กรรมเก่า คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ.เป็นเจ้าบทบาทเดิม จากนั้น การศึกษาอาศัยปรโตโฆสะ ซึ่งมีคติว่า "คนเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่ปรุงปั้น" และโยนิโสมนสิการ ซึ่งมีคติย้อนกลับว่า "ถ้าเป็นคนรู้จักคิด แม้แต่ฟังคนบ้าคนเมาพูด ก็อาจสำเร็จเป็นพระอรหันต์"
space
space
space
<<
กันยายน 2567
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
space
space
3 กันยายน 2567
space
space
space

สมถะวิปัสสนายาใจยามเจ็บ




235 ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ   แต่ถ้ามีโรคเป็นโรคแล้ว   การรักษาอย่างถูกวิธี + มีสมาธิมีปัญญาประเสริฐที่สุด


- ใช้ตัวอย่างนี้รับประกัน 450


- ความคิดเห็นที่ 10-1
  การทำสมาธิ ช่วยได้จริงๆค่ะ จิตใจเราจะไม่อ่อนแอไปตามโรค  ถ้าใจเราดีแล้ว เรื่องอื่นๆ แม้แต่เจ็บไข้ได้ป่วย ก็รู้สึกเฉยๆเลยค่ะ


235 สภาพกาย จิต สัมพันธ์ อาจแบ่งได้เป็น สามระดับ ตามขั้นของพัฒนาการทางจิต

     ขั้นต่ำสุด    ทุกข์กาย ซ้ำทุกข์ใจ คือ ผลต่อกาย กระทบจิตด้วย พอไม่สบายกาย ใจก็พลอยไม่สบายด้วย ซ้ำเติมตัวเองให้หนักขึ้น

     ขั้นกลาง    ทุกข์กาย อยู่แค่กาย คือ จำกัดขอบเขตของผลกระทบได้ ความทุกข์ความไม่สบายมีอยู่แค่ไหน ก็รับรู้ตามที่เป็นแค่นั้น วางใจได้ ไม่ให้ทุกข์ทับถมลุกลาม

     ขั้นสูง    ใจสบาย ช่วยกายคลายทุกข์ คือ เมื่อร่างกายทุกข์ ไม่สบาย นอกจากไม่เก็บไปก่อทุกข์แก่ใจแล้ว ยังสามารถใช้สมรรถภาพที่เข้มแข็ง และคุณภาพที่ดีงามของจิต ส่งผลดีกลับมาช่วยกายได้อีกด้วย


- เริ่มจากตรงนี้ไป  ยาวหน่อย  450

 
* เมื่อเราเป็นมะเร็งและเกือบตายเพราะเชื่อและรักษาตัวแบบผิดๆ  (สมาธิช่วยได้จริงๆ)
 
- เมื่อต้นปี 2558 เดือนมกราคม   เราตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเต้านมระยะ 2 และรักษาที่โรงพยาบาลภูมิพลและคุณหมอก็ได้ทำการนัดผ่าตัด วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ซึ่งคุณหมอก็หาคิวให้แบบเร็วที่สุด   (เราใช้บัตร 30 บาทในการรักษา)    ตอนพบหมอก่อนผ่าตัด หมอก็บอกว่า (หมอขออย่างเดียว อย่ากินยาต้ม หรือยาหม้อสมุนไพร นอกนั้นกินได้หมด หมอไม่ห้าม)

- ระยะเวลาก่อนที่จะผ่าตัด  เราจิตตกไปมากเลย  ไม่บอกใครว่าเราเป็นมะเร็ง  เก็บตัวอยู่แต่บนเตียงไม่อยากทำอะไร  ตื่นมาก็คิดแต่ว่า ฉันเป็นมะเร็งและทำไมต้องเป็นฉัน   ช่วงระยะเวลานั้นห่อเหี่ยวไปหมดเป็นอยู่ประมาณ 2 อาทิตย์

- ระหว่างรอที่จะผ่าตัด   เราก็ปฏิบัติธรรมเองที่บ้าน   เก็บตัวอยู่เงียบๆ ไม่อยากคุยกับใคร นั่งสมาธิและสวดมนต์  ตลอดเวลา   (วันหนึ่งๆ นั่งสมาธิหลายรอบ)    จนวันหนึ่ง  เราตื่นขึ้นมา และก็นึกไปว่า  เรายังไม่ตายนี่    ยังเดินได้ยังขับรถได้    ยังทำอะไรได้เหมือนเดิม  มะเร็งก็มะเร็งเถอะ  ใจมันไม่กลัวขึ้นมาเลยทีนี้   ย้อนหลังกลับไปดูตัวเอง ตอนที่รู้สึกห่อเหี่ยวหดหู่ มันช่างหน้ากลัวจริงๆ  คนที่พอรู้ว่าเป็นมะเร็งและถ้าท้อแท้ หรือจิตใจเศร้าหมอง และถ้าตกอยู่ในอารมณ์นั้นๆและคิดไม่ได้ มันหน้ากลัวมากๆ  พลอยทำให้โรคกำเริบไปด้วย

