Ortho knowledge for all @ Do no harm patient and myself @ สุขภาพดี ไม่มีขาย ถ้าอยากได้ ต้องสร้างเอง

ข้อแนะนำเมื่อต้องรับการรักษา

 
ข้อแนะนำเมื่อต้องรับการรักษา


มีผู้ป่วยจำนวนมาก ที่ได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์เรียบร้อยแล้วแต่ยังไม่ทราบว่า ตนเองป่วยเป็นอะไร และต้องปฏิบัติตัวอย่างไร ทำให้ผลของการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร เพราะผลการรักษาจะดีหรือไม่นั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือของทุกฝ่ายทั้ง แพทย์ ผู้ป่วยและญาติ ถ้าทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกัน ผลของการรักษาก็จะออกมาดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าผู้ป่วยและญาติไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วยที่เป็นอยู่ก็คงไม่สามารถปฏิบัติตัวให้เหมาะสมถูกต้องได้

ดังนั้นถ้าท่านต้องการให้ผลการรักษาความเจ็บป่วยของตัวท่านเองออกมาดี ก็เป็นหน้าที่ของท่านที่ควรจะ

• บอกข้อมูลที่สำคัญเกี่ยวกับความเจ็บป่วยของท่าน กับแพทย์ หรือ พยาบาล

• สอบถามข้อมูล จาก แพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่อื่น ๆ เกี่ยวกับความเจ็บป่วยของท่าน



การรักษา ไม่ได้หมายความถึงแค่รับประทานยาเท่านั้น ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง ซึ่งข้อแนะนำต่อไปนี้ ก็จะเพิ่มสิ่งที่มีประโยชน์ ในการดูแลรักษาความเจ็บป่วยของท่าน….

1. ร่วมตัดสินใจกับแพทย์ เกี่ยวกับแนวทางการรักษา

• ไม่ต้องกลัวที่จะถามหรือพูดคุยกับแพทย์เกี่ยวกับความกังวลใจที่มีอยู่ คุณอาจต้องจดคำถามที่อยากรู้เพื่อที่จะได้ถามแพทย์ในการพบกับ แพทย์ ในครั้งต่อไป

• ควรนำเพื่อน หรือ คนในครอบครัว ไปพบแพทย์กับคุณด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันปรึกษา ซักถามแพทย์ หรือ ช่วยจำสิ่งที่แพทย์ได้แนะนำไว้
ตัวอย่างคำถาม เช่น

ชื่อ - นามสกุล ของแพทย์ ผู้ที่ให้การรักษา เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านไหน

ป่วยเป็นโรคอะไร มีกี่โรค รักษาหายหรือไม่

แนวทางรักษา มีวิธีไหนบ้าง ผลดี ผลเสีย ผลข้างเคียง ของ ยา หรือ การรักษาแต่ละวิธี เช่น กินยา ใส่เฝือก เครื่องพยุงอื่น ๆ กายภาพบำบัด

แพทย์แนะนำว่า ควรจะรักษาด้วยวิธีไหน ทำไมแพทย์จึงเลือกวิธีนั้น

จะต้องผ่าตัดหรือไม่ ถ้าต้องผ่าตัดจะใช้วิธี ดมยาสลบ หรือ ฉีดยาชาเฉพาะที่

ข้อดี ข้อเสีย และ ผลข้างเคียง ถ้ารักษาตามวิธีที่แพทย์แนะนำ และถ้าไม่รักษาจะมีข้อเสียอย่างไรบ้าง

การปฏิบัติตัวเมื่อกลับบ้าน เช่น วิธีกินยา การทำแผล วันตัดไหม วิธีทำกายภาพบำบัด

แพทย์นัดมาตรวจซ้ำหรือไม่ ถ้าแพทย์นัด นัดมาตรวจวันที่เท่าไร เวลาอะไร มีใบนัดให้ด้วยหรือไม่

คุณควรบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้แพทย์ทราบ เช่น

ประวัติความเจ็บป่วย หรือ ปัญหาทางสุขภาพ ที่คุณเคยได้รับการรักษา

โรคประจำตัว ที่กำลังรักษาอยู่ มีโรคอะไรบ้าง เช่น โรคปอด หอบหืด เบาหวาน โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง

ยาที่ต้องรับประทาน หรือ ต้องฉีดเป็นประจำ ยาที่กำลังรับประทานอยู่ เป็นยาอะไรบ้าง ถ้าระบุชื่อยาได้ก็ยิ่งดี เพื่อป้องกันการทำปฏิกิริยาระหว่างยาแต่ละตัว ( ยาตีกัน ) และ รักษาประจำที่ไหน

ประวัติการแพ้ยา หรือ ปัญหาเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา ถ้าเคยแพ้ยา ยาชื่อว่าอะไร ยามีลักษณะอย่างไร เมื่อแพ้ยา มีอาการอย่างไรบ้างและไปรับการรักษาที่ไหน รักษาอย่างไร ต้องนอนในโรงพยาบาลหรือไม่

คุณกำลังตั้งครรภ์ หรือ ให้นมบุตร

อะไรที่คุณคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญเกี่ยวกับการรักษา เช่น ราคา ผลข้างเคียงของยาต่อการทำงาน หรือ อยากได้ยาที่แพทย์คิดว่าดีที่สุด ซึ่งอาจมีราคาสูง หรือ อยากได้ยาที่มีจำนวนครั้งที่รับประทานยาไม่บ่อย

การรักษาที่ได้รับครั้งก่อน รักษาอย่างไร รู้สึกว่าทำให้อาการของโรค ดีขึ้น เหมือนเดิมหรือแย่ลงกว่าเดิม

2. ปฏิบัติตามแนวทางการรักษา
เมื่อคุณ เห็นด้วยกับแนวทางรักษาของแพทย์ คุณควรถาม และ บอกสิ่งที่คุณต้องการ หรือ กังวลใจอยู่

ไม่ควรหยุดยาเอง เพราะ รู้สึกว่าดีขึ้น

ไม่ควร ซื้อยาเพิ่ม แล้วนำมารับประทานต่อเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์

ไม่ควร เพิ่ม หรือ ลด ปริมาณยา จากที่แพทย์ได้แนะนำ

ถ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับยา หรือ วิธีรักษา ควรปรึกษาแพทย์ทุกครั้ง

คำถามที่ควรถามเกี่ยวกับยา ที่คุณได้รับ
 
ยา ชื่ออะไร เป็นชื่อทางการค้า หรือ ชื่อทั่วไป
ยามีฤทธิ์อย่างไร ใช้เพื่อรักษาอะไร
รับประทานอย่างไร วันละกี่ครั้ง เวลาไหนบ้าง ก่อนหรือหลังอาหาร ครั้งละกี่เม็ด และ ต้องรับประทานไปนาน แค่ไหน กี่วัน กี่เดือน กี่ปี เมื่อไรจึงจะหยุดยาได้
ถ้าอาการดีขึ้น จะลดปริมาณยา หรือ หยุดยาได้หรือไม่
ผลข้างเคียงของยา ที่อาจเกิดขึ้น และ เมื่อเกิดผลข้างเคียงขึ้น ควรจะทำอย่างไร
ถ้าลืมกินยา จะเกิดอะไรขึ้น และ ควรทำอย่างไร
อะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยงเมื่อรับประทานยา เช่น อาหาร เครื่องดื่ม ยาอื่น หรือ กิจกรรมในชีวิตประจำวัน

