Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

เวบข้อมูล ข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ .. เรื่อง " น้ำท่วม " มีเพียบ







ผมได้รับข้อความผ่านเมล์ และ ได้เข้าไปอ่านข้อมูลในเวบ น่าสนใจมากครับ แนะนำให้แวะไปอ่าน

โดยเฉพาะ เรื่อง น้ำท่วม มีรายละเอียดครบถ้วน .. เผื่อ ที่บางคนบอก "เอาอยู่" แต่พอถึงเวลา "เอาไม่อยู่" .. จะได้พึ่งตัวเอง ..


//k4ds.psu.ac.th/k4dm/


เรื่อง น้ำท่วม


//k4ds.psu.ac.th/k4dm/?q=node/24






Knowledge for Disaster Management: K4DM (k4ds.org/k4dm)

Website ที่รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร ความรู้เกี่ยวกับการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติ ตั้งแต่สึนามิ 2547 จนถึงมหาอุทกภัย 2555


K4DM นี้พัฒนาต่อยอดจาก Website Online Disaster Resource (//medipe2.psu.ac.th/~disaster หรือ bit.ly/disasterthai)

ที่ปรับเป็น lite version เหมาะสำหรับการใช้งานบนอุปกรณ์พกพา (mobile device)



เรากำลัง update website K4DM อยู่ครับ ต้องการอาสาสมัครจำนวนมากมาช่วยแปลเอกสารทั้งจากภาษาต่างประเทศเป็นไทย และจากภาษาวิชาการเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย

ถ้าท่านใดมีเอกสารแนะนำให้เอาลง K4DM ส่งมาได้ที่ k4disaster@gmail.com ครับ



น้ำกำลังมาแล้ว เราพร้อมแค่ไหน?





แถม ..


โรคที่ต้องระวังในภาวะน้ำท่วม ... โดย DrCarebear Samitivej

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-10-2010&group=4&gblog=86

โรคน้ำกัดเท้า .......... โดย DrCarebear Samitivej

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-10-2010&group=4&gblog=87

การจัดการกับความเครียด จากวิกฤตการณ์น้ำท่วม .... โดย DrCarebear Samitivej

//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-10-2010&group=4&gblog=88


คู่มือ คำแนะนำการป้องกันโรคที่มากับภัยน้ำท่วม
โดย กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 2553

//pher.dpc7.net/sites/default/files/Prevention%20of%20diseases%20caused%20by%20flooding.pdf






 

Create Date : 17 กันยายน 2555   
Last Update : 17 กันยายน 2555 15:24:46 น.   
Counter : 3123 Pageviews.  

แนวทางปฏิบัติ เกี่ยวกับโรคเอดส์ ... ของแพทย์ ... แต่ ประชาชน ก็ควรรู้



เมื่อสักสองอาทิตย์ก่อน คงพอทราบข่าวเรื่องการตรวจเลือดในนักศึกษาพยาบาล ฯ

มีการถกเถียงแสดงความเห็นกันหลากหลาย  เหมือนในกระทู้นี้ ..

"  นศ.พยาบาลติดเอดส์-ร้องถูกไล่ออก! มหา"ลัยโต้ หวั่นคนไข้ หวาดกลัว [ย้ายจาก : คลับพยาบาล] "


https://www.pantip.com/cafe/lumpini/topic/L12575705/L12575705.html



แพทยสภา ได้มีข้อกำหนดแนวทางปฏิบัติของแพทย์ เกี่ยวกับเอดส์ โดยเฉพาะ ขั้นตอนวิธีการตรวจ การแจ้งผล ฯลฯ

ซึ่ง ผมคิดว่า ประชาชน ทั่วไป ก็ควรรู้ เพื่อป้องกันปัญหา และ รักษาสิทธิของตนเอง



ปล. สนใจอ่านทั้งหมด เป็น pdf  โหลดได้ที่ ..


https://www.mediafire.com/?smn59o7u66mnnbn












































..............................................

อุบัติเหตุเข็มตำ สารคัดหลั่ง ทางการแพทย์...ติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน
ที่มา เฟส อายุรศาสตร์ ง่ายนิดเดียว

ตามตัวเลขสถิตินั้น อุบัติเหตุเข็มทิ่มตำอัตราการติดที่ 0.03% ส่วนสารคัดหลั่งติดที่เยื่อเมือกเช่นเยื่อบุตาอัตราการติดที่ 0.009% ปรับขึ้นลงได้ตามระยะของผู้ที่ติดเชื้อ และชนิดของเข็ม การปนเปื้อนเลือด ในแนวทางการรักษาโรคเอชไอวีประเทศไทยปี 2560 เขียนเรื่องนี้ไว้ชัดเจนมาก มีแนวทางที่เอาไปใช้ทางเวชปฏิบัติได้
วารสาร American Journal of Infection Control ตีพิมพ์บทความการศึกษาที่มหาวิทยาลัยแพทย์พิตต์สเบิร์ก สหรัฐอเมริกา ในการติดตามบุคลากรทางการแพทย์ที่ประสบอุบัติเหตุแบบนี้ว่ามีการติดเชื้อมากน้อยแค่ไหน ภายใต้มาตรการการป้องกันที่เข้มงวดกว่าอดีต

เป็นการเก็บข้อมูล 13 ปี มีการบาดเจ็บทั้งหมด 18,046 ครั้ง ถ้าคัดมาแต่รายที่เสี่ยงติดเชื้อเอชไอวี 12,999 ราย ในกลุ่มนี้คัดเฉพาะกลุ่มที่แหล่งที่มาติดเชื้อ HIV มี 266 รายเพื่อนำมาวิเคราะห์ จากตัวเลขตรงนี้ขนาดมาตรการดีๆ ยังมีการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุมากกว่า 100 รายต่อปีเลยนะครับ
มากสุดก็โดนเข็มตำ 52% ส่วนบริเวณที่โดนตำมากที่สุดก็แน่นอน มือนั่นเอง 52% เช่นกัน และสิ่งปนเปื้อนที่ถูกปนเปื้อนมากสุดคือ เปื้อนเลือด 64%

มีการใช้ยาต้านไวรัสเพื่อลดโอกาสการติดเชื้อเพียงแค่ 21% เท่านั้น ..ในขณะนั้นมีการแบ่งความเสี่ยงหลายอย่าง และยาต้านไม่ได้ดีเหมือนตอนนี้ ทำให้บางคนเลือกไม่รับยาก็ได้...พบอัตราการติดเชื้อ HIV เป็น 0% นี่คือติดตามขณะเจอเข็มตำว่าผลลบ ติดตามไปไม่มีผลบวกเลย
*** อย่าลืมคิดตัวแปรอีกอย่างด้วย คือ การรักษาจนกดไวรัสได้ มันมากขึ้น แพร่หลายมาก จึงทำให้ความเสี่ยงและอัตราการติดเชื้อที่น้อยอยู่แล้ว ก็จะลดลงไปด้วย เรียกว่ามี length time bias ร่วมด้วย***

การศึกษานี้มีอัตราการติดเชื้อต่ำกว่าก่อนหน้าตามข้อที่ว่า คือ มาตรการดีขึ้น ยาดีขึ้น คนที่ติดเชื้อลดลง คนติดเชื้อที่ได้รับการรักษาที่ดีมากขึ้น แต่ก็เป็นอันหนึ่งที่แสดงว่าอัตราการติดเชื้อจากอุบัติเหตุทางการแพทย์นั้นไม่มาก แต่อย่างไรเราก็ต้องระมัดระวังอยู่ดี เราคงไม่อยากให้เกิดกับเราและคนที่เรารัก
มาตรการการป้องกันและดูแลโรคติดเชื้อเอชไอวีปัจจุบันนั้นดีมากๆเลย อย่าละเลยและอย่าประมาท รวมทั้งอย่ากลัวจนเครียด สติและปัญญาจะทำให้เราอยู่รอดได้ครับ

wisdom = ปัญญา


https://www.facebook.com/medicine4layman/photos/a.1454742078175154.1073741829.1452805065035522/1852141498435208/?type=3&theater

..............................................


