กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
14 กันยายน 2567
space
space
space

ตัวอย่าง รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น ๑



235 ตัวอย่างนี้ 450 เรียก "รู้ตามที่เราอยากให้มันเป็น"  นึกๆคิดๆเอาตามที่อยากได้อยากเอาอยากมีอยากเป็น  ไม่ใช่ของจริง   ไม่ใช่รู้ตามที่มันเป็น      9


- วันนี้มีเวลาว่างอยู่บ้างจึงขอเล่าประสบการณ์ตรงว่า

- > ผมได้อะไรจากการเรียนรู้ สติปัฏฐานสี่จากพระอาจารย์ปราโมทย์  เอาจริงตอนนั้นผมไม่รู้จักสติเลยก็ว่าได้   สติคืออะไร   อะไรคือระลึกได้  ได้แต่อ่านแต่ไม่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในจิตใจเราบ้าง ผมไม่รู้จักกับมันจริงๆ  มันแยกไม่ออก  ได้แต่รู้ในปริยัติ  ไม่รู้ในการปฎิบัติว่ามันเป็นอย่างไร จนได้ปฏิบัติจริง  ถึงจะแยกได้จริงจากการปฏิบัติ

โดยผมเริ่มจากเวทนา คืออารมณ์ทุกข์ที่มาจากการโกรษ  โมโห  มันเห็น  ง่ายที่สุดสำหรับผม ผมเป็นคนขี้โมโห เลยจับที่โมโห เมื่อใดหงุดหงิด  สักนิดผมก็จะรู้ตัวว่ากำลังโมโห หงุดหงิด เวทนานี้ก็ดับไปแบบเห็นๆเลยว่ามันดับ  เกิดเมื่อไหร่ก็รู้ ดับเมื่อไหร่ก็รู้

เดือนแรกผมเริ่มที่เวทนาตัวเดียว โกรษตัวเดียว  หงุดหงิดก็รู้  มันก็ดับไปเอง  ตอนนั้นสนุกมากๆ ที่เราหาตัวโกรษได้   ทำจนมันหายไป  (เวทนานุสติปัฏฐาน)

คำถามแล้วไงต่อ ล่ะ จิตมันบอกว่าก็ต่อด้วย  จิตตานุสติปัฏฐาน สิ   ตอนนั้นก็ไม่รู้หรอกว่าคืออะไร ทำแบบโง่ๆ คือ จิต มี เวทนา สัญญา สังขาร ที่เห็น

ผมเลยปฏิบัติ อะไรเกิดขึ้นที่จิตรู้ เวทนาเกิดก็รู้ สัญญาเกิดก็รู้ สังขารปรุงแต่งเกิดก็รู้ เช่น

เราโกรษก็รู้  แล้วมันก็ดับ  ถ้ามันไม่ดับมันไปต่อจะเห็นว่ามันกำลังคิด  เราก็รู้ว่านี่คือสังขารปรุงแต่ง เมื่อรู้ว่าปรุงแต่ง ปรุงแต่งก็หยุดไป

อยู่ๆจิตมันก็นึกถึงคนๆนึ่ง  พอนึกเราก็รู้นี่คือสัญญาความจำ  เมื่อเรารู้มันก็ดับไป  มันวนมาตลอดเวลาใน 1 วัน ผมทำทุกครั้งที่มีสติ  ทำตั้งแต่ตื่น  จนหลับ  หลับจนตื่น อยู่ประมาณ 2 อาทิตย์ รู้แค่ เวทนา สัญญา สังขาร เท่านั้น

(ตอนนี้นไปกราบพระอาจารย์ปราโมทย์  ท่านบอกว่า  ให้รู้ซื่อๆ  ผมเลยฝึกแบบรู้ซื่อๆ คือ รู้ว่าสิ่งนี้คือเวทนา  รู้ว่าสิ่งนี้คือสัญญา  รู้ว่าสิ่งนี้คือสังขารคิดปรุงแต่ง  รู้เพียงแค่นี้  อะไรเกิดขึ้นในจิตก็รู้)