-  หลังจากที่เราคิดได้และใจไม่กลัว   เราก็หาหนทางที่จะรักษาตัวเอง   ตอนนั้นใจไม่อยากผ่าตัดเลยเราก็หาข้อมูลเกี่ยวกับโรคมะเร็ง   จนได้พบกับข้อมูลของเพื่อนทาง facebook ว่าการรักษาโรคมะเร็งเต้านม   ไม่ต้องผ่าตัดแต่ให้กินชาสมุนไพร และก้อนมะเร็งจะฝ่อ  (ลงรูปมีตัวอย่างผู้หญิงที่กินชาแล้วหายไม่ต้องผ่าตัดด้วย)  เราก็เลยโทรไปคลีนิคและสอบถามเกี่ยวกับการรักษาว่าต้องทำอย่างไรบ้าง

-  ทางคลีนิคก็บอกว่าการรักษาโรคมะเร็ง   ต้องปรับสมดุลย์ร่างกายต้องไปที่วัดล้างสารพิษ (เข้าครอสดีท๊อกร่างกายเดือนละครั้ง ครั้งละ 3 วัน)   ตอนนั้นเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะรักษาได้จริง เราก็บอกว่าถ้าเราผ่าตัดแล้วไปปรับสมดุลย์ร่างกายทีหลังได้หรือเปล่า   ทางคลีนิคก็บอกว่า ถ้าผ่าตัดแล้วการรักษาจะไม่ได้ผล   ต้องไม่ผ่าตัดการรักษาจะได้ผลดีกว่า  เราก็ยังไม่เชื่ออีกก็เลยเดินทางไปที่วัดเพื่อจะดูว่ารักษาได้จริงหรือเปล่า

-  เราได้เดินทางไปที่วัด   เพื่อจะได้ดูว่าน่าเชื่อถือขนาดไหน   พบพระที่จะทำการรักษาท่านก็บอกว่าไม่ต้องผ่าตัดให้ทานชาสมุนไพร   เดี๋ยวก้อนมะเร็งก็ยุบฝ่อไปเอง    ที่ทำให้เราเชื่ออีกก็คือมีผู้หญิงเป็นมะเร็งเต้านมที่รักษาตัวอยู่อายุมากกว่าเราคือ 60 ปี   (เราเรียกว่าแม่)  แกก็บอกว่าก็ไม่ได้ผ่าตัดรักษาตัวกับที่วัดมาล้างสารพิษทุกเดือน   เราดูแล้วแกแข็งแรงมากๆ พูดคุยสอบถามจนเราเชื่อว่าเป็นหนทางที่จะรักษาตัวเองได้ ไม่ต้องผ่าตัด

- ที่ทำให้เราเชื่อมากๆคือ  พระท่านบอกว่า  มะเร็งเป็นฤทธิ์ร้อนถ้าผ่าตัดแล้วต้องให้คีโมกับฉายแสง ซึ่งร้อนกับร้อนมาเจอกัน   เราก็จะตาย   ท่านยังบอกว่า   เราจะตายภายในห้าเดือน ถ้าหากว่าต้องผ่าตัดให้คีโม  เราจะไม่ตายเพราะมะเร็ง  แต่จะตายเพราะให้คีโมและยังบอกอีกว่า ถ้าผ่าตัดแล้วมะเร็งก็จะลามไปที่อื่นๆอีก  สรุปท่านว่าจะเจ็บตัวไปทำไม  ให้มาปรับสมดุลย์ร่างกายที่วัดทุกเดือน และกินชาสมุนไพรเดี๋ยวมะเร็งก็ฝ่อไปเอง   เราทั้งไปหาท่านที่วัด  ทั้งโทรศัพท์สอบถามหลายรอบ และอีกอย่าง  ที่วัดเราก็เห็นคนมารักษากับท่านมากๆและวัดก็ปลูกสมุนไพรเอง และมีทีมงานคลีนิคอยู่ที่กรุงเทพ ขายสมุนไพร

-  ณ ตอนนั้นเราไม่อยากผ่าตัดด้วย   ก็เลยทำให้เราตัดสินใจไปรักษาตัวกับทางวัดและไม่เข้ารับการผ่าตัด  มุ่งมั่นมารักษาแพทย์ทางเลือกโดยใช้ยาสมุนไพร และปรับสมดุลย์ร่างกายด้วยการดีท๊อกเข้าครอสรักษาตัว