📍วันที่ 1 ธ.ค🔴วันเอดส์โลก🔴
🌎World AIDS DAY🌏
📌ทบทวนกันครับ🔹🔹PEP🔹🔹
💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉💉
😟หมอๆ โดนเข็มตำ😰😥😭 ทำไงดี
📌Part-1👉🏻👉🏻👉🏻oPEP
🚩อ่านเพิ่มเติม👇👇👇
🇹🇭CPG -2017👉🏻https://goo.gl/scQfPd

📌Part-2👉🏻nPEP 🔜 Next week😊

#HIV #AIDs #PEP #oPEP
#WORLDAIDSDAY2017









อ่านเพิ่มเติม CPG -2017   https://goo.gl/scQfPd


.................................



เอดส์ ( AIDS)

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-03-2008&group=4&gblog=27

ข้อควรรู้ก่อนการตรวจโรคเอดส์

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-03-2008&group=4&gblog=26

แนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับโรคเอดส์ ... ของแพทย์ ... แต่ ประชาชน ก็ควรรู้

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=09-09-2012&group=4&gblog=96

องค์กรที่ให้บริการปรึกษาและทำงานด้านเอดส์

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=26-03-2008&group=4&gblog=28







 

Create Date : 09 กันยายน 2555   
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2560 21:11:21 น.   
Counter : 9870 Pageviews.  

อะไรอยู่ในน้ำอัดลม ... ไทยโพสต์ วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗


ค้นไปเจอเวบนี้ อ่านแล้วน่าสนใจดี เลยนำมาฝากกัน ..  ข้อมูลตั้งแต่ปี ๒๕๔๗ ( ๘ ปี ผ่านมา ) แต่ก็ไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง ..

//www.khonnaruk.com/html/verandah/health/sugar.html

อะไรอยู่ในน้ำอัดลม

ไทยโพสต์ วันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๗

          นํ้าตาล น้ำอัดลมส่วนใหญ่ประกอบด้วยน้ำตาลและน้ำเชื่อมจากข้าวโพด ซึ่งมีน้ำตาลประเภทฟรักโทสอยู่ ปริมาณการบริโภคน้ำตาลที่องค์การอนามัยโลกแนะนําอยู่ที่ประมาณ ๘-๑๑ ช้อนชาต่อวัน แต่จากการทดสอบของนิตยสาร UTUSAN KON SUMER พบว่าเครื่องดื่มที่วางจำหน่ายส่วนใหญ่มีน้ำตาลอยู่กระป๋องละประมาณ ๔-๑๕ ช้อนชา

          น้ำตาล ๑ ช้อนชามีพลังงาน ๑๖ แคลอรี ถ้าเราดื่มเป๊ปซี่ ขนาด ๓๒๕ ซีซี มีน้ำตาล ๕ ช้อนชาครึ่ง เราจะได้พลังงาน ๘๘ แคลอรี ถ้าดื่มสไปร้ท์มีน้ำตาล ๖ ช้อนชาครึ่ง น้ำส้ม มิรินด้ามี ๗ ช้อนชาครึ่ง เป็นต้น ร่างกายคุณจะได้น้ำตาลเท่าไรก็เอาไปคูณกันดูเอง ยิ่งดื่มมากก็ยิ่งได้มากจึงเป็นสาเหตุของความอ้วนได้อีกประการหนึ่ง

          ถ้าดื่มวันละกระป๋องร่างกายก็ได้รับน้ำตาลมากแล้ว ไม่รวมกับน้ำตาลจากแหล่งอื่นอีก ซึ่งก็คงไม่น้อยยิ่งดื่มทุกวันแน่นอนว่าสุขภาพย่อมทรุดโทรมลงเรื่อยๆ เป็นต้นว่า ฟันผุ มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน มีโอกาสเป็นโรคหัวใจ อาหารไม่ย่อย และอื่นๆ

น้ำตาลไม่ทำให้อิ่ม

          เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกดูดซึมสู่กระแสเลือดทำให้เกิดความอยากอาหารอีก นอกจากนี้ ยังทำให้เกิดอาการติดน้ำตาล เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ (สูง) คงที่

สารให้ความหวาน

          ถ้าน้ำอัดลมไหนไม่มีน้ำตาล ก็ต้องมีการใช้สารให้ความหวานแทนสารให้ความหวานที่ใช้กันในน้ำอัดลม ได้แก่ แอสปาเตม อะซีซัลเฟม เค ซัคคารินหรือซูคาโลส แต่ที่ป๊อปปูล่าที่สุดเห็นจะเป็นแอสปาเตม น้ำอัดลมที่ใช้สารให้ความหวานแทนน้ำตาล มักจะเป็นน้ำอัดลมกลุ่มคุมน้ำหนักที่มีคำว่า "ไดเอท" อยู่ด้วย เช่น เป๊ปซี่ไดเอท

          อย่างแอสปาเตมนั้นมีความหวานมากกว่าน้ำตาล ๒๐๐ เท่าจึงไม่จำเป็นต้องใช้ในปริมาณที่มากเหมือนอย่างน้ำตาล สารให้ความหวานเทียมนี้อาจเกิดผลไม่ดีต่อสุขภาพของผู้บริโภคบางคนได้ โดยทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรน สูญเสียความ ทรงจำ เศร้าซึม

          นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่าแอสปาเตมยังเป็นสาเหตุของการเกิดโรคลมบ้าหมู คลื่นเหียน ท้องร่วง คันผิวหนัง สายตาพร่าและอาจตาบอด

          นอกจากแอสปาเตมแล้วน้ำอัดลมประเภทไดเอ็ทบางยี่ห้อ จะใช้ซัคคารินซึ่งให้ความหวานมากกว่าน้ำตาล ๓๐๐ เท่า ซัคคารินได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ มีการห้ามใช้ซัคคารินในหลายประเทศ เช่น แคนาดา นิวซีแลนด์ และประเทศในยุโรป

วัตถุกันเสีย

          ปกติน้ำอัดลมมักไม่เสีย เพราะความเป็นกรดและมีคาร์บอเนตในส่วนผสม แต่บางครั้งสภาพการเก็บที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กลิ่นและรสชาติเปลี่ยนไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีการผสมวัตถุกันเสียลงไปเล็กน้อยและอาจไม่ระบุในฉลากก็ได้

          วัตถุกันเสียที่มักใช้ ได้แก่ โซเดียมเบนโซเอท หรือกรดเบนโซอิค ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคหืด ผื่นคัน และทำกิจกรรม ไม่หยุดนิ่ง (hyperactivity)

          บางครั้งผู้ผลิตใช้ซัลเฟอร์ไดออกไซด์ ซึ่งไม่เพียงแต่กันการบูดเสียเท่านั้น แต่ช่วยให้สีเครื่องดื่มไม่เปลี่ยนทั้งยังเป็นตัว แอนตี้ออกซิเดนท์ป้องกันการเกิดปฏิกิริยาที่จะทำลายกลิ่นของเครื่องดื่ม ด้วยสารซัลเฟอร์ไดออกไซด์ เป็นสารทีใช้ฟอกขาววัสดุต่างๆ หากร่างกายได้รับเข้าไปในปริมาณมากอาจทำให้เกิดอาการหน้ามืดวิงเวียน ผิวหนังพุพอง บวม อ่อนแรง แน่นหน้าอก ช็อก อาการโคม่า หรืออาจตายได้ในคนที่ไวต่อสารนี้ หรือหากได้รับสารนี้ในปริมาณไม่มากนักแต่นานๆ ไปก็อาจ ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในเซลล์สิ่งมีชีวิตได้

