักเวทนาละเอียดมาก่อน แค่รู้สึกว่าลมหายใจจะเบาลงเมื่อทำสมาธินานๆ อ.ท่านว่าลมหายใจก็ต้องละเอียดลงอยู่แล้ว เพราะร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว ฉันได้แต่แย้งในใจ ก็เสียงสอนในวีดีโอให้ให้สัมผัสอะไรก็ได้ แม้จะแค่ความธรรมดาที่ไม่พิเศษ สัมผัสไม่ได้ก็ไม่ต้องผิดหวัง ให้วางอุเบกขา
รู้ว่าลมออกร้อนกว่าลมหายใจเข้า ก็นับว่าดีแล้ว แต่เมื่อรายงานผลปฏิบัติติแก่อาจารย์ก็ถูกตำหนิว่า นี้มันวันที่ 7 แล้วทำไมถึงไม่มีความรู้สึกอะไรสักที ฉันเคยรายงานอาจารย์เรื่องว่าเห็นแสงไปก่อนหน้านี้ ท่านก็บอกไม่ต้องสนใจ ให้เคลื่อนความสนใจไปที่ส่วนอื่นๆต่อไปเรื่อยๆ ครั้งนี้ฉันเลยไม่ได้บอกท่านอีก
ดังนั้นฉันจึงพยายามเพ่งสติหรือสมาธิหรือจิต (แล้วแต่ใครจะเรียกเลยค่ะ) มากขึ้นจากที่เคยปล่อยรู้สึกสบายๆ เพื่อสัมผัสอะไรก็ได้ที่มันพิเศษๆในร่างกายนี้ให้เจอเหมือนคนอื่น จนในที่จุดฉันสัมผัสได้ถึงการเต้นตุบๆที่ช่องเข้าออกลมหายใจที่มีฐานเหนือปากบน ความรู้สึกมันเหมือนก้อนมนๆ คล้ายไข่ไซส์จิ๋วเล็กๆ เต้น ตุบ ตุบ ฉันดีใจมากในที่สุดฉันก็สัมผัสอะไรที่พิเศษได้ เวทนาที่ละเอียด
และฉันก็เคลื่อนสติหรือจิตไปที่ส่วนอื่นๆแล้วฉันก็สัมผัสมันได้เพิ่มขึ้นๆ การเต้น ตุบๆ มีทุกส่วนในร่างกาย ว้าวฉันทึ่งมาก เริ่มเข้าใจแล้วว่าผู้ที่สามารถรู้ถึงการทำงานของร่างการภายในโดยไม่เคยศึกษาเห็นการทำงานของตับ ไต หัวใจ เขารู้กันได้ยังไง จิตที่มีสมาธิสูงก็เหมือนกับการจดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นเวลานานพอ มันทำให้เราเห็นสิ่งที่ละเอียดยิ่งๆขึ้น นี่แค่การฝึกจับความรู้สึกที่ผิวหนังฉันยังสัมผัสได้ถึงชีพจรที่เต้นได้แล้ว
ในขณะที่กลับมาตั้งสติสำรวจที่หน้าจะเห็นแสงขาวค่อยๆไล่ไปฉาบตรงจุดที่ตั้งสติไปจับทุกครั้ง เช่น บริเวณปลายหางตาทั้งสองข้าง ฉันสัมผัสถึงก้อนตุบ ๆ ทั้งสองฝั่งที่หางตา และมีแสงกระจายจากจุดนั้น เหมือนการฉายไฟออกจากรูปทรงกรวย มันสว่างวาบและบีบเข้า สลับซ้ำๆอยู่แบบนั้น
ส่วนที่คิ้ว แสงนั้น จะฉาบปกคลุมไปทั้งคิ้วทั้งสองด้านก่อน จากนั้นจึงตามมาที่ก้อนมนๆ ตุบตุบที่ใต้คิ้วทั้ง 2 มันตุบๆตรงกระบอกตาทั้ง 2 ข้าง
แล้วก็ล่วงถึง 3 ทุ่ม คืนวันที่ 7