-  วันที่ต้องเข้านอนโรงพยาบาล   เพื่อผ่าตัดตามหมอนัด  เราไม่ไปโรงพยาบาล  เราเลือกไปวัดอโศการาม สมุทรปราการ  ไปนั่งสมาธิ  ปิดมือถือทั้งหมด  (โรงพยาบาลโทรตาม เราเลยปิดมือถือ)

- หลังจากที่เราเลือกไม่ผ่าตัดและรักษาตัวด้วยวิธีนี้   คือ ทุกเดือนเราจะต้องเดินทางไปต่างจังหวัดเพื่อเข้าครอสล้างสารพิษ   (ปรับสมดุลยร่างกาย)    เดือนละครั้ง  ครั้งละ 3  วัน   (ดีท๊อกตับ ห้ามกินข้าวกินแต่สมุนไพร ระหว่าง3วัน)   และต้องกินสมุนไพรทุกๆวัน คือ ต้มเหมือนชากินแทนน้ำ และยาสมุนไพรอื่นๆ ที่ทางคลีนิคบอกให้กิน

ระหว่างเกือบปี   ที่เรารักรักษาตัวไม่ผ่าตัดกินสมุนไพร  ก็ห้ามกินเนื้อสัตว์ วันๆ เรากินแต่ข้าวกับผักผัดใส่ซีอิ้วขาว  (เป็นชีวิตที่ขำๆสิ้นดี เราก็เชื่อเหมือนคนโง่เลย)

เวลาที่ยาตัวไหนออกใหม่ๆ ทางคลีนิคก็จะให้เราซื้อกิน  จนเรากินยาเกือบหมดที่คลีนิคมี จนบางครั้งเราก็แปลกใจว่า   ยาหลายขนานมาก  และยาตัวไหนแน่ที่รักษามะเร็งจริงๆ ไหนจะต้องกินชาต้มแทนน้ำอีก  เราพกยาทีเวลาไปไหน  เป็นกระเป๋าเลย

-  ระหว่างนั้น   เราก็สังเกตก้อนเนื้อที่หน้าอกเราตลอดเวลา และได้ถ่ายรูปไว้ทุกเดือน จนเดือนกันยายน 2558 เริ่มก้อนเนื้อแดงขึ้น  ตุลาคมก็แดงกว่าเดิมขึ้นไปอีก   จนเราชักไม่แน่ใจ ก็ได้โทรสอบถามทางคลีนิค ซึ่งทางคลีนิคก็บอกว่า  ไม่เป็นไร  โทรไปที่วัด  พระท่านก็บอกว่า ไม่เป็นไร

จนปลายๆตุลาคม   มียาตัวใหม่ของทางวัดออกมา และทางคลีนิคให้เราซื้อมากิน ต้มกินผสมกับชา  เรารู้สึกว่า  มันร้อนในตัวมากๆ และที่ก้อนเนื้อก็เต้นตุบๆ  จนเรารู้สึกได้ พอโทรถามพระ  ท่านก็ว่า ให้กินเพิ่มเป็นสองเท่าเลย แปลว่ายาได้ผล

- เดือนพฤศจิกายน 2558 ก้อนเนื้อที่หน้าอก เริ่มแดงชัดมากๆ เหมือนเป็นฝีจะแตก และบางครั้งก็รู้สึกปวดลึกๆข้างใน  เราเริ่มไม่แน่ใจมากๆ  (ถ่ายรูปและส่งให้ดู)   และเริ่มมีน้ำใสๆ ซึมจากก้อนเนื้อ ทำให้แฉะๆ ที่หน้าอก

- เราโทรไปสอบถามกับพระว่าควรทำอย่างไรดี  พระท่านก็ไม่รับสายเรา  ได้แต่พิมพ์ทางข้อความ facebook ว่าไม่สะดวกรับสาย  ให้พิมพ์ถาม  เราเริ่มลังเลใจมากๆ ใจ  สุดท้าย ท่านก็พิมพ์บอกเราว่า แนะนำให้เราไปผ่าตัดและให้คีโม และค่อยกลับมารักษาตัวกับที่วัดใหม่

- เราโทรไปสอบถามกับแม่   ที่รักษาตัวเหมือนเรา  แกอยู่สุรินทร์  ว่ากินยาเหมือนกันแล้วอาการเป็นอย่างไร  แกก็บอกว่า  กินยาเหมือนกันเลย  อาการก็เหมือนกันร้อนข้างใน และแกก็ไม่ได้มาวัดแล้ว  เพราะว่า  นมแกมีเลือดไหล  พุ่งเป็นน้ำเลย  ลูกให้รักษาตัวที่โรงพยาบาล

เราเลยทิ้งยาสมุนไพรทั้งหมด  ไม่กินอะไรทั้งนั้น  ส่วนที่นม  ก็เริ่มมีน้ำเหลืองไหล และเป็นแผลแตกออกมา ต้องคอยซับน้ำเหลืองตลอดเวลา