กลิ่นรสสังเคราะห์

          กลิ่นที่ใช้ในน้ำอัดลมนั้นไม่ได้มาจากธรรมชาติเสียทั้งหมด เพราะกลิ่นจากธรรมชาติถูกจำกัดด้วยฤดูกาลและสภาพ ภูมิศาสตร์จึงมีการใช้กลิ่นสังเคราะห์ซึ่งมีราคาถูกกว่าด้วย แต่กลิ่นสังเคราะห์นั้นไม่ได้มีการระบุรายละเอียดในฉลาก เพราะมีความซับซ้อนมากอาจผสมหลายตัวเพื่อให้ได้กลิ่นรสเฉพาะตัวอย่างเช่น รสส้ม มีส่วนผสมถึง ๔๐๐ ชนิด

คาเฟอีน

          มักพบในเครื่องดื่มประเภทโคล่าประมาณ ๑/๔-๑/๓ ของ ที่พบในกาแฟหรือชาช่วยเพิ่มกลิ่นรสให้แรงขึ้น คาเฟอีนเป็นสารเสพติดซึ่งช่วยกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ผลิตภัณฑ์ที่มีคาเฟอีน จะไปกระตุ้นร่างกายและเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ อาจดูเหมือนทำให้สมองแล่น ความอ่อนเพลียหายไป แต่ก็เป็นไปชั่วคราวเท่านั้น หากร่างกายได้รับการกระตุ้นด้วย คาเฟอีนบ่อยๆ จะไปทำลายพลังชีวิต เพราะต้องต่อสู้กับสารพิษหรือสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย คาเฟอีนในปริมาณที่ พบในอาหารและเครื่องดื่มอาจทำให้เกิดโรคนอนไม่หลับ โรคประสาทหงุดหงิด ขี้วิตก อัตราและจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ การดื่มเครื่องดื่มที่คาเฟอีน มากเกินไปอาจทำให้เกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหารหรือในกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ความดันเลือดสูงขึ้น อาจทำให้ทารกแรกเกิดพิการ ทำให้โรคเบาหวาน รุนแรงขึ้น ทำลายเยื่อบุ กระเพาะอาหาร

          จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การดื่มน้ำอัดลมหลังการทำงานหนักทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียมและโปตัสเซียม ทำให้กล้ามเนื้อระบม ร่างกายฟื้นตัวช้า

          จากการสำรวจปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่มพบว่า ไดเอ็ทโค้กมีคาเฟอีน ๑๕๗ ppm. เป๊ปซี่ไดเอ็ท มี ๑๑๗ ppm. เป๊ปซี่มี ๙๑ ppm.โคคา โคลา มี ๘๕ ppm.

สีสังเคราะห์

tartrazine ให้สีเหลืองส้ม ถูกห้ามใช้ในนอร์เวย์และฟินแลนด์ สีสังเคราะห์ตัวนี้ทำให้เกิดอาการแพ้เช่นผื่นคัน บวมแดง น้ำมูกไหล ตาแดง ทั้งยังอาจเป็นสารก่อมะเร็งด้วย sunset yellow เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งถูกห้ามใช้ในฟินแลนด์ นอร์เวย์ และสวีเดน

carmoisine ให้สีแดง อาจทำให้เกิดมะเร็ง ภูมิแพ้ และอาหารเป็นพิษถูกห้ามใช้ในสหรัฐอเมริกาและ แคนาดา briliant blue เป็นสารที่อาจก่อมะเร็งและอาจทำลายโครโมโซม ทำให้เกิดอาการแพ้ ถูกห้ามใช้ในประเทศพัฒนาแล้วหลายแห่ง ได้แก่ กลุ่มประเทศในประชาคมยุโรป นอร์เวย์ สวีเดน และฟินแลนด์

กรด

          กรดที่ใช้ผสมในเครื่องดื่ม เช่น ซิตริค ฟอสฟอริค และบางครั้งใช้กรดมาลิก หรือตาร์ตาริค ทำให้เกิดความซ่าและเป็นตัวรักษาคุณภาพเครื่องดื่ม ด้วยหน้าที่ของกรดอีกประการหนึ่งคือทำให้รสหวานกลมกล่อมพอดี ช่วยให้สดชื่นแก้กระหาย เครื่องดื่มแทบทุกชนิดมีความเป็นกรดสูง โค้กมีค่าความเป็นกรด (PH) ๒.๔ ไดเอ็ทโค้ก ๓.๑๓ สไปรท์ ๓.๓๑ น้ำส้ม ๓.๔๗ เป็นต้น ในสหราชอาณาจักรมีการสำรวจสุขภาพฟันของเด็กในปี ๑๙๙๓ พบว่าร้อยละ ๒๐ ของเด็กที่ดื่มน้ำอัดลมเป็นประจำประสบปัญหาฟันผุ การเสียของฟันจากการกัดเซาะของกรดจะเริ่มภายใน ๕ นาทีหลังจากดื่มน้ำอัดลมเข้าไป และอาจต่อเนื่องไปจนถึงหนึ่งชั่วโมง จากการศึกษาของ ผศ.ทญ.สร้อยศิริ ทวีบูรณ์ ได้ทดลองแช่ชิ้นฟันในเครื่องดื่ม น้ำอัดลม ๕ ชนิด พบว่าใน ๕ นาทีแรกที่แช่ชิ้นฟันจะมีปริมาณแคลเซียมถูกกัดกร่อนจากผิวเคลือบฟันมีค่าตั้งแต่ ๐.๖๗-๑.๗ ไมโครกรัม ต่อพื้นที่หน้าตัดผิวเคลือบฟัน ๑ ตารางมิลลิเมตร และเพิ่มขึ้นเป็น ๑.๐๓-๒.๓๕ และ ๑.๑๓-๒.๘๒ ไมโครกรัมต่อตารางมิลลิเมตร เมื่อเวลาเพิ่มขึ้นเป็น ๑๐ นาที และ ๑๕ นาที มีงานวิจัยที่ทำในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ แสดงให้เห็นว่าเมื่อนำฟันของมนุษย์ใส่ลงไปในน้ำโคล่าภายในเวลา ๒ วัน ฟันจะเริ่มนุ่ม เคลือบฟันสูญเสียแคลเซียมส่วนใหญ่ไป งานทดลองอีกชิ้นหนึ่ง โดยให้หนูกินแต่เครื่องดื่มโคล่าอย่างเดียว พบว่าฟันกรามของมันสึกกร่อนลงมาถึงระดับเหงือกหลังจากเวลาผ่านไป ๖ เดือน

คาร์บอนไดออกไซด์

          คาร์บอนไดออกไซด์ทำให้เกิดฟองจึงเป็นส่วนผสมที่สำคัญของน้ำอัดลม ให้ความรู้สึกสดชื่นเพราะไปกระตุ้นเยื่อเมือก (mucous membrane) ในปาก ฟองที่เกิดขึ้นไปกระตุ้นเพดานปาก ทำให้มีรสชาติเพิ่มขึ้น ผลจากคาร์บอนไดออกไซด์ก็คือ เราจะรู้สึกว่าน้ำอัดลมเย็นกว่าอุณหภูมิจริง นอกจากนี้คาร์บอนไดออกไซด์ยังเป็นจำเป็นสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องดื่ม เพราะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ช่วยให้เครื่องดื่มมีอายุการเก็บนาน