เมื่อจะนอนฉันสัมผัสได้ถึงเม็ดตุบๆที่หัวมันเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ฉันงงว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ได้หลับตากำหนดด้วยซ้ำ เหมือนร่างกายมันกำหนดรู้สิ่งนี้เอง และเมื่อลองพยายามละความสนใจจากหัวไปที่ส่วนอื่น ร่างกายส่วนอื่นเหมือนรับรู้พากับเต้นตุบๆ จนรู้สึกปวดไปหมดทั้งร่างกาย ฉันงงมากว่าสิ่งนี้เรียกว่าอะไร มันคือเพราะเราฝึกสมาธิมากซะจนจิตไม่ยอมถอนออกจากสมาธิแล้วไปเพ่งดูการเต้นของชีพจรเองหรอ ? แต่มันคือการรับรู้ที่เจ็บปวดทั้งร่าง ร่างที่มีจังหวะชีพจรเต้นรัวเร็ว
ฉันไม่รู้วิธีแก้ เพราะไม่เคยเจ็บแบบนี้มาก่อน เจ็บจากเม็ดเล็กๆที่เต้นไปทั่ว หรืออาการของฉันตรงกับที่วีดีโอบรรยาย จิตใต้สำนึกสื่อสารกับร่างการผ่านเวทนา แค่รับรู้ไม่ปรุงแต่งมันจะจบลง เพราะทุกสิ่งคือความอนิจจัง ควรวางอุเบกขาให้ได้
ฉันได้แค่กินยาแก้ไมเกรน ทั้งที่เมื่อลืมตาตื่นขมับด้านขวาที่มักปวดหัวข้างเดียวก็ไม่เต้นรัวขนาดนั้น มันไม่ใช่อาการไมเกรน มันเป็นอาการที่จะเกิดเมื่อมีสมาธิ แต่ดึกแล้วฉันไม่รู้วิธีแก้ได้แต่หลับตาลงข่มความเจ็บปวดเฝ้าดูอาการปวดที่หัวโดยตั้งจิตแค่ที่หัวดู เพื่อให้เจ็บน้อยส่วนที่สุดเมื่อทำเช่นนี้ร่างกายส่วนอื่นจะไม่ปวด (เช่นหากตั้งจิตไปที่มือ มันจะปวดทั้งมือ+ปวดหัว) ฉันเห็นการเกิดดับของเม็ดเล็กๆ แต่ละเม็ด มันเต้นรัว ตุบ ตุบ อยู่เช่นนั้นหลายเม็ดพร้อมกัน แต่มันจะมีเม็ดที่แรงสุดแรงเจ็บสุด เจ็บพอที่จิตจะไปเฝ้าดูมันเพียงจุดเดียว เฝ้าดูวางอุเบกขาจนมันหายไป แล้วจุดใหม่ก็ทำหน้าที่ทรมาณฉันต่ออย่างต่อเนื่องจนถึงประมาณตีสาม ค่อยหลับลงได้ และมันน่าแปลกมากที่ตื่นเช้ามาฉันไม่มีอาการไข้ขึ้น หรือปวดใดๆ มันรู้สึกโล่งและก็หน่วงๆ เหมือนมีทั้งสุขและทุกข์ผสานกัน
และเมื่อมันหายฉันจึงไม่ได้ไปถามอาจารย์ถึงอาการเมื่อคืน เช้า-ค่ำ ปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน คืนวันที่ 8 ก็มึนๆก่อนนอนอยู่บ้างแต่ก็หลับลง
วันที่ 9 ฉันปฏิบัติวิปัสสนาเช่นเดิมอย่างขยัน เรื่องแปลกช่วงเช้าฉันสัมผัสได้ว่าเมื่อหายใจเข้า มันจะมีลมสายหนึ่ง คล้ายแท่งเข็มแต่ไม่คม มันเย็นกว่าลมหายใจเข้าอื่นๆ เมื่อเคลื่อนผ่านรูจมูกด้านไหนด้านนั้นก็จะโล่ง และก็กลับมาทึบอีก มันก็เคลื่อนผ่านเข้ามาทางจมูกแล้วไปบรรจุที่ช่องอกด้านบน เป็นเช่นนี้ทั้งวัน อาการแปลกๆที่ฉันไม่รู้จัก ก็ได้แต่วางอุเบกขาเพราะพูดกับใครไม่ได้
จนล่วงสู่ 3 ทุ่ม เวลาเข้านอน วันนี้ฉันรู้สึกถึงแรงบีบทั้งร่าง มันมาอีกแล้ว การเต้นตุบๆ + หัวใจเต้นรัวอย่างน่ากลัว ความบ้าคลั่งในร่างกายทุกส่วน ไม่ว่าจะไม่สนใจหรือไม่สนใจมันก็ปวด