- ความรู้สึกเราตอนนั้นเหมือน  ล้มทั้งยืน  เคว้งคว้างไปหมด และคิดว่าจะทำอย่างไรดีต่อไป เพราะสิ่งที่เชื่อและศรัทธานั้น ไม่ใช่สิ่งที่จริง  ผลสุดท้าย  ก็เหมือนหลอกลวง  หาความรับผิดชอบไม่ได้  ถ้ารักษาเราไม่ได้  ทำไมไม่บอกแต่แรก  พอมาทีนี้จะให้เรากลับมาผ่าตัด ซึ่งเราก็คิดว่า มะเร็งมันคงลามไปไหนต่อไหนแล้ว

- พระท่านให้คำมั่นสัญญาว่ารักษาหายแน่นอน  ท่านเอาตัวเป็นประกัน และเราก็คิดว่าเราเชื่อคือท่านเป็นพระไม่โกหกถ้าโกหกท่านก็จะบาปกรรมท่านจะหลอกเราทำไม อีกอย่าง ที่วัดก็คนก็มารักษาเยอะ คนก็รู้จักท่านเยอะ  (สรุปแล้ว เราโง่เอง ที่เชื่อมากเกินไป)


- หลังจากนั้นเราก็ได้ข่าวว่า   ผู้หญิงอีกคนที่มารักษาหลังเรา  แต่ตอนหลังลูกสาวไม่ให้มารักษาทางสมุนไพร  เอากลับไปรักษาที่โรงพยาบาล  แต่ว่าหมอรักษาให้ไม่ได้แล้ว  เพราะช้าไป ผลสุดท้ายก็คือตาย   ยอมรับกับตัวเองว่าคิดมากๆเลย  เพราะว่าตัวเองก็ไม่รู้จะเดินไปทางไหนดี

-  ตอนนั้นที่หน้าอกก็เริ่มเป็นแผล  มีน้ำเหลืองไหลตลอดเวลา และเริ่มมีกลิ่นเหม็นคาวมากๆ ต้องคอยซับน้ำเหลืองตลอด ตอนนั้นยังหาทางว่าจะรักษาตัวอย่างไรดี

- จนเดือนมกราคม 2559  อาการเริ่มไม่ดี  น้ำเหลืองจากใสๆ กลายเป็นน้ำเหลืองข้นๆ และขยายใหญ่ขึ้นเป็นวงกว้าง และรอบๆแผลเริ่มเปื่อยถ้าหากว่าโดนหรือสะกิดก็จะเลือดไหล  ต้องคอยซับทุกๆ 2 ชั่วโมง ทั้งปวดแผล ปวดลึกๆ ตุบๆ ในบางครั้ง

-  ปลายเดือนมกราคม 2559 เลยตัดสินใจ มาโรงพยาบาล พบคุณหมอคนเดิมที่เคยรักษาครั้งแรก   พอหมอเห็นแผลท่านก็ได้แต่ส่ายหน้าว่า    รักษาผ่าตัดให้ไม่ได้    เพราะแผลใหญ่เกิน   แถมท่านยังต่อว่าอีก  คือ หมอเคยขอแล้วใช่ไหมว่า  อย่าไปกินยาต้มยาหม้อยาสมุนไพร แต่คุณก็ไปกิน ไม่เชื่อหมอ

-  เราได้แต่นั่งร้องไห้ต่อหน้าหมอ   เพราะเราผิดเองที่ไม่เชื่อหมอแต่แรก  โรคเลยเป็นมากถ้าผ่าตัดตอนนั้น ก็คงไม่ทรมานแบบนี้

-  เราทรมานมากๆ จากเดือน มกราคม-พฤษภาคม ระยะเวลาเกือบ 5 เดือน  เราไม่เคยได้นอนหลับ (เราต้องใช้ท่านั่งหลับ เพราะถ้านอนราบ น้ำเหลืองจะไหลย้อนกลับทั้งเลือดด้วย)  เราต้องนั่งหลับเอา ทรมานสุดๆ ไหนจะเลือดไหล ไหนจะน้ำเหลืองไหลตลอด คิดย้อนไปแล้ว มันช่างน่าสงสารตัวเองจริงๆ

-  หลังจากที่ได้พบหมอเดือนมกราคม 2559 เราก็เริ่มต้นการรักษาใหม่หมดทางแพทย์แผนปัจจุบัน ยุ่งยากมากกว่าเดิม เพราะว่าต้องเช็คตรวจใหม่หมด และตรวจเช็คว่ามะเร็งลามไปที่ไหนหรือเปล่า  การรักษาตาม step คือ ต้องให้คีโมก่อน   (ทั้งหมด 8  เข็ม) เพราะก้อนเนื้อโตมากไม่สามารถผ่าตัดได้  คีโมก่อน 4 เข็มและดูว่าถ้าหากก้อนเนื้อเล็กลงก็สามารถผ่าตัดได้