ดื่มน้ำอัดลมแล้วได้อะไร

          โดยเฉลี่ยแล้วน้ำอัดลมให้พลังงานประมาณ ๓๕-๔๕ แคลอรีต่อ ๑๐๐ มล.แต่เป็นพลังงานที่เรียกว่า emptycalory ในทางโภชนาการถือว่ามีคุณค่าทางอาหารต่ำ เป็นพลังงานที่ได้มาจากน้ำตาลขัดขาวอย่างเดียว ดื่มน้ำอัดลมมากอาจทำให้คุณเป็นโรคกระดูกพรุน มีการศึกษาหลายชิ้นที่ชี้ให้เห็นว่าการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป ไม่ว่าจะแบบมีหรือไม่มีน้ำตาลก็ตาม จะทำให้ร่างกายสูญเสียแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม และธาตุรองอื่นๆ ออกไปกับปัสสาวะ ยิ่งสูญเสียแร่ธาตุมากเท่าใดอัตราเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน ข้อเสื่อม

          ความดันสูง เกิดความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ก็มาก ตามวัยรุ่นที่ดื่มน้ำอัดลมเช้า กลางวัน เย็น เท่ากับกำลังเปิดประตูรับโรคภัยไข้เจ็บเหล่านี้ ยิ่งเด็กผู้หญิงวัยรุ่นสมัยนี้หากนิยมดื่มน้ำอัดลมขณะที่กังวลกับการรักษารูปร่าง ยิ่งรับประทานอาหารที่มีคุณค่าในปริมาณที่น้อยลงที่สุดก็อาจขาดแคลเซียม นำไปสู่โรคกระดูกพรุนในที่สุด เจน เบรดี้ คอลัมนิสต์ เจ้าของรางวัลจาก The New York Times และผู้แต่ง The Nutrition Book อธิบายว่า "การขาดแคลเซียมในวัยรุ่นพบว่า ส่วนใหญ่เกิดจากการหันไปดื่มน้ำอัดลมแทนนม ปริมาณฟอสฟอรัสในน้ำอัดลมทำให้ส่วนของแคลเซียมต่อฟอสฟอรัสเสียสมดุล และลดความสามารถในการใช้แคลเซียมของ ร่างกาย"

          ก่อนตัดสินใจซื้อน้ำอัดลมโปรดคิดสักนิด ถ้าซื้อมาแล้ว ลองก้มลงอ่านฉลากที่ขวดน้ำอัดลม ผู้ผลิตจะบอกอะไรคุณบ้างที่นอกเหนือไปจาก "ใช้วัตถุกันเสีย แต่งกลิ่นรสธรรมชาติ เจือสีสังเคราะห์" ถ้ายังเต็มใจจะดื่มน้ำผสมสารเคมีและน้ำตาลทรายขัดขาวอีกต่อไป ก็ตามใจคุณ

*





 

Create Date : 18 สิงหาคม 2555   
Last Update : 18 สิงหาคม 2555 14:26:36 น.   
Counter : 3752 Pageviews.  

ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า ... ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี





ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า


ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
ดร.สุภาภรณ์ วัชรพฤษาดี
ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมองและศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านไวรัสสัตว์สู่คน
คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์

https://www.facebook.com/thiravat.hemachudha/posts/10155094201361518


สัตว์นำโรค


• คิดว่าลูกสุนัขและแมว ไม่มีเชื้อพิษสุนัขบ้า

จริงๆแล้ว.....สุนัขและแมวอายุเท่าใดก็ตามแพร่โรคได้ แม้จะมีอายุเพียง 1 เดือน


• คิดว่าสุนัขและแมวเป็นโรคพิษสุนัขบ้าได้เฉพาะในหน้าร้อนเท่านั้น

จริงๆแล้ว.....เป็นได้ทุกฤดูกาลฉะนั้นการฉีดวัคซีนในสัตว์ไม่จำเป็นต้องรอฤดูกาล และคนเมื่อถูกกัดไม่ว่าฤดูไหนก็ตามต้องได้รับการฉีดยาป้องกัน


• คิดว่าหากถูกสุนัขหรือแมวกัดโดยอาการของสัตว์ปกติดีก็ไม่น่าจะเป็นบ้า

จริงๆแล้ว.....สุนัขและแมวสามารถแพร่เชื้อโรคได้ถึง 10 วัน ก่อนจะแสดงอาการ หากถูกสุนัขหรือแมวกัด ถ้าสัตว์ดูยังปกติอย่านิ่งนอนใจต้องได้รับการฉีดยาป้องกัน และจับแยกและกักขังสุนัขและแมวนั้นๆ หากแสดงอาการผิดปกติต้องตัดหัวนำไปส่งตรวจทันที ถ้าผ่าน 10 วันไปแล้วไม่มีอาการผิดปกติแสดงว่าไม่เป็นโรคพิษสุนัขบ้า


• คิดว่าการฉีดวัคซีนในสุนัขหรือแมวจะป้องกันการเกิดโรคพิษสุนัขบ้าได้100%

จริงๆแล้ว.....หากสัตว์ติดเชื้อไวรัสพิษสุนัขบ้าแล้วและอยู่ในระยะฟักตัวการฉีดวัคซีนจะไม่ได้ผล ดังนั้นการนำสุนัขและแมวมาเลี้ยงต้องรู้ประวัติพ่อแม่และการเลี้ยงดูที่ผ่านมาอย่างชัดเจน


• คิดว่าสุนัขหรือแมวที่ได้รับวัคซีน 1ครั้งจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิตไม่มีโอกาสเป็นบ้า

จริงๆแล้ว.....ยังมีโอกาสเป็นบ้าได้ดังนั้นสุนัขและแมวต้องได้รับวัคซีน 2 ครั้งในปีแรก และ 1 เข็มต่อปี มิฉะนั้นยังมีโอกาสเป็นบ้าได้เมื่อได้รับเชื้อทั้งนี้อาจต่างจากบางประเทศที่เจริญแล้วที่สุนัขและแมวหลังจากที่ได้รับการฉีดครั้งแรกแล้วไม่ต้องฉีดประจำทุกปี ทั้งนี้เนื่องจากโอกาสที่สุนัขและแมวจะได้รับเชื้อมีน้อยมากเหลือเกินและจะทำการฉีดกระตุ้นต่อเมื่อมีการสัมผัสโรคจริงๆ เท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากประเทศไทยที่เป็นประเทศที่ชุกชุมด้วยโรคพิษสุนัขบ้าในสุนัขและโอกาสที่สัตว์เลี้ยงจะได้รับเชื้อค่อนข้างมีสูง


• คิดว่าสุนัขและแมวที่เราเลี้ยงและเคยได้รับวัคซีนมาก่อนถูกสุนัขบ้ากัดก็ไม่เสี่ยงต่อการติดโรค

จริงๆแล้ว.....ต้องได้รับการฉีดวัคซีนซ้ำและกักขังดูอาการอย่างน้อย 45 วันแต่ถ้าสุนัขและแมวนั้นไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อนเมื่อถูกสุนัขบ้ากัดองค์การอนามัยโลกแนะนำให้ทำลายเพราะมีโอกาสติดเชื้อสูง แต่ถ้าไม่สามารถปฏิบัติตามได้ให้ฉีดวัคซีนทันทีและกักขังดูอาการ 6 เดือนและฉีดวัคซีนซ้ำ 1เดือนก่อนปล่อย


• คิดว่าสุนัขและแมว เท่านั้นที่แพร่เชื้อสู่คนได้

จริงๆแล้ว.....สัตว์ป่าและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดเป็นโรคและแพร่โรคได้เช่นกัน ทั้งนี้แม้แต่ลิง หนู และกระต่าย อย่างไรก็ดีในกรณีของหนูและกระต่ายเมื่อติดเชื้อและเกิดโรคความสามารถในการแพร่โรคกระจายในหมู่พวกเดียวกันเองต่ำมาก และไม่ถือว่าเป็นตัวการสำคัญในการแพร่โรคแต่ถ้าคนถูกหนู หรือกระต่ายกัดให้พิจารณาเป็นรายๆไป การตรวจหาเชื้อในสมองสัตว์จะช่วยตัดสินได้เด็ดขาดว่าควรต้องให้การรักษาแก่คนที่ถูกกัดหรือไม่ อนึ่ง ระยะเวลา 10 วัน ที่ใช้ในการจับแยกและกักขังเพื่อดูอาการว่าเป็นบ้าหรือไม่ ใช้ได้กับสุนัขและแมวเท่านั้น