ฉันพยายามคิดถึงสิ่งอื่นเช่นเสียงนาฬิกา และหูก็เริ่มเต้น ตุบๆ +ใจเต้นรัว เพราะใช่ค่ะเราใช้หูฟังเสียง และเราฝึกมันทั้งวี่ทั้งวันผูกทุกส่วนในร่างกายไว้กับสมาธิจิต ฉันลืมตาตั้งใจมองเพดานตาก็เต้นตุบๆ หลับตาลงพยายามคิดไปเรื่องอื่นๆ คิดไปได้ไม่นานจิตก็เป็นสมาธิมาจับที่ลมหายใจเอง จนเริ่มปวดที่บริเวณจมูก มันอธิบายได้ยาก ฉันอยากจะสรุปให้ฟังว่า ฉันหนีมันไม่พ้น จิต + กายผูกกันอย่างแน่นหนา มีเพียงการคิดจินตนาการไปทั่วๆ ไม่ให้เกิดสมาธิความเจ็บปวดค่อยจางลง แต่เมื่อเจ็บปวดฉันมักคิดอะไรไม่ออกพยายามนับเลข นับ 1-15 แล้วสมองก็เริ่มตื้อ พยายามบวกเลขตั้งโจทย์ยากๆก็ช่วยทุเลาได้ชั่วคราว ฉันจึงตัดสินใจหลับตาลงเฝ้ามองดูความเจ็บปวด ทนเฝ้ามองดูจนเห็นการเกิด ดับ ของจุดที่เจ็บปวด แต่มันก็ย้ายที่ไปเรื่อย เหมือนเกิด-ดับ แบบไม่มีวี่แววจะหยุด ไม่ว่าจะบอกให้ตัวเองวางอุเบกขาสักเท่าไหร่
หวังว่ามันจะจบลงเช่นคืนวันที่ 7 แต่ไม่เลยค่ะ เมื่อจะกำลังจะหลับลงได้ ขาฉันกระตุกอย่างแรงจนต้องตื่น ไม่ขาก็แขน ไม่ก็คล้ายมีเสียงกังวานเรียกชื่อ 1 ครั้งดังๆจนตื่น
คคห. 3-1
เดิมเมื่อทำสมาธิดูลมหายใจ เข้า-ออก ไม่ก่อให้เกิดปัญหา
หลังจากวันที่ 4 บ่ายเริ่มวิธีดูร่างกายแทน แทบไม่กลับไปดูลมหายใจ มันคือการตั้งเงื่อนไขร่างกายแล้วค่ะ 9 ชม./วัน x 6 วัน ที่ทำวิธีนี้ วิธีเพ่งดูเวทนาที่จมูกว่าเกิดอะไรบ้าง (ในตอนนั้น ไม่ใช่แค่จิตที่ค่อยเฝ้าดู ลูกตาด้านในก็กรอกไปด้วย มันคือการสั่งสมเงื่อนไขความเจ็บปวด) จนเมื่อสัมผัสถึงการเต้นตุบ ตุบ ได้เมื่อใดก็ตาม กระบวนการร่างกายที่ผิดปกติมันตามมา เหมือนคนอาการผวา เหมือนการสร้าง Condition การหลั่งน้ำลายของสุนัข ในการทดลองทางจิตวิทยา สมองเรามันตีความว่าต้องเจ็บ
ไม่แน่ใจว่าเราพูดเคลียร์ไหม แค่จะจับลมหายใจก็ทำแค่นั้นไม่ได้ มันบวกการรับรู้ที่จมูกแถมไปด้วย
คคห. 3-3
ก็ตามวิธีที่คอร์สอนอบรมค่ะ ดูเวทนาที่ผิวหนัง ไล่ไป ทุกส่วน ขึ้นลง ให้ดูว่ารู้สึกอะไร ดูวนซ้ำๆ เราไม่มีความรู้เรื่องการปฎิบัติมากมายนะคะ เพิ่งเคยรู้จักวิธีนี้ก็แค่ทำตามที่ถูกสอน จนเกิดปัญหาเลยอยากเเชร์เรื่องที่พบเจอกับตัวเองให้ฟัง (แค่จะแชร์ว่าร่างกายทุกคนไม่เหมาะกับวิธีนี้)
ต่อวันที่ 10 วันสุดท้าย
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=06-12-2023&group=5&gblog=99
Create Date : 06 ธันวาคม 2566 |
Last Update : 30 มีนาคม 2567 12:01:46 น. |
|
0 comments
|
Counter : 265 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|
|