กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กุมภาพันธ์ 2566
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728 
space
space
10 กุมภาพันธ์ 2566
space
space
space

ธัมมุทธัจจ์ ๑๐

235 แค่โอภาส 450 ก็ติดกันงอมแงมแล้ว


วิปัสสนูปกิเลส    อุปกิเลสของวิปัสสนา  ได้แก่   ธรรมารมณ์อันน่าชื่นชม  ที่เกิดแก่ผู้ได้ตรุณวิปัสสนา    ทำให้เข้าใจผิดว่าตนบรรลุมรรคผลแล้ว    เป็นเหตุขัดขวางไม่ให้ก้าวหน้าต่อไปในวิปัสสนาญาณ (บาลีเรียก ธรรมมุธัจจ์ ความฟุ้งซ่านธรรม) มี ๑๐ อย่าง  คือ     

      ๑. โอภาส    แสงสว่าง   ซึ่งรู้สึกงามเจิดจ้าแผ่ซ่านไปสว่างไสวอย่างไม่เคยมีมาก่อน 

      ๒. ปีติ    ความเอิบอิ่มใจ   รู้สึกเต็มเปี่ยมไปทั่วทั้งตัว  (สภาวะของปีตินี่พิสดารมากๆ)

      ๓. ญาณ    ญาณหยั่งรู้ที่เฉียบแหลมคมกล้า  รู้สึกเหมือนว่าจะพิจารณาอะไรเป็นไม่มีติดขัด

      ๔. ปัสสัทธิ     ความสงบเย็น   เกิดความรู้สึกว่าทั้งกายและใจสงบสนิท  เบา  นุ่มนวล   คล่องแคล่ว   แจ่มใสเหลือเกิน  ไม่มีความกระวนกระวาย  ความกระด้าง  หนัก   ความไม่สบาย   หรือความรำคาญขัดขืนใดๆเลย 

      ๕. สุข    มีความสุขที่ประณีตละเอียดอ่อนลึกซึ้งอย่างยิ่งแผ่ไปทั่วทั้งตัว

      ๖. อธิโมกข์    เกิดศรัทธาอย่างแรงกล้าประกอบเข้ากับวิปัสสนา  ทำให้จิตใจมีความผ่องใสอย่างเหลือเกิน   

      ๗. ปัคคาหะ    ความเพียรที่ประกอบกับวิปัสสนา  ซึ่งพอเหมาะพอดี    เดินเรียบ   ไม่หย่อนไม่ตึง   

      ๘. อุปัฏฐาน    สติที่กำกับชัด   มั่นคง  ไม่สั่นไหว  จะนึกถึงอะไร  ก็รู้สึกว่าระลึกได้คล่องแคล่วชัดเจน   เหมือนดังแล่นไหลไปถึงหมด
  
      ๙. อุเบกขา     ภาวะจิตที่ราบเรียบ   เที่ยง  เป็นกลางในสังขารทั้งปวง   

      ๑๐. นิกันติ       ความพอใจติดใจที่สร้างความอาลัยในวิปัสสนา  มีอาการ  สุขุม ซึ่งความจริงเป็นตัณหาที่ละเอียด  แต่ผู้ปฏิบัติไม่สามารถกำหนดจับได้ว่าเป็นกิเลส  

       ธรรมทั้งหมดนี้ (เว้นแต่นิกันติ ซึ่งเป็นตัณหาอย่างสุขุม)  โดยตัวมันเอง  มิใช่เป็นสิ่งเสียหาย  มิใช่เป็นอกุศล   แต่เพราะเป็นประสบการณ์ประณีตล้ำเลิศที่ไม่เคยเกิดมีแก่ตนมาก่อน  จึงเกิดโทษ  เนื่องจากผู้ปฏิบัติไปหลงสำคัญผิดเสียเองว่าเป็นการบรรลุมรรคผลนิพพาน เป็นฌานขั้นนั้นขั้นนี้คิดฟุ้งไป 

   

  

      ในพระไตรปิฎก  เรียกอาการฟุ้งซ่านที่เกิดจากความสำคัญผิด  เอาโอภาส  เป็นต้น  นั้นว่าเป็นมรรคผลนิพพาน  ว่า "ธัมมุทธัจจะ"  (ธรรมุธัจจ์  ก็เขียน)  แต่ท่านระบุชื่อ โอภาส  เป็นต้นนั้น  ทีละอย่าง โดยไม่มีชื่อเรียกรวม,  "วิปัสสนูปกิเลส"  เป็นคำที่ใช้ในคัมภีร์ชั้นอรรถกถาลงมา   (พูดสั้นๆ ธัมมุธัจจ์ ก็คือความฟุ้งซ่านที่เกิดจากความสำคัญผิดต่อวิปัสสนูปกิเลส)  

      
เมื่อวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้น   ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาน้อย  จะฟุ้งซ่านเขวไป   และเกิดกิเลสอื่นๆ ตามมาด้วย,  ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาปานกลาง  ก็ฟุ้งซ่านไป  แม้จะไม่เกิดกิเลสอื่นๆ   แต่จะสำคัญผิด,  ผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาคมกล้า   ถึงจะฟุ้งซ่านเขวไป แต่จะละความสำคัญผิดได้  และเจริญวิปัสสนาต่อไป,  ส่วนผู้ปฏิบัติที่มีปัญญาคมกล้ามาก  จะฟุ้งไม่ซ่านเขวไปเลย  แต่จะเจริญวิปัสสนาก้าวต่อไป   