วันหนึ่งในขณะดูจิตดูใจ จิตมันร้องตะโกนบอกว่า       121

"อ้าว เวทนา สัญญา สังขารนี่ไม่ใช่เรานี่หว่า"  สิ่งนี้มันไม่ใช่เรา

(จุดนี้ผมได้เรียนรู้จากหลายๆท่านบอกว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เรา  เเล้วท่องไปไก่เป็นนก แต่อย่างไรก็ดูก็ยังเป็นเรา  เราทุกข์  เรารู้  เราคิด ท่องอย่างไรก็เป็นเราอยู่ดี)  ผมมีคติ 1 ข้อ คือผมไม่โกหกตนเอง

แต่ตอนนี้ไม่ใช่  จิตมันบอกของมันเอง  มันเห็นเองว่า  ทุกข์ไม่เราทุกข์  สัญญาความจำมันก็ไม่ใช่เรา  ความคิดมันก็ไม่ใช่เรา  มันบอกของมันเอง

ทำให้ผมเห็นจิตว่าไม่ใช่เราด้วย

ตอนนั้น ผมก็มองหาว่า จิต เวทนา สัญญา สังขาร  นี้ อยู่ตรงไหนของร่างกาย ทำอย่างไรก็หาไม่เจอ  มันไม่ใช่สมอง  มันไม่ใช่ร่างกาย  ตอนนั้นหาไม่เจอว่ามันอยู่ตรงไหน

คืนนั้นผมก็นั่งสมาธิ  ผมก็เห็นจิตนี้ไปวิ่งจับที่กาย   มันก็กระโดดไปจับที่โน้นนี่นั้นของมันในร่างกาย   แล้วจู่ๆ มันไปจับที่ข้อแขนขวา  ช่วงเวลานั้นนิดเดียวมาก

ผมเห็นหนัง  โดนกรีดด้วยมีดคมกริบ  เห็นหนัง  เนื้อเอ็น  กระดูก  เส้นเลือด น้ำเหลือง ในข้อแขน มันน่าเกลียดน่ากลัวมาก  ภาพที่เห็นยังติดตาอยู่เลย

แล้วจิตมันก็ตะโกนบอกว่า  ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเรานี่หว่า  มันไม่ใช่เรา

จุดนี้เอง ทำให้ผมถึงบางอ้อ  

มันคือการแยกขันธ์ 5 เอง  แต่ตอนนั้นผมแยกได้ 4 ขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร แต่ตอนนั้นผมยังไม่เห็นวิญญาณขันธ์ว่ามันเป็นอย่างไร  แต่ในใจบอกว่าช่างมัน เดี๋ยวก็เห็น  ตอนนั้นจึงไม่สนใจ  (แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าวิญญาณขันธ์คืออะไร

ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นในจิตในใจผมรู้ ว่าสิ่งใดทำงานอยู่อย่างเห็นได้ชัดเจน

จุดนี้ทำให้ผมได้คำตอบกับตัวเองที่เมื่อก่อน  ผมถามกับตัวเองว่า ปวดท้อง อะไรปวด ท้องปวด หรือเวทนาปวด  สิ่งใดเป็นตัวปวดท้อง  ทำให้ผมรู้แล้วว่าอะไรปวด (ในเบื้องต้น)

สิ่งนี้คือประสบการณ์ส่วนหนึ่ง ยังมีอะไรที่ได้จากพระอาจารย์ปราโมทย์อีกเยอะมาก กับสติปัฏฐานสี่ ไว้จะมาเล่าให้ฟังในตอนที่ 2 ครับ

Facebook

235 ขำตอนจิตตะโกนบอกอ้าว  เวทนา สัญญา สังขาร กาย  ไม่ใช่เรานี่หว่า  มันไม่ใช่เรา  ใช่เท่านั้นจิตยังกระโดดไปเกาะแขนเกาะขาอีก       107 