มีเอกสาร หรือ สามารถเขียนข้อมูลต่าง ๆ ให้ด้วยหรือไม่


3. คุณควรบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้แพทย์ทราบ เช่น

สิ่งที่คุณกังวลเกี่ยวกับการใช้ยา หรือ การรักษาอื่น ๆ

ถ้าคุณไม่ได้รับประทานยาตามแพทย์สั่ง เช่น หยุดยาเองเมื่อรู้สึกดีขึ้น ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ และสิ่งที่สำคัญก็คือ ยาที่ได้รับ ไม่ควรแบ่งให้คนอื่นรับประทาน
สังเกตปัญหา หรือ ผลข้างเคียงจากการรักษา ปัญหาที่เกิดขึ้น ภายหลังรับประทานยา ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับยา

จะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่ได้รับนั้นใช้ได้ผล ใช้เวลานานเท่าไรจึงจะเห็นผล จะได้ไม่หยุดยาเองเพราะคิดว่ายาไม่ได้ผล เช่น ยาแก้ปวดลดการอักเสบ ถ้าได้ผลอาการปวดก็จะลดลง ซึ่งอาจต้องใช้เวลา 1-2 อาทิตย์จึงจะเห็นผล เป็นต้น



ดัดแปลงจาก Prescription Medicines and You. AHCPR Publication No. 96-0056, October 1999. https://www.ahcpr.gov/consumer/ncpiebro.htm

::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

Ittaporn Kanacharoen
https://www.facebook.com/ittaporn/posts/3465995920127856

"หาหมอ ต้องเตรียมอะไรบ้าง?"

วันนี้ได้รับคำถามว่า
"อาหมอครับ คุณแม่ไม่สบายจะไปหาหมอ ต้องเตรียมอะไรบ้างครับ?"
♡เป็นคำถามง่ายๆ ที่ตอบยากผมตอบหลานไปแล้วนึกได้ว่า อาจมีคนอื่นอยากรู้เช่นเดียวกันจึงขอลองแชร์ เพราะมีหลายประเด็นน่าจะช่วยคุณหมอย่นเวลาได้ครับ

1. ก่อนหาหมอต้องถามตัวเองว่าใช้สิทธิ์อะไร ถ้า ไม่แน่ใจ ใครกด 1330 แล้วกดเลขบัตรประชาชน จะบอกว่าเรามีสิทธิ การรักษาฟรีที่โรงพยาบาลใด ใน 30 บาท หรือเป็นสิทธิ์ประกันสังคมที่ใด หรือสิทธิข้าราชการที่ไปได้ในโรงพยาบาลรัฐทุกที่ ถ้าเข้า 30 นั้นท่านจะได้รับการยกเว้นค่าใช้จ่าย จะได้ไปให้ถูกครับ
.
2. หากไม่เข้าตามสิทธิ์ฟรี ต้องตรวจสอบดูก่อนนะครับเพราะเอกชนนั้นมีหลายระดับหลายราคา แปลว่าต้องเตรียมงบประมาณ ทีเดียว ยกเว้นกรณี UCEP หรือฉุกเฉินวิกฤตที่จะเข้าฟรีได้ทุกที่ แต่ต้องโทรติดต่อ ก่อนนะครับว่าอาการของท่านเข้าข่ายหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจผมแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิจะปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องมาจ่ายเพิ่มภายหลัง
.
การมีประกันสุขภาพดูให้ดีนะครับ ว่าท่านประกันไว้แบบไหน บางแบบต้องจ่ายเองก่อน แล้วเบิกคืนซึ่งอาจจะได้บางส่วน บางทีน้อยมาก หากไม่ตรงเงื่อนไข ที่ท่านซื้อไว้ โปรดตรวจสอบให้ดี หลายรายใช้ไม่ได้ครับ กลายเป็นว่าเข้าเอกชนแล้วท่านต้องจ่ายเองจำนวนมาก ซึ่งไม่คุ้ม และวงเงินก็มีผล บางครั้ง เข้าเอกชน วงเงินอาจจะไม่พอในบางโรค โดยเฉพาะที่ต้องผ่าตัดครับ ขอให้ท่านพึงระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
.
3. กลับมาเรื่องของอาการป่วย เพื่อความรวดเร็วในการรับการรักษา ขอให้ท่าน ช่วยจดมาจากบ้านโดยเฉพาะกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน วางแผนเขียนมาเลยครับว่า