- เราเริ่มให้คีโมเดือนกุมภาพันธ์ 2559 เข็มแรก  (ผมร่วง สุดท้ายเราเลยโกนผม)  จำได้ว่า เราโกนผมด้วยตัวเอง  ตัดให้สั้นแล้วค่อยๆ โกน ด้วยมีดโกนหนวด  (ผมเรายาวมากเกือบเอว)  โกนผมตัวเองไป น้ำตาก็ไหลไป มันไหลของมันเอง   ทำให้เราปลงกับสังขารว่า  มันไม่เที่ยงเลย

-  ให้ยาคีโมเข็มแรก   เรากินข้าวไม่ได้   น้ำหนักลดลงฮวบๆ ตรงหน้าอกที่ก้อนเนื้อก็น้ำเหลืองและเลือดก็ยังไหลตลอดเวลา มีกลิ่นเหม็นมากขนาดตัวเราเอง ยังทนตัวเองบางทีไม่ได้ เวลากินข้าวต้องปิดจมูกตัวเอง   (บางทียังนึกในใจว่าเพราะปล่อยไว้เชื่อคนอื่นมากกว่าหมอสุดท้ายเราเลยต้องเป็นอย่างนี้  สมน้ำหน้าตัวเอง)  ระหว่างให้คีโม  เราก็ขับรถไปเองที่โรงพยาบาล  จนพยาบาลถามว่า  มาคนเดียวเหรอ   (เราก็ตอบว่ามาคนเดียว)  ทำอะไรก็คนเดียว จนถึงวันผ่าตัด

-  ให้ยาคีโมเข็มที่สอง   เราเริ่มไม่แพ้   แต่น้ำหนักลดเหมือนเดิม ค่าเลือดก็ผ่านตลอด

-  ให้ยาคีโมเข็มที่สามถึงสี่  ก็ไม่แพ้  ค่าเลือดผ่านตลอด  ขับรถไปคนเดียวเหมือนเดิม ตรงก้อนเนื้อก็น้ำเหลืองไหลและเลือดไหลเหมือนเดิมและขยายวงกว้างกว่าเดิม   (เป็นแผลลึกเข้าไปข้างใน เราไม่กล้ามองดูตัวเองในกระจกเลย )

-  ระหว่างให้คีโม   ผลข้างเคียงของการให้ยาตามที่หมอบอกคือ นอนไม่หลับ และหลายอาการและหมอก็ให้ยานอนหลับ  ยาระบาย  ยาแก้แพ้และหลายยา   (จำไม่ได้ค่ะ หลายยามากๆ)  แต่เราก็ไม่ทานยาอะไรเลย  (เพราะเป็นคนไม่ชอบกินยาอยู่แล้ว)

-  ทีนี้เวลานอนไม่หลับ   ตาก็สว่างมากๆ  เราก็ใช้เวลานี้  ที่นอนไม่หลับ  นั่งสมาธิและเดินจงกลม ทำต่อเนื่องมากกว่าเดิม  (ปรกติเราก็นั่งสมาธิ ก่อนที่จะเป็นมะเร็งอยู่แล้ว)   เราไม่กินยานอนหลับ  สู้กับตัวเอง  ปฏิบัติธรรมอย่างเข้มข้น  คิดว่าถ้าตายก็ยอมตาย  อย่างน้อยยังมีลมหายใจอยู่   ก็เร่งความเพียรตัวเอง  ทุกลมหายใจนึกได้ก็  จิตใจจดจ่อแต่คำภาวนาพุทโธ

-  เราปฏิบัติต่อเนื่องแบบนั้น  เช้ามาก็ไม่เพียร  ไม่ง่วง  สดชื่นแจ่มใสดี  (เรานอนราบไม่ได้ ก็นั่งหลับวันหนึ่ง ๆ ไม่เกิน 3 ชั่วโมง)


227 ต่อ ความคิดเห็นที่ 7
 
-  ระหว่างที่ให้คีโม  เราก็นั่งสมาธิและเดินจงกลมตลอดเวลา จิตใจมันไม่กลัวความตายเลย คิดสู้กับสังขารตัวเองว่า   ตายเป็นตาย   ถ้าไม่ตายก็จะนั่งสมาธินี่ล่ะ จิตเราสงบได้ง่าย  ไม่เหมือนตอนที่เรายังไม่ป่วยเป็นมะเร็ง  บางทีพอให้คีโมกลับมาบ้าน  ตรงก้อนเนื้อจะปวดมากๆ ปวดมะเร็งนี่ ร้ายสุดๆ ทรมานมาก   เราไม่กินยาแก้ปวด    อยากปวดก็ปวดไป เรานั่งเพ่งดูความปวด  ทำสมาธิและเดินจงกลม พอเช้าความปวดก็หายไปเอง