134

- ตอนที่ ๒  มาล่ะ

- เล่าประสบการณ์การเจริญสติปัฏฐานสี่แบบหลางพ่อปราโมทย์ ในตอนที่ 2 ครับ

- > หลังจาการที่ผมแยกขันธ์ของจิตได้  จิตมันเเยกของมันเอง  เวทนาเกิดก็รู้ ดับก็รู้ สัญญาความจำเกิดก็รู้ ดับก็รู้ สังขารเกิดก็รู้ดับก็รู้  รู้มันไป สงสัยก็รู้ว่าสงสัย  จึงเป็นการรู้ซื่อ ๆ อยู่ 2 วัน กราบขอบพระคุณหลวงพ่อเทียนที่ให้คำจำกัดความนี้ครับ

รู้ซื่อๆ ง่ายครับ  แต่ทำยากอยู่  แต่ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้

แต่มีคำถามว่าแล้วไงต่อละ  ตอนนั้นจิดคิดถึงหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์

ไตรลักษณ์คืออะไร 3 ลักษณะหรือ เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป  สิ่งนี้มันเป็นทุกข์มันบังคับไม่ได้ ไม่เข้าใจ และไม่เข้าถึงมันด้วยในขณะนั้น  ได้แต่คิดวิเคราะห์ไปต่างๆนาๆ ว่าเป็นอย่างนี้โน่นนั้น คิดวิเคราะห์  ได้แต่คิดปรุงแต่งไปในขณะนั้น จิตมันบอกว่า นี่ไงหลงไปปรุงแต่ง  ผมสดุ้งกลับมามีสติ  อ้าว!!!! กรูหลงไปคืดเรื่องไตรลักษณ์นี่หว่า

ตอนนั้นผมเห็นว่าผมคิดเรื่องนี้  สังขารปรุงแต่งอยู่เรื่องไตรลักษณ์   แต่ผมได้ยินเสียงหลวงพ่อพุธ ท่านบอกว่า หยุดคิด เพื่อที่จะคิด เพราะความคิดนั้น เป็นทั้งสมถะ และวิปัสสนา เพราะวิปัสสนา ต้องอาศัยความคิด

(ผมถึงบางอ๋อ  ในสิ่งที่หลวงพ่อพุธบอก  หยุดคิดเพื่อที่จะคิด  เพราะวิปัสสนาต้องใช้ความคิดนี้เอง เป็นอย่างนี้นี่เอง และตอนนี้เรา  ผมจึงแยกพิจารณาว่า  สิ่งนี้คือปรุงแต่ง สิ่งนี้คือเดือนวิปัสสนาได้แยกออกจากกันว่าสิ่งไหนคือปรุงแต่งสิ่งใหนคือวิปัสสนา แต่จะรู้ได้ด้วยตนเอง )

จากนั้นผมสังเคราะห์ความคิดต่อโดยการ

ผมก็มาดูจิตดูใจตนเองต่อ ว่าคืออะไร มันคืออะไรจริงๆ ผมจะเข้าให้ถึงมันให้ได้

สิ่งที่ผมเห็นคือ ขันธ์ 4 รูป เวทนา สัญญา สังขาร ที่อยู่ในตัวของผม มันเกิดขึ้นมาตลอด และดับไปตลอด  เกิดดับตลอด  ฟุ้งซ่านก็รู้  รู้ว่าฟุ้งซ่าน ผมกลับมาทำสมถะ ตอนนั้นสังเกตตัวเองตลอด จิตไม่ส่งออกนอกเลย

จิตไม่ส่งออกนอก คือ เมื่อเรากระทบสิ่งใดๆที่เข้ามาในจิต แล้วเรา คิดวิเคราะห์ไปสิ่งนั้นคือ จิตส่งออก  เช่น  เราได้ยินเสียงคนข้างบ้านทะเลาะกัน และเราคิดว่าทำไมเขาถึงทะเลาะกัน ต้องทะเลาะกันเรื่องนี้  ภรรยาเป็นฝ่ายถูก  สามีต้องเป็นฝ่ายผิด สงสารลูกเขานะ บลาบลาบลา ไปเรื่อย นี้คือสิ่งปรุงแต่งที่จิตส่งออกนอกไปวิเคราะห์