3.1 อาการเป็นอย่างไร เป็นมานานเท่าไหร่ อะไรทำให้ดีขึ้น อะไรทำให้แย่ลง ก่อนมีอาการนั้น ได้กินอะไร ไปที่ไหน ออกกำลังอย่างไร กินยาอะไร หรือมีความผิดปกติอย่างไรนำมาก่อน เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน แล้วจดลงกระดาษไว้ ตอนพบหมอได้อธิบายทีเดียวครับ
.
3.2 โรคประจำตัวของท่านมีอะไรบ้าง เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ หรืออื่นๆ และกินยาอะไรอยู่ประจำ จดชื่อยามาเลยนะครับ ถ้าไม่แน่ใจหยิบยามาทั้งหมด เอามาโชว์คุณหมอเลยเวลาให้ยาจะได้ไม่ตีกัน
.
กรณีบางท่านมีความศรัทธาส่วนตัว ในยา สมุนไพร ยาพรายกระซิบ หรือยาน้ำ ยาต้ม บาหม้อชนิดแปลกๆ ให้เอาติดหรือจดมาให้หมอด้วยนะครับ เพราะบางตัวมีผลต่อตับ และต่อไต โดยเฉพาะยาหม้อ และยาสเตียรอยด์ จะได้ ให้คุณหมอดูทีเดียว ไม่นับรวมที่ต้องบอกว่าแพ้ยาอะไรด้วยนะครับ
.
3.3 กรณีเคยตรวจแลป ตรวจเอ็กซเรย์คลื่นหัวใจ CT MRI หรืออื่นๆที่มีผลอยู่ที่ตัว ฝากเอาติดมาด้วยนะครับ เพราะบางครั้งจะสะดวกขึ้นไม่ต้องทำใหม่ ผมมักจะแนะนำให้คนไข้ ประจำ มีกระเป๋า 1 ใบ พอรับเอกสารจากโรงพยาบาลแล้วใส่ไว้ในที่เดียวกันหมด เวลาฉุกเฉินถือใบนี้มาโรงพยาบาลจะง่ายที่สุดครับ.
.
3.4 กรณีที่คนไข้ต้องเดินทางต่างประเทศ ผมมักจะขอให้นำเอกสารสรุป ประวัติเหล่านี้สแกนและใส่ไว้ในอีเมล ของตัวเองเวลาไปมีอาการผิดปกติที่ต่างประเทศจะได้ เปิดให้คุณหมอประเทศนั้นดูได้เลย เพราะเคยมีบางครั้งแค่เจ็บหน้าอก ไปโรงพยาบาลในต่างประเทศด่วนตรวจใหม่ทั้งหมดเสียเวลาทั้งวัน เพราะเขากลัวพลาดโรคหัวใจ ทั้งๆที่เคยตรวจไปหมดแล้วที่กรุงเทพฯ ที่สำคัญเสียเงินแพงมากแถมได้ยามาขวดเดียว จะได้ไม่เสียเงินและเสียเวลาซ้ำครับ
.
3.5 กรณีเป็นเด็ก ที่ต้องมีผู้อนุญาตในการใช้สิทธิ์ต่างๆโปรดเตรียมแจ้งผู้ปกครองมาด้วยนะครับเตรียมเอกสารสำคัญ ติดตัวมาเผื่อต้องผ่าตัด หรือดำเนินการอย่างอื่นจะได้รวดเร็ว กรณีเป็นครูต้องแจ้งทางบ้านด้วย และตรวจสอบสิทธิของเด็กมาให้เรียบร้อยครับ
.