- ระยะเวลาการให้คีโม จากเข็ม 1- เข็ม 4 เป็นระยะเวลาที่ทั้งทรมานร่างกาย  จากการปวดก้อนเนื้อมะเร็ง นอนราบปรกติไม่ได้   ต้องนั่งหลับเป็นระยะเวลาเกือบห้าเดือนที่นั่งหลับ  ต้องคอยเช็ดเลือดเช็ดน้ำเหลืองไหลตลอดเวลา  (เราไม่เคยไปทำแผลที่โรงพยาบาลเลย จนหมอแปลกใจว่าทำไมไม่ติดเชื้อ)  เพราะแผลใหญ่มาก เสี่ยงกับการติดเชื้อ

-  และระยะเวลาการให้คีโมนี้เองที่เราก็ปฏิบัติธรรมแบบเร่งความเพียรมากๆ จิตใจไม่ท้อแท้ตามร่างกาย  กลับสดชื่นในจิตใจลึกๆ   ทุกครั้งที่เรานั่งสมาธิ   เราแผ่เมตตาให้ตัวเอง และเจ้ากรรมนายเวร และอธิฐานว่า  เราไม่รู้ว่าเราทำกรรมอะไรไว้  แต่เราขอชดใช้ให้ ถ้าหากว่าไม่พอใจที่เราทำยังไม่พอคือนั่งสมาธิ  ก็เอาเราตายไปเลย  เราไม่กลัวตาย แต่ถ้าหากว่าเราไม่ตาย เราก็จะนั่งสมาธิต่อไป   (เราอธิฐานแบบนี้ทุกครั้ง)   และเราคิดว่าชีวิตที่เหลือคือโบนัสถ้าไม่ตายก็ จะสร้างบุญใส่ตัวไปเรื่อยๆ เพราะว่าตายแล้วอะไรเอาไปไม่ได้นอกจากบุญกับบาปเท่านั้น

- เวลาที่เรานั่งสมาธิ   เหมือนถึงจุดที่สงบแล้ว เราจะเพ่งไปที่ก้อนเนื้อ และแผ่เมตตาให้ตัวเอง ค่อยๆไล่ลมออกทางปลายเท้า

จนเราให้คีโมครบ 4 เข็ม ก็ไปหาหมอ  เราอยากให้หมอผ่าก้อนเนื้อมากๆ เพราะทรมานกับร่างกายที่น้ำเหลืองไหลเลือดไหลตลอด  แต่ก้อนเนื้อก็มีแผลใหญ่  พอพบหมอ หมอก็บอกว่าผ่าได้  แต่ก็ยังไม่อยากให้ผ่า   เสี่ยงกับการติดเชื้อมากๆ  เผลอๆ ผ่าเสร็จเราอาจติดเชื้อ และแผลอาจแยกได้ เพราะแผลใหญ่เกิน  (หมายถึงอาจตายได้)  แต่เราก็ขอร้องหมอว่า  เราไม่อยากทนกับร่างกาย  เรายอมเสี่ยง  ขอให้หมอผ่าตัดให้  ตายเป็นตาย  ใจเราไม่กลัวเลยตอนนั้น คิดแค่ว่า ทำอย่างไรก็ได้ ให้ผ่าตัดเอาก้อนเนื้อออกไป

จนคุณหมอยอมผ่าให้ทั้งๆ ที่ท่านก็ไม่อยากผ่า  วันที่ต้องมานอนโรงพยาบาลรอผ่าตัดอีกวัน เราก็มาคนเดียว   จิตใจรอคอยนับเวลาอยากให้ผ่าตัดเร็วๆ   เราก่อนออกจากบ้าน  เราหันกลับมามองบ้าน และคิดว่า  ถ้าไม่ตายก็จะกลับมาอยู่อีก  มองรถที่เราขับ  ถ้าไม่ตายก็จะกลับมาขับอีก (เราไม่เขียนหรือทำอะไรบอกใครทั้งนั้น)  คิดแค่ว่าถ้าตาย  ก็แบ่งๆกันไป  เพราะถ้าเราตายเราก็ไม่รับรู้แล้ว  มีคนที่รู้ว่าเราจะผ่าตัดอยู่แค่คนเดียว ซึ่งเราก็ได้บอกว่า ถ้าเราผ่าตัดแล้ว ภายใน 2 วัน ถ้าเราไม่ติดต่อ  ก็ให้ไปบอกแม่เราด้วย ว่าเราตายแล้ว

- เราเป็นมะเร็ง  เราไม่ได้บอกแม่ เพราะแม่เราแก่แล้ว  เป็นโรคหัวใจ  พี่น้องก็ไม่บอก เพราะไม่อยากให้เค้ามาทุกข์กับเรา มีแค่ 5 คนเท่านั้นที่รู้ และมีคนเดียวที่รู้ว่าเราผ่าตัด