การติดเชื้อในคนและการป้องกันโรค


• คิดว่าการกัดคนทั้งๆที่ไม่ได้ถูกแหย่เป็นเครื่องแสดงว่าสุนัขแมวนั้นๆเป็นบ้า

จริงๆแล้ว.....สุนัขแมวที่เป็นบ้า กัดคนโดยที่แหย่หรือไม่ได้แหย่ก็ได้ เมื่อถูกกัดต้องไปรับการรักษาเช่นกัน


• คิดว่าการข่วนจากสุนัขหรือแมวไม่น่าจะติดโรคพิษสุนัขบ้าได้

จริงๆแล้ว.....การข่วนด้วยเล็บก็ทำให้ติดโรคและตายได้ เนื่องจากสุนัข/แมวเลียอุ้งตีนและเล็บ อาจมีไวรัสจากน้ำลายติดค้างอยู่ที่เล็บและแพร่เชื้อได้หากแผลมีเลือดออกแม้เพียงซิบซิบ


• เมื่อถูกสุนัขกัดคิดว่าเอารองเท้าตบหรือราดด้วยน้ำปลาจะช่วยฆ่าเชื้อได้

จริงๆแล้ว.....เมื่อถูกกัดต้องล้างแผลด้วยน้ำกับสบู่เป็นเวลา 10 นาที จากนั้นพบแพทย์ทันที เพื่อล้างแผลอีกครั้ง และฆ่าเชื้อด้วยน้ำยาไอโอดีน ควรหลีกเลี่ยงการเย็บแผล ถ้าจำเป็นเย็บได้หลวมๆการเย็บปิดแผลจะส่งเสริมให้เชื้อเข้าเส้นประสาทได้ไวและเร็วขึ้นการปฎิบัติตามความเชื่อผิดๆเหล่านี้ทำให้มีคนเสียชีวิตมานักต่อนัก


• เมื่อถูกสุนัขหรือแมวที่มีเชื้อกัดคิดว่ามีโอกาสรอดแม้ไม่ได้รับการรักษา

จริงๆแล้ว.....ถ้าคนถูกกัดแล้วมีอาการจะเสียชีวิตทุกรายภายใน5-11 วัน แต่คนที่รอด ไม่ได้หมายความว่าคาถาดี ทั้งนี้เพราะ ไม่มีไวรัสในน้ำลายตลอดเวลา ซึ่งพบได้ 30-80% หรือเฉลี่ยครึ่งต่อครึ่ง


• คิดว่ารอให้สุนัข/แมว ที่กัดแสดงอาการหรือตายก่อนจึงค่อยพาคนที่ถูกกัดไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีน

จริงๆแล้ว.....การฉีดยาป้องกันที่ได้ผลสูงสุดอยู่ในช่วง 48 ชั่วโมงหลังถูกกัด และถ้าแผลมีเลือดออกไม่ว่าตำแหน่งใดของร่างกายต้องได้เซรุ่ม(อิมมูโนโกลบูลิน)ชนิดสกัดบริสุทธิ์ ฉีดที่แผล


เรื่องควรรู้เกี่ยวกับโรคพิษสุนัขบ้า


• จากการประชุมองค์การอนามัยโลก เดือนตุลาคม 2547 และ ตุลาคม 2553 และการประชุมนานาชาติ เดือนตุลาคมและพฤศจิกายน2548 มีหลักฐานชัดเจนว่าถึงแม้จะรักษาทันท่วงทีก็อาจเสียชีวิตได้แม้ว่าจะเกิดได้น้อยมากๆก็ตาม ในประเทศไทยศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ในปี 2542 รายงานผู้ป่วยตาย2 ราย และในปี พ.ศ.2552 รายงานผู้ป่วย1ราย แม้ได้รับการรักษาด้วยวัคซีนและเซรุ่มและมีผู้ป่วยตายในประเทศฟิลิปปินส์และประเทศอื่นๆในทำนองเดียวกัน


• ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมสัตว์นำโรคโดยเฉพาะสุนัขและแมว และคนที่มีโอกาสถูกสุนัขหรือแมวกัดบ่อยๆควรได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันล่วงหน้า ซึ่งฉีดเพียง 3 เข็มโดยที่แม้ว่าจะถูกกัดในอนาคต 10-20 ปีก็ตามเพียงได้รับวัคซีนกระตุ้น 2 เข็มโดยไม่ต้องฉีดเซรุ่มก็ปลอดภัยแล้ว


• โรคพิษสุนัขบ้าในคนมีอาการซับซ้อนและไม่จำเป็นต้องมีอาการกลัวน้ำกลัวลม หรือมีน้ำลายมาก แต่มีอาการคล้ายโรคทางสมองทั่วไป หรืออาการอัมพาตแขนขาอ่อนแรง และ10%ของผู้ป่วยไม่มีประวัติถูกสัตว์กัดหรือถูกกัดบ่อยมากจนคิดว่าไม่สำคัญ

ศูนย์ปฏิบัติการโรคทางสมอง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้พัฒนาวิธีการวินิจฉัย โดยใช้รูปแบบที่ปรากฏในคอมพิวเตอร์สนามแม่เหล็กไฟฟ้าของสมอง และวิธีทางอณูชีววิทยา โดยตรวจหา RNA ของไวรัสในน้ำลาย น้ำไขสันหลัง ปมรากผม ปัสสาวะ จนถึงปัจจุบันได้ทำการตรวจยืนยันให้กระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศตั้งแต่ปี 2544 จนถึงปัจจุบัน ปีพ.ศ.2560 เป็นจำนวนมากกว่า 80 รายและวิธีการทั้งหมดได้รับการบรรจุในคู่มือขององค์การอนามัยโลก


• ถึงแม้ผู้ป่วยจะเสียชีวิตทุกราย แต่การวินิจฉัยยืนยันที่ถูกต้องจะนำไปสู่การค้นหาต้นตอของโรคโดยพุ่งเป้าไปยังกลุ่มสุนัขที่กัดผู้ป่วย ทั้งนี้เนื่องจาก สุนัขตัวการนอกจากจะแพร่โรคให้ผู้ป่วยแล้วยังมีโอกาสแพร่โรคไปยังสุนัขใกล้เคียงและสุนัขเหล่านั้นเท่ากับเป็นระเบิดเวลาเคลื่อนที่พร้อมที่จะแพร่โรคต่อไปใน อนาคตและต้องไม่ลืมว่าคนที่สัมผัสผู้ป่วยก็มีโอกาสติดเชื้อได้จึงต้องได้รับการฉีดวัคซีนที่เหมาะสม


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

ThiravatHemachudha

24 กันยายน เวลา 20:50 น. ·

https://www.facebook.com/thiravat.h/posts/1685826414784239

ข้อกังวลของการป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าในเรื่องของชนิดของวัคซีนและวิธีการฉีด

ในการให้การป้องกันผู้ที่ถูกสัตว์ที่สงสัยว่าเป็นโรคพิษสุนัขบ้าไม่ว่าจะเป็นสุนัขแมวหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆก็ตามสิ่งสำคัญที่สุดคือการล้างแผลโดยน้ำและสบู่และหลังจากนั้นไปยังสถานพยาบาลเพื่อทำการล้างแผลและให้ยาเฉพาะที่ๆทำลายไวรัสได้เช่นโพวิดีน