แต่ถ้าส่งจิตไม่ส่งออกหมายถึง  เมื่อได้ยินเสียงทะเลาะ ของคนข้างบ้าน รู้ว่าทะเลาะกัน เรารู้สึกอย่างไรกับเสียงนี้ เกิดอะไรขึ้นในจิตบ้าง เรารู้เพราะมันกระทบเรา ไม่มีบุคคลที่ 2 และถ้าจิตมีคำถามให้ปล่อยมันถาม  ไม่ชอบการทะเลาะกัน ทำไมไม่ชอบ เพชรสะเกิดการขัดแย้งถึงทะเลาะกัน  ทำไมต้องทะเลสะกัน เพราะตัณหาคนงามอยาก  ที่ปักใจจะให้ดั่งใจตน พยายามบังคับ สิ่งที่บังคับไม่ได้ให้ได้ดั่งใจตน  จนไปเกิดกิเลส  คือความอยากให้เป็นดั่งใจเรา แต่่ไม่ได้ดั่งใจ จึงโกรธโทษะโมโห จากจิตใจ  (มโนกรรมเกิดแล้ว ต่อด้วย วจีกรรม ที่ด่าทอกัน ตามด้วยกายกรรม ทำร้ายกัน เพราะ ความหลง)

อย่างนี้เรียกว่า  จิตไม่ส่งออก และแถมมาด้วยวิปัสสนาญาณ  จุดนี้ผมสังเกตุว่า สิ่งนี้ก็คือปรุงแต่ง แต่เป็นการปรุงแต่งให้จิตรับรู้ถึง  กระบวนการของการเกิดกิเลสที่เกิดขึ้นในจิต ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร

ตรงนี้จะลงรายละเอียดเรื่อง กิเลส ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ ในปฏิจจสมุปบาทในคราวต่อไปครับ ถ้าไม่ลืม

เรามาต่อเรื่องตอนที่เห็นไตรลักษณ์ต่อครับ ในขันธ์ 4  ผมต่อครับ  เมื่อผมเฝ้าดูจิตเกิดดับ มันบังคับไม่ได้  เดี๋ยวมันก็เกิด  เดี๋ยวมันก็ดับเอง ไม่ต้องรู้มันก็เกิดเองดับเอง มันก็เป็นอย่างนั้นของมัน มันเป็นอย่างนี้ 2-3 วัน จนผมมองว่า เริ่มไม่ไปไหนแล้ว  แต่ช่วงนี้ผมจะเห็นสิ่งนี้จนชัดเจน

ผมเริ่มตั้งคำถามให้ว่า แล้วไงต่อล่ะ ไปอย่างไรต่อละ
จิตมันบอกว่า ก็หากิเลสสิ ใช่ ไปหากิเลสสิ เพราะตัวนี้เราต้องฆ่ามันให้ได้  แต่ถ้าจะฆ่ามันได้ เราต้องรู้จักกิเลสก่อนว่ามันคืออะไร และมันอยู่ตรงไหน

ครั้งนี้ ผมเฝ้าดูแต่กิเลส แล้วครับ โดยการปล่อยขันธ์ 4  ไม่สนใจมันแล้ว ทิ้งขันธ์ 4 ที่เฝ้าดูมาเป็นเดือน ไม่สนใจแล้วเพราะเห็นและเข้าใจมันเเล้ว  ครั้งนี้เป้าหมายคือเห็นกิเลสในใจตน

จุดนี้สนุกมากครับ ไว้เล่าในตอย 3 ครับ 

Facebook


235  ตอนที่ ๒ ทิ้งขันธ์ ๔ ได้แล้ว  จะตามหากิเลสคงสนุกอย่างว่าแน่ๆ    หลวงพ่อมาแล้ว ๓ องค์ คือ หลวงพ่อเทียน  หลวงพ่อพุธ หลวงพ่อเกษม 

 

 




 

Create Date : 14 กันยายน 2567
0 comments
Last Update : 16 กันยายน 2567 16:01:37 น.
Counter : 116 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space