3.6 กรณีมีความผิดปกติที่เป็นพฤติกรรม เช่นแขนขากระตุกหน้ากระตุก ปากเบี้ยว ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ให้ถ่ายภาพหรือวีดีโอมาเลยครับ เพราะอธิบายอย่างไรก็อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน ใช้ภาพดีที่สุดครับ
.
3.7 กรณีพบหมดสติหรือไม่รู้ตัว ในพื้นที่ช่วยเก็บของอุปกรณ์โดยรอบตัว เป็นภาพมาด้วยครับ โดยเฉพาะขวดยาและสารเคมีต่างๆ Alcohol เหล้าเบียร์ แก้วน้ำที่กินรวมถึงอะไรที่จะมีผล ต่อการหมดสติ อย่างน้อยถ่ายรูปมาให้หน่อยครับ เวลาหมอวินิจฉัยจะได้สอดคล้องกับสถานการณ์ ถ้าเป็นงูหรือ สัตว์อื่น หรือตะขาบกัด อาจจะเอารูปหรือตัวจริงมาเลยครับ รับรองหมอไม่กลัว แถมจะดูชนิดได้แม่นยำด้วยครับ
.
3.8 กรณีเป็นคนไข้ประจำ รับยาเป็นประจำอยู่แล้ว และกรณีไม่ด่วน ขอให้ช่วยนับเม็ดยาที่เหลือมาให้ด้วย จะบอกได้ว่าคนไข้ขาดยาบ่อยหรือเปล่า ซึ่งบางทีเป็นผลให้โรคแย่ลงได้ โดยเฉพาะใน ผู้สูงวัยอาจจะลืมยา ในทางตรงกันข้ามบางครั้งกินยาเกินขนาด ให้กิน ครึ่งเม็ดกิน 1 เม็ด อันนี้ก็เป็นอันตรายได้ การนับเม็ดยามาจะบอกประสิทธิภาพการรักษาได้ครับ
.
3.9 บางครอบครัวมีอุปกรณ์วัดที่บ้านเช่นความดันโลหิตสูง เครื่องตรวจน้ำตาล เครื่องตรวจปัสสาวะ ช่วยติดผลมาให้ด้วยนะครับจะช่วยได้มากทีเดียว อย่าตรวจแล้วเก็บไว้ดูเองขอหมอดูด้วยนะครับ
.
3.10 กรณีผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องมาโรงพยาบาล และอาจต้องนอนโรงพยาบาลนั้นขอให้เตรียมตัวเผื่อ เฝ้าไข้ด้วยครับ เพราะหลายครั้งต้องอยู่เป็นเพื่อนคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ต้องผ่าตัดครับ
.
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่ต้องเตรียมตัวเพื่อเป็นคนไข้ที่พร้อมและจะทำให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งต้องร่วมมือกันทั้ง ผู้ป่วย ญาติ และทีมแพทย์ครับ
.
ฝากช่วยเตรียมข้อมูลมาให้พวกเราด้วยนะครับ รับรองจะดูแลได้อย่างไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
จะให้ดีจดมาเลยนะครับ
.
ลองสรุปมาเป็นแนวทางนะครับ อาจารย์หมอท่านอื่นมีอะไรช่วยผมเติมได้เลยนะครับ ด้วยความปรารถนาดีครับ