ในกรณีที่แผลลึกหรือแผลไม่ลึกมากก็ตามแต่มีเลือดออกต้องฉีดสารสกัดน้ำเหลืองหรือที่เรียกว่าอิมมูโนกลอบูลินเข้าในและรอบแผลด้วย

วิธีการฉีดจะเหมือนกับที่ฉีดยาชาเวลาจะทำการเย็บแผลคือยอนเข็มเข้าไปทางด้านหนึ่งจนสุดและค่อยๆถอยเข็มพร้อมกับเดินยาไปพร้อมๆกันโดยหลีกเลี่ยงการที่ต้องจิ้มหลายๆรู ซึ่งอาจจะทำให้เส้นประสาทบาดเจ็บและไวรัสอาจเข้าตรงไปที่เส้นประสาท โดยไม่พักตัวในกล้ามเนื้อก่อน

สำหรับการฉีดวัคซีนนั้นวัคซีนที่ใช้อยู่ขณะนี้ มีคุณภาพและความปลอดภัยทัดเทียมกันทั้งสิ้นทำจากเซลล์เพาะเลี้ยงและทำให้บริสุทธิ์ อาจจะมีชื่อต่างๆกันแล้วแต่บริษัทที่นำเข้า

ในกรณีที่เริ่มเข็มแรกด้วยวัคซีนชนิดหนึ่งแต่เข็มต่อๆไปถ้าไม่สามารถหาวัคซีนชนิดแรกได้ก็สามารถใช้วัคซีนอื่นได้อย่างปลอดภัย

ทั้งนี้เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปเพราะชาวต่างประเทศถ้าได้วัคซีนเข็มแรกในประเทศไทยเป็นวัคซีนวีโรแรบ เมื่อกลับไปยังประเทศตนเองก็สามารถใช้วัคซีนอีกชนิดหนึ่งได้

ยกตัวอย่างเช่นเข็มแรกเป็นวีโรแรบต่อมาจะเป็น สปีดา และเข็มที่สาม จะเป็น วีโรแรบก็ได้

หลักที่สำคัญไม่ใช่เรื่องของชนิดของวัคซีนแต่เป็นวิธีการฉีด ถ้าเริ่มต้นด้วยการฉีดเข้าชั้นผิวหนังควรจะต่อไปด้วยการฉีดวิธีเดียวกัน

เช่นเดียวกับถ้าเริ่มต้นด้วยการฉีดเข้ากล้ามก็ต่อด้วยการฉีดเข้ากล้ามให้ครบ

อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นนักท่องเที่ยวและได้รับเข็มแรกเป็นการฉีดเข้าชั้นผิวหนังเมื่อกลับไปประเทศตนเองซึ่งไม่ชำนาญในการฉีดก็อาจสามารถที่จะอนุโลมเป็นฉีดเข้าชั้นกล้ามเนื้อต่อไปจนครบ


:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

Drama-addict

24 กันยายน 2560
https://www.facebook.com/DramaAdd/photos/a.411063588290.186101.141108613290/10155899708853291/?type=3&theater

อันนี้น้องหมอที่ รพแห่งนึง แถวๆภาคกลางนี่ล่ะ

บอกว่าเขากำลังจะโดนฟ้องเพราะว่าคนไข้โดนหมากัด

ก็ไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้ายี่ห้อVerorab ที่ รพ อีกแห่ง

แล้วมาฉีดวัคซีนต่อที่รพ เขา ที่ รพ เขาไม่มี Verorab

แต่มีวัคซีนอีกยี่ห้อคือSpeeda เขาก็ฉีดตัวนี้ให้คนไข้คนไข้ไปปรึกษาหมอที่ รพ แรก เขาบอกว่าใช้แทนกันไม่ได้เขาเลยตัดสินใจจะฟ้องหมอคนนี้เพราะเชื่อที่หมอ รพ นั้นบอก

น้องหมอคนนี้ก็ฝากจ่าโพสหน่อยเถอะว่าวัคซีนตัวนี้มันเป็นยังไงจริงๆแล้วมันใช้แทนกันได้มั้ยตอบว่า ได้นะครับ

คือตัว Verorabกับ Speeda มันผลิตคนละวิธีกัน

คือ Verorabผลิตด้วยการเลี้ยงเชื้อสายพันธ์ PMWI138-1503-3M แต่ Speeda ใช้สายพันธ์ L.Pasteur PV 2061

แต่ถามว่าใช้แทนกันได้มั้ยได้ครับผม

ในกรณีที่ฉีดวัคซีนตัวนึงมาแต่ของหมด ก็สามารถเอาอีกตัวมาฉีดต่อได้ แต่วิธีการฉีดมันต้องเหมือนกันนะและประสิทธิภาพก็ไม่ได้แตกต่างกันเลย

ดังนัน้ฝากวอนถึงคนไข้ท่านนี้อย่าไปเชื่อไอ้หมอคนที่บอกว่าใช้ร่วมกันไม่ได้ครับถ้าไม่เชื่อมีอาจารย์แพทย์ที่ชำนาญด้านนี้หลายๆท่านให้อ้างอิงอย่าฟ้องน้องมันด้วยเรื่องนี้เลยครับ คือมันไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะนั่นถ้าหมอโดนฟ้องด้วยเหตุผลนี้กันเยอะๆกลัวมันจะเสียกำลังใจกันหมด

อ้างอิง
แนวทางปฏิบัติโรคพิษสุนัขบ้า

//www.skko.moph.go.th/dward/document_file/cdc/common_form_upload_file/20140313192304_1741768127.pdf

//drug.pharmacy.psu.ac.th/Question.asp?ID=14761&gid=7





ลิงค์บทความ

" โรคพิษสุนัขบ้า  " 
//www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=20-03-2008&group=4&gblog=23

สุนัขจรจัด ปัญหาสังคม ระดับประเทศ ...สาเหตุและแนวทางแก้ปัญหา (นำมาฝาก)    //www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-02-2017&group=15&gblog=78




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2555   
Last Update : 26 กันยายน 2560 15:35:35 น.   
Counter : 19027 Pageviews.  

การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไร แปลผลอย่างไร ... by drcarebear (นำมาฝาก)



https://drcarebear.exteen.com/20101115/entry


การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไร แปลผลอย่างไร

posted on 15 Nov 2010 10:16

by drcarebear in Health

ช่วงนี้เข้าเทศกาลตรวจประจำปีของหลายๆท่าน หลายๆบริษัท ผลตรวจออกมาเห็นแต่ภาษาอังกฤษที่เป็นรายการแลป พร้อมกันตัวเลข หมอหมีมาสรุปรายการที่ตรวจบ่อยๆ แปลให้ว่าคืออะไรนะครับ


การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี


การตรวจเลือด

Complete blood count ความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด

เป็นการตรวจนับปริมาณเม็ดเลือดแดง รวมทั้งวัดปริมาตรของเม็ดเลือดแดง และรูปร่างของเม็ดเลือดแดงเพื่อบ่งชี้ภาวะของโลหิตจาง การตรวจนับเม็ดเลือดขาวเพื่อดูการติดเชื้อและภูมิต้านทานของร่างกาย และเกร็ดเลือดเพื่อดูความสามารถในการแข็งตัีวของเลือดเพื่อห้ามเลือดเมื่อเก ิดบาดแผล ได้แก่การตรวจ

Red Blood cells count เป็นการนับปริมาณเม็ดเลือดแดงรวมที่ร่างกายสร้างขึ้น จะพบว่าต่ำกว่าปกติเมื่อมีภาวโลหิตจาง