- วันที่ผ่าตัด  จิตใจเราไม่กลัวเลย  คิดแค่ว่า  สู้กันไม่ตายก็รอด  เรานอนดูลมหายใจตัวเอง จนวินาทีสุดท้ายที่รู้สึก เห็นลมหายใจตัวเองเฮือกสุดท้ายตอนที่หมอฉีดยาสลบ และเราก็หลับไป

- ฟื้นขึ้นมา   เมื่อนางพยาบาลมาเรียก   เราไม่เจ็บแผลเลย  ไม่ปวดแผล  และเราโดนเลาะเนื้อหน้าขา มาปะที่เต้านมด้วย  แต่เราก็ไม่เจ็บแผลที่หน้าขาด้วย  เราผ่าตัดใช้เวลานานเหมือนกันเพราะต้องเลาะเนื้อหน้าขา และหมอต้องคว้านเนื้อร้ายให้หมด  แต่เราก็ไม่เจ็บแผล  หมอให้ยาแก้ปวดเรา  แต่เราไม่ปวดเราก็ไม่กิน   เราก็เก็บแอบใส่กระดาษทิชชุ่ทิ้ง  จนหมอแปลกใจว่า ทำไมไม่ปวดเลย  ทั้งๆที่เราผ่าตัดเยอะ และไหนจะโดนเลาะเนื้อหน้าขาอีก  ผ่าตัดได้ไม่ถึง 4 ชั่วโมง  เราก็เดินเข้าห้องน้ำเองได้   ลุกมากินข้าวได้เลย  เราก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไม ไม่เจ็บไม่ปวดเลย   (ทั้งที่ๆเราเตรียมใจไว้แล้ว และตั้งรับกับความเจ็บปวดที่จะต้องเจอ)
 

227 ต่อ  ความคิดเห็นที่  8

-  หลังจากผ่าตัด   ร่างกายเราก็แข็งแรงขึ้นตามลำดับ และไปพบหมอตามนัดหลังผ่าตัดประมาณ เกือบเดือนเพื่อที่จะต้องให้คีโมต่อ เข็มที่ 5-เข็มที่ 8 เราก็เตรียมใจไว้แล้วว่า ต้องกลับมาให้คีโมต่อ สู้กันต่อไป

- แต่เมื่อพบหมอที่ให้คีโม  หมอกับบอกว่าเราไม่ต้องให้คีโมต่อ  เพราะไม่ลามไปที่ต่อมน้ำเหลือง  (เราโดนเลาะต่อมน้ำเหลืองไปด้วยไม่รู้กี่ต่อม)  ค่าทุกอย่างเป็นศูนย์  เราไม่อยากจะเชื่อว่าไม่ต้องให้คีโมต่อ เพราะเราเป็นเยอะมากๆ เกินระดับ 4 จนคิดว่าตายก็ไม่แปลก

- หมอก็ยังบอกว่าผลออกมา หมอเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อ เพราะไม่เคยเจอแบบเรา ที่เป็นเยอะมากๆ แต่ค่าทุกอย่างเป็นศูนย์

- จนหมอทั้งหมด 5 คนมาประชุมกัน  ในกรณีเคสของเรา  ว่าเป็นเพราะอะไร  ทำไมเชื้อมะเร็งไม่มีและไม่ลามไปไหนเลย  (หมอได้ให้ทำการตรวจทั้งกระดูก หัวใจ ตับ และปอด)  ปรกติทุกอย่าง ค่าเลือดก็ปรกติ  (เราเรียกไม่ถูกศัพท์หมอ แต่หมอบอกว่าทุกอย่างไม่มีปัญหา)

-  สรุปเราก็ไม่ต้องให้คีโมต่อ  แต่ว่าฉายแสง 25 แสง ก็จบกระบวนการรักษา  ทานยาวันเม็ด ต้านโฮโมน (5 ปี).

- เราดีใจมากที่ไม่ต้องให้คีโมต่อ  เหมือนตายแล้วเกิดใหม่  ทุกวันนี้เราไปพบหมอ  หมอก็ได้แต่บอกว่า คุณต้องทำบุญมามาก หรือมีบุญเก่ามาช่วย  เพราะว่าในเคสของเรา  ทุกอย่างมันหน้าจะแย่กว่านี้   แต่ของเราพอผ่าตัดเสร็จ  ทุกๆอย่าง ปรกติดีหมด

- หลังผ่าตัดจนถึงปัจจุบัน   ร่างกายเราแข็งแรงมากๆ ดีกว่าเดิมด้วยซ้ำ  สดชื่นตลอดเวลา และระหว่างเราเป็นมะเร็ง  เราไม่เคยปวดหัวเลย  (ก่อนหน้าที่จะรู้ว่าเป็นมะเร็ง จะปวดหัวบ่อยๆ ต้องทานยาแก้ปวด)  2 ปี ที่ผ่านมา ไม่เคยปวดหัวสักครั้ง  เป็นไข้ก็ไม่เป็น ปวดท้องก็ไม่ปวด ไม่ติดเชื้อเลย