       วิธีปฏิบัติต่อเรื่องนี้ คือ เมื่อวิปัสสนูปกิเลสเกิดขึ้นแล้ว  พึงรู้เท่าทันด้วยปัญญาตามเป็นจริงว่า    สภาวะนี้  (เช่นว่าโอภาส)  เกิดขึ้นแล้วแก่เรา    มันเป็นของไม่เที่ยง  เกิดมีขึ้นตามเหตุปัจจัย   แล้วก็จะต้องดับสิ้นไป ฯลฯ เมื่อรู้เท่าทัน   ก็ไม่หวั่นไหว  ไม่ฟุ้งไปตามมัน    คือกำหนดได้ว่ามันไม่ใช่มรรคไม่ใช่ทาง   แต่วิปัสสนาที่พ้นจากวิปัสสนูปกิเลสเหล่านี้    ซึ่งดำเนินไปตามวิถีนั่นแหละเป็นมรรคเป็นทางที่ถูกต้อง   

      นี่คือเป็นญาณที่รู้แยกได้ว่ามรรค  และมิใช่มรรค   นับเป็นวิสุทธิข้อที่  ๕  คือ  มัคคามัคคญาณทัสสนาวิสุทธิ   

      วิปัสสนาตั้งแต่ญาณเริ่มแรก (คือนามรูปปริจเฉทญาณ) จนถึงมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธินี้  ท่านจัดเป็นวิปัสสนาอย่างอ่อน (ตรุณวิปัสสนา)  ส่วนวิปัสสนาตั้งแต่พ้นจากวิปัสสนูปกิเลสเหล่านี้ไปแล้ว (จนถึงสังขารุเปกขาญาณ) จัดเป็นวิปัสสนาที่มีกำลัง  ที่แรงกล้า หรืออย่างเข้ม   (พลววิปัสสนา)  

       เมื่อปฏิบัติถูกทางแล้วธัมมุทธัจจ์เกิดแล้ว  ทางออก ดังนี้

       ทางออกหรือวิธีปฏิบัติเมื่อจิตเขวเพราะธรรมุทธัจจ์    คัมภีร์ปฏิสัมภิทามัคค์    อธิบายความหมายว่า   เมื่อผู้ปฏิบัติกำลังมนสิการขันธ์  ๕ อย่างหนึ่งอย่างใดโดยไตรลักษณ์  เกิดมี โอภาส    ปีติ ญาณ ปัสสัทธิ  สุข อธิโมกข์  ปัคคาหะ อุปัฏฐาน อุเบกขา หรือ นิกันติ ขึ้น  อย่างใดอย่างหนึ่ง   ผู้ปฏิบัตินึกถึงโอภาส เป็นต้น นั้น ว่าเป็นธรรม (คือเข้าใจว่าเป็นมรรค ผล  หรือนิพพาน)  เพราะการนึกไปเช่นนั้น    ก็จะเกิดความฟุ้งซ่านเป็นอุทธัจจะ   ผู้ปฏิบัติมีใจถูกชักให้เขวไปด้วยอุทธัจจะแล้ว    ก็จะไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง  ซึ่งสภาพที่ปรากฏอยู่    โดยภาวะเป็นของไม่เที่ยง  โดยภาวะเป็นทุกข์   โดยภาวะเป็นอนัตตา   ดังนั้น   จึงเรียกว่า   มีจิตถูกชักให้เขวไปด้วยธรรมุทธัจจ์  

      แต่ครั้นมีเวลาเหมาะที่จิตตั้งแน่วสงบสนิทลงได้ในภายใน    เด่นชัด   เป็นสมาธิ   มรรค  ก็เกิดขึ้นแก่ผู้ปฏิบัตินั้นได้    วิธีปฏิบัติที่จะให้จิตสงบเป็นสมาธิได้    ก็คือกำหนดด้วยปัญญา   รู้เท่าทันฐานะทั้ง  ๑๐   มีโอภาส  เป็นต้น  ซึ่งเป็นเหตุให้จิตกวัดแกว่งหวั่นไหวเหล่านี้    เมื่อรู้เท่าทันแล้ว   ก็จะเป็นผู้ฉลาดในธรรมุทธัจจ์    จะไม่ลุ่มหลงคล้อยไป   จิตก็จะไม่หวั่นไหว    จะบริสุทธิ์  ไม่หมองมัว   จิตภาวนาก็จะไม่คลาด   ไม่เสื่อมเสีย


235 แปะ กท. นี้เทียบไว้

ปฏิบัติบูชาองค์หลวงปู่จันทร์เรียน วันแรกที่วัดถ้ำสหาย - Pantip

ตอนผมบวชเป็นพระศึกษาธรรมกับหลวงปู่จันทร์เรียน วัดถ้ำสหายเมื่อปี 2559 - Pantip

กายเรา ความคิดเรา ล้วนไม่ใช่เรา - Pantip

การรู้เห็นกรรมตัวเองจากการนั่งวิปัสนากรรมฐาน และเห็นแสงเมื่อทำสมาธิ - Pantip

 


Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2566
Last Update : 24 กุมภาพันธ์ 2568 17:56:10 น. 0 comments
Counter : 421 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space