Haemoglobin ฮีโมโกลบิน ทำหน้าที่จับกับออกซิเจนเพื่อนำออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย และจะพบว่าต่ำกว่าปกติถ้ามีโลหิตจาง

Haematocrit คือการตรวจความเข้มข้นของเม็ดเลือดแดงที่อยู่ในเลือดจะพบว่าต่ำกว่าปกติถ้าม ีโลหิตจาง

เม็ดเลือดขาว ทำหน้าที่ในการป้องกันการติดเชื้อโรคและสร้างภูมิต้านทานของร่างกาย โดยแบ่งเป็นชนิดย่อย ๆ ห้า ชนิด ทำหน้าที่ต่าง ๆ กัน

เกร็ดเลือด ทำหน้าที่ในการแข็งตัวของเลือดและป้องกันการเสียเลือด

Blood group หมู่เลือด ในการตรวจหมู่เลือดมีการตรวจแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม คือ

หมู่ ABO
หมู่ Rh

Erythrocyte Sediment Rate (ESR) เป็นอัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ซึ่งจะช่วยบอกถึงภาวการณ์อักเสบภายในร่างกาย ทั้งที่เกิดจากการติดเชื้อโรค และการมีความผิดปกติของภูมิคุ้มกันร่างกาย

Hemoglobin Typing เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองโรคเลือดธาลัสซีเมีย ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมที่ำทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ซึ่งสามารถถ่ายทอดไปยังบุตรได้ และเป็นโรคที่มีความชุกในประเทศไทยค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงแนะนำให้ทำการตรวจเพื่อเตรียมตัวก่อนตั้งครรภ์ เนื่องจากโรคธาลัสซีเมียชนิดที่รุนแรงมาก อาจจะทำให้ทารกมีความพิการหรือแท้งตั้งแต่ในครรภ์ได้



โรคเบาหวาน

Glucose การตรวจวัดระัดับน้ำตาลในเลือด เพื่อทำการคัดกรองโรคเบาหวาน และกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งใช้ติดตามผลการรักษาโรคเบาหวานด้วย

Hemoglobin A1C เป็นการตรวจระดับน้ำตาลสะสมในเลือด โดยจะสามารถบอกได้ถึงภาวะโดยรวมของน้ำตาลในเลือดย้อนหลังได้ในระดับเดือนที่ ผ่านมาเพื่อคัดกรองโรคเบาหวานที่แม่นยำยิ่งขึ้น และประเมินการควบคุมระดับน้ำตาลของผู้ป่วยเบาหวาน

การตรวจภาวะแทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน สำหรับผู้ป่วยเบาหวานควรทำการตรวจเพื่อป้องกันภาวะที่เกิดขึ้นจากเบาหวานได้ แก่ การตรวจจอประสาทตา การตรวจการทำงานไต การตรวจการไหลเวียนเลือด



โรคไขมันในเลือดสูง

Total cholesterol ระัดับคอเลสเตอรอลรวมในเลือด เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงในการเิกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคเส้นเลือดสมอง รวมทั้งความดันโลหิตสูง

HDL-cholesterol ไขมันชนิดดี ไขมันชนิดดี HDL ทำหน้าที่ป้องกัีน LDL และ Cholesterol ไปสะสมที่เส้นเลือดและอวัยวะภายใน สามารถทำให้เพิ่มขึ้นได้โดยการออกกำลังกาย หลีกเลี่ยงควันบุหรี่ และรับประทานอาหารประเภทปลาทะเลเช่น ปลาแซลมอน ปลาเทราท์

LDL-Cholesterol ไขมันชนิดไม่ดี การติดตามการควบคุมระัดับไขมันในเลือดเพื่อป้องกันความเสียงในการเกิดเส้นเล ือดหัวใจตีบ จะทำการติดตามผลของระดับ LDL ให้ลดลงในระัดับที่เหมาะสม

Triglyceride ไตรกลีเซอไรด์ ไตรกลีเซอไรด์ได้จากการสังเคราะห์ที่ตับและการรับประทานอาหารที่มีไขมัน สาเหตุที่ทำให้ไตรกลีเซอไรด์สูงได้แก่ การไม่ออกกำลังกาย น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน การรับประทานอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป


โรคเก๊าท์

Uric acid ระัดับยูริคในเลือดที่สูงกว่ามาตรฐานจะทำให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดโรคเำก๊ าท์ โรคนิ่วในไต สาเหตุที่ทำให้ยูริคสูงขึ้นเกิดจากการบริโภคอาหารที่มีพิวรีนสูง ได้แก สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ผักบางชนิด เช่น แตงกวา หน่อไม้ฝรั่ง ยอดผัก เช่นชะอม กระุถินเป็นต้น



การทำงานไต

Blood urea nitrogen BUN เป็นการวัดระดับปริมาณของเสียในร่างกายที่ตามปกติร่างกายจะสามารถขับออกไปได ้ หากมีโรคไต จะทำให้มีการคั่งของสารชนิดนี้ในร่า่งกาย แต่อาจพบว่ามีค่าสูงขึ้นเล็กน้อยได้ หากอยู่ในภาวะขาดน้ำ รัีบประทานโปรตีนมากกว่าปกติ
Creatinine เป็นสารที่บ่งถึงการทำงานของไต ซึ่งถ้าหากมีค่าสูงปกติจะแสดงถึงการทำงานของไตที่แย่ลง


การทำงานตับ

Serum glutamic oxaloacetic transaminase (SGOT/AST) เอนไซม์ที่พบได้จากเนื้อเยื่อของอวัยวะหลายชนิดได้แก่ หัวใจ กล้ามเนื้อ สมอง ตับอ่อน ม้าม และไต ซึ่งจะสูงขึ้นผิดปกติ เมื่อมีการบาดเจ็บหรือการอักเสบของอวัยวะดังกล่าว

Serum glutamic Pyruvic transaminase (SGPT/ALT) ลักษณะเดียวกับ SGOT แต่มีความจำเพาะเจาะจงกับตับมากกว่า เนื่องจากพบได้ที่ตับมากกว่าอวัยวะอื่น ๆ ดังนั้นจะพบค่าเอนไซม์นี้สูงขึ้น เมื่อมีการอักเสบของตับ หรือการทำงานของตับมากขึ้นกว่าปกติเช่น การรับประทานยาบางชนิด

Alkaline Phosphatase เอนไซม์ที่สร้างมาจากตับ กระดูก ลำไส้ และรก จะพบว่าสูงผิดปกติเมื่อมีภาวะตับอักเสบ การบาดเจ็บของกระดูก เป็นต้น



การตรวจหาไวรัสตับอักเสบ

ไวรัสตับอักเสบบี การตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ทำได้โดยการตรวจ Hepatitis B Surface Antigen (HbsAg) และทำการตรวจหาภูมิคุ้มกันเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยการตรวจ Hepatits B Surface Antibody (Anti-HBs) ซึ่งถ้าทำการตรวจแล้วพบว่าเป็นพาหะสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบบี ต้องทำการตรวจเพิ่มเติมกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับ เพื่อทำการรักษาและป้องกันภาวะตับแข็ง หรือตรวจหาความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งตับต่อไป สำหรับผู้ที่ไม่เป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบี แต่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันควรได้รับการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันการติดเชื้อไวรัสต ับอักเสบบี

ไวรัสตับอักเสบเอ ไวรัสตับอักเสบเอจะสามารถติดต่อการจากการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารทำให้เกิดภ าวะตับอักเสบ ซึ่งสามารถทำการตรวจหาภูมิคุ้มกันสำหรับเชื้อไวรัสตับอักเสบเอได้ โดยกาการตรวจ HAV IgG หากไม่มีภูมิคุ้มกันควรฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบเอ

ไวรัสตับอักเสบซี การตรวจสำหรับไวรัสตับอักเสบซี จะเป็นการตรวจว่ามีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบซี หรือไม่ โดยการตรวจ Anti HCV ถ้าตรวจพบว่าผลเป็น Positive แสดงว่ามีการติดเชื้อหรือเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบซี จำเป็นต้องพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับเพื่อทำการรักษาต่อไป



การตรวจหาสารบ่งมะเร็ง Tumor Marker

Alpha-fetoprotein (AFP) เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งตับ ซึ่งหากพบว่าสูงกว่าค่ามาตรฐานจะต้องทำการตรวจโดยละเอียดกับแพทย์ผู้เชี่ยวช าญด้านโรคตับเพื่อยืนยันว่าเป็นมะเร็งตับ แต่อย่างไรก็ตาม ผลการตรวจ AFP อาจสูงขึ้นกว่าปกติได้เล็กน้อยในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรัง

Carcinoembrionic Antigen (CEA) เป็นการตรวจเพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ อาจพบว่าสูงขึ้นได้ในผู้ป่วยมะเร็งปอด ตับ ตับอ่อน และสามารถพบได้ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดมาเป็นเวลานาน ภาวะตับแข็ง หากพบว่าสูงกว่าค่ามาตรฐานต้องทำการตรวจโดยละเอียดเช่นการส่องกล้องตรวจลำไส ้ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

Prostate Specific Antigen (PSA) เป็นการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งต่อมลูกหมาก อาจจะพบว่าสูงกว่าปกติได้ในผู้ป่วยที่มีต่อมลูกหมากโต ควรจะทำการตรวจ PSA ในผู้ชายที่มีอายุมากกว่า 50 ปีและควรทำการตรวจเป็นประจำทุกปี

CA125 เป็นการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งรังไข่ และสามารถพบว่าสูงขึ้นได้ในผู้ป่วยที่มีถุงน้ำที่รังไข่ ก้อนเนื้อที่รังไข่ หรือมีการอักเสบในอุ้งเชิงกราน ซึ่งหากพบว่ามีค่าสูงกว่ามาตรฐานควรพบสูตินรีแพทย์เพื่อทำการตรวจเพิ่มเติมเ ช่น การตรวจอัลตราซาวน์ช่องท้องส่วนล่าง หรือการส่องกล้องเพื่อตรวจภายในช่องท้อง

Ca15-3 เป็นการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตามการตรวจมะเร็งที่ได้ผลดีและเป็นที่น่าเชื่อถือมากกว่าคือการตรว จ เอ๊กซเรย์และอัลตราซาวน์เต้านม (Mammogram)

CA19-9 เป็นการตรวจคัดกรองสำหรับมะเร็งตับอ่อนและทางเดินอาหาร หากพบว่าสูงกว่ามาตรฐานควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านระบบทางเดินอาหารเพื่อทำการตรวจเพิ่มเติม



การตรวจปัสสาวะ

การตรวจปัสสาวะเป็นการตรวจเพื่อดูการทำงานของไต และระบบทางเดินปัสสาวะ โดยก่อนตรวจควรทำความสะอาดบริเวณอวัยวะเพศให้สะอาด และการเก็บปัสสาวะต้องเก็บปัสสาวะส่วนกลาง โดยทิ้งส่วนต้นและส่วนท้ายออกเพื่อป้องกันการปนเปื้อนและสามารถแปลผลได้อย่างถูกต้อง ในการตรวจปัสสาวะจะเริ่มตั้งแต่การตรวจสี ความใส ความเป็นกรดด่าง และการตรวจหาสารต่าง ๆ ที่จะปนมาในปัสสาวะได้แก่

- โปรตีน ถ้าพบว่ามีโปรตีนปนมาในปัสสาวะต้องทำการตรวจการทำงานไตโดยละเอียดเนื่องจากอ าจมีความผิดปกติของการทำงานไต

- น้ำตาล หากพบว่ามีน้ำตาลปนมาในปัสสาวะอาจบ่งถึงภาวะเบาหวานควรตรวจเพิ่มเติมเพื่อวิ นิจฉัยภาวะเบาหวาน

- เลือด หากพบว่ามีเลือดปน อาจเกิดจากนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะเช่นมีเนื้องอกหรือมีการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ จึงต้องทำการตรวจเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุ



การตรวจอุจจาระ

หลาย ๆ ท่านอาจจะเข้าใจว่าการตรวจอุจจาระไม่สำคัญ เพียงเข้าใจว่าทำการตรวจเพื่อหาพยาธิ หรือโรคติดเชื้อในทางเดินอาหาร แต่อันที่จริงแล้วการตรวจหาเลือดที่ปนในอุจจาระ Stool Occult Blood มีความสำคัญในการคัดกรองการเกิดมะเร็งลำไส้ โดยมีหลักฐานการวิจัยที่ยืนยันว่าการตรวจอุจจาระช่วยในการวินิจฉัยมะเร็งลำไ ส้ได้ตั้งแต่ระยะแรก และหากพบว่ามีเลือดปนในอุจจาระต้องทำการตรวจเพิ่มเติมโดยการส่องกล้องเพื่อตรวจทางเดินอาหารโดยละเอียด



พูดคุยกับ Dr.Carebear Samitivej
https://www.facebook.com/DrCarebear







แถม ..




การแปลผลการตรวจสุขภาพประจำปี 2548

https://www.dusit.ac.th/department/anamai/pla_result.html


การแปลผลการตรวจเลือด

https://www.siamhealth.net/public_html/Health/Lab_interprete/labo_main.htm




ตรวจสุขภาพประจำปี จำเป็นหรือไม่

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=09-06-2008&group=4&gblog=45

แนวทางการตรวจสุขภาพของประชาชน

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=01-07-2008&group=4&gblog=52

ตรวจร่างกายประจำปี.. สิ่งที่ได้คือความแข็งแรง หรือ ความเจ็บป่วย?? .. นำมาฝากไม่ได้เขียนเอง ..

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=11-06-2010&group=4&gblog=83

ตรวจสุขภาพประจำปี ตรวจอะไร แปลผลอย่างไร ... bydrcarebear (นำมาฝาก)

https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=30-12-2011&group=4&gblog=93

ตรวจสุขภาพประจำปี ที่แท้จริงหมายถึงอะไรตรวจไปเพื่ออะไร

https://www.hitap.net/167211

ตรวจคัดกรองต่างจากตรวจวินิจฉัยอย่างไร

https://www.hitap.net/167233

ตอนที่ 1ตรวจร่ายกายเท่าที่จำเป็น สำหรับผู้หญิง

https://www.hitap.net/167411

ตอนที่ 2ตรวจร่างกายเท่าที่จำเป็น สำหรับผู้ชาย

https://www.hitap.net/167420

ตรวจอะไรได้ไม่คุ้มเสีย

https://www.hitap.net/167523

ข้อเสนอเพื่อการพัฒนาระบบการคัดกรองทางสุขภาพที่เหมาะสมสำหรับประชาชนไทย

https://www.hitap.net/research/17560

การศึกษาเพื่อพัฒนาชุดสิทธิประโยชน์ด้านการคัดกรองทางสุขภาพระดับประชากรในประเทศไทย

https://www.hitap.net/research/17573

เว็บไซต์ตรวจสุขภาพด้วยตนเองอย่างง่าย

https://www.mycheckup.in.th/

หนังสือเช็คระยะสุขภาพ

https://www.hitap.net/news/24143

หนังสือเช็คระยะสุขภาพ ตรวจดีได้ ตรวจร้ายเสีย

https://www.hitap.net/documents/18970

https://www.hitap.net/research/17573




 

Create Date : 30 ธันวาคม 2554   
Last Update : 12 กันยายน 2561 13:51:55 น.   
Counter : 25919 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 763 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]