- เแต่เราก็ไม่ประมาทในชีวิต  เพราะเราผ่านความเจ็บปวดทรมานมาก ๆ มาแล้ว  ทนทุกข์กับร่างกายสังขารที่แย่สุดๆ เราต่อสู้ความเจ็บปวดด้วยสมาธิ และการปฏิบัติธรรม ไม่กลัวความตายเลย  ยิ่งภาวนามากๆ จิตใจยิ่งเข้มแข็ง มองเห็นความตายแค่เอื้อม  เรากลับรู้สึกขอบคุณมะเร็งที่ทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น  ทำให้เราไม่ประมาท ไม่เสียใจที่เป็นโรคมะเร็งเลย  ภูมิใจด้วยซ้ำที่เราต่อสู้มาได้  คำว่ามะเร็งเรารู้สึกเฉยๆ  ถ้าใจเราดีแล้ว  ร่างกายก็แค่นั้น (เราคิดแบบนั้นจริง)

เราใช้ชีวิตได้ปรกติแล้วตอนนี้  เราเป็นโรคมะเร็ง  มีไม่กี่คนที่รู้ว่าเราไม่สบาย  ถ้าเราไม่บอก ก็ไม่มีใครรู้เลย  แม้แต่ใกล้ๆบ้านเรา  ไม่มีใครรู้เลย  เวลาที่เราเห็นคนเป็นมะเร็ง  และท้อแท้หดหู่และไม่สู้กับชีวิต  เราอยากจะบอกว่า  ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ ยังไม่ตาย ก็อย่าได้ไปท้อแท้เลย สู้กับมัน ไม่แพ้ก็ชนะ  อย่างดีก็แค่ตายเท่านั้น  ใจนั้นสำคัญที่สุด   ถ้าใจเราเข้มแข็งแล้ว  อะไรก็ทำอะไรเราไม่ได้

-  เราไม่โกรธทางวัดที่แนะนำเราแต่แรกแบบผิดๆในการรักษา ที่ทำให้เราเกือบเอาชีวิตไม่รอดและต้องเจอกับความเจ็บปวดทุกข์ทรมานร่างกาย  เราคิดแค่ว่า  มันเป็นวิบากกรรม ที่เราต้องเจอ ต่อให้ต่อไปนี้  ถ้าเราต้องเจออะไรอีก  เราก็พร้อมที่จะรับมือกับมัน และต่อสู้ต่อไป จนกว่าจะหมดลมหายใจ

-เรายอมออกมาเปิดเผยเรื่องราวตัวเอง  เพราะว่าต้องการให้คนที่กำลังตัดสินใจในการรักษาตัวเอง  ถ้าเกิดเป็นโรคแบบเรา  จะได้ไม่ตัดสินใจผิดพลาด และต้องเจอกับความเจ็บปวดทรมานและเสี่ยงกับความตายถ้ารักษาไม่ทัน หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับคนที่ได้อ่านเรื่องราวของเรา

- แถมท้ายค่ะ ... ตั้งแต่เรากลับมารักษาตัวกับแพทย์ปัจจุบัน  เราใช้บัตร 30 บาท ในการรักษา ไม่เสียเงินเลย  ทุกอย่างฟรีทุกขั้นตอน

  ทุกวันนี้  ใครให้กินยาบำรุง หรือยาอะไรที่ว่า  แก้มะเร็งได้  เราไม่กิน  ต่อให้กินฟรีเราก็ไม่กิน เสียเงินเราก็ไม่กิน  30%  เรารักษาตามที่หมอบอกให้ทำ  ส่วนอีก 70% เรารักษาใจเรา ปฏิบัติธรรมให้ใจเข้มแข็งดีที่สุด
 
https://pantip.com/topic/36077522
 
 
ยามบุญมา ปัญญาก็ช่วย ที่ป่วยก็หาย ที่หน่ายก็รัก
บุญไม่มา ปัญญาไม่ช่วย  ที่ป่วยก็หนัก ที่รักก็หน่าย


- ความมุ่งหมายและประโยชน์ของสมาธิ ในระดับต่างๆ

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=samathijit&month=30-10-2023&group=82&gblog=94


- อย่าแปลกใจ  สมถะ ก็ สมาธิ  วิปัสสนา ก็ ปัญญา 11

- แก้คำผิด  จงกรม  ไม่ใช่ จงกลม




 




 

Create Date : 03 กันยายน 2567
0 comments
Last Update : 4 กันยายน 2567 14:18:13 น.
Counter : 216 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

space

สมาชิกหมายเลข 6393385
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 6393385's blog to your web]
space
space
space
space
space