หมออิทธพร
23.08.2563

#พบหมอแบบมืออาชีพ

ข้อสังเกตคลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข

๑.มีป้ายชื่อสถานพยาบาลและเลขที่ใบอนุญาต ๑๑ หลัก ติดไว้หน้าคลินิก

๒.แสดงใบอนุญาต ให้ประกอบกิจการสถานพยาบาล

๓.แสดงใบอนุญาต ให้ดำเนินการสถานพยาบาล

๔.แสดงหลักฐานการชำระค่าธรรมเนียมประจำปี ของปีปัจจุบัน

๕.แสดงรูปถ่ายของผู้ประกอบวิชาชีพ พร้อม ชื่อและเลขที่ใบประกอบวิชาชีพ

๖.แสดงอัตราค่ารักษาพยาบาล และ สามารถสอบถามอัตราค่ารักษาได้

๗.แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ สิทธิผู้ป่วย ในที่เปิดเผยและเห็นง่าย

 

อ้างอิง:

คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข

สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข

โทร02 193 7000 ต่อ 18416 - 7

www.mrd.go.th

FB@สารวัตรสถานพยาบาลOnline

https://www.facebook.com/สารวัตรสถานพยาบาล-Online-1502055683387990/

 

:::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::::

 

คู่มือประชาชนในการเลือก คลินิก ที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงสาธารณสุข
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=07-07-2017&group=15&gblog=80
ช่องทางร้องเรียนเกี่ยวกับ ...ยา ....หมอ ....คลินิก .....โรงพยาบาล ...
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=23-02-2009&group=7&gblog=18
ไปคลินิกแล้ว จะดูอย่างไรว่า ผู้ที่ตรวจรักษา เป็น หมอจริง ?
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=10-07-2020&group=7&gblog=238
แขวนป้ายแขวน ใบว. ถ้ารู้แล้วยืนยันจะเสี่ยงก็ไม่ว่ากัน
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=12-11-2015&group=7&gblog=193
ข้อแนะนำก่อนจะพบแพทย์กระดูกและข้อ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=04-07-2008&group=7&gblog=3
ข้อแนะนำเมื่อต้องรับการรักษา
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=24-12-2007&group=4&gblog=2
คำถาม..ที่ควรรู้..คำตอบ
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=03-01-2008&group=4&gblog=3
เคล็ดลับ20 ประการ ที่จะช่วยคุณ "ป้องกันความผิดพลาดทางการแพทย์ในการเข้ารับบริการสุขภาพ "...
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=10-2010&date=19&group=27&gblog=52
หมอคนไหนดี“ ??? .... คำถามสั้น ๆ ง่ายๆ แต่ ไม่รู้จะตอบอย่างไร ..
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=14-01-2012&group=15&gblog=42
ผลของการรักษาโรค
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=01-2008&date=05&group=27&gblog=22
 
ข้อเท็จจริงในการดูแลรักษาโรคภัยไข้เจ็บโดยแพทย์
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=cmu2807&month=06-2013&date=11&group=27&gblog=12
ฉลาดเลือกใช้...การแพทย์ทางเลือกโดยอ.ประมาณ เลืองวัฒนะวณิช
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=25-09-2011&group=7&gblog=149
หน้าที่อันพึ่งปฏิบัติของผู้ป่วย(มิย.๖๓) สิทธิและข้อพึงปฏิบัติของผู้ป่วย(สค.๕๘) สิทธิผู้ป่วย(เมย.๔๑)https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=23-12-2007&group=4&gblog=1
ความรู้เกี่ยวกับใบรับรองแพทย์
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=06-01-2008&group=4&gblog=5
 

 


Create Date : 24 ธันวาคม 2550
Last Update : 23 สิงหาคม 2563 21:30:13 น. 7 comments
Counter : 15191 Pageviews.  

 
Merry Christmas & Happy New Year
ล่วงหน้านะคะ
ขอให้มีความสุข+สุภาพร่างกายแข็งแรงกันทั้งครอบครัวเลยนะคะ


โดย: weraj วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:15:11:23 น.  

 
สวัสดีค่ะ พี่หมู

อ่านแล้วดีจังเลยค่ะ

ขอบคุณมากๆค่ะ


โดย: เชอรี่ (JAN_CHERRY ) วันที่: 24 ธันวาคม 2550 เวลา:18:00:01 น.  

 


แวะมาส่งความสุขกันก่อนปีใหม่นะคะ

มีความสุขมากๆจ้า


โดย: เชอรี่ (JAN_CHERRY ) วันที่: 31 ธันวาคม 2550 เวลา:9:19:43 น.  

 


ขอบคุณครับ

ขอให้สิ่งดี ๆ และ คำอวยพร ทั้งหลาย ย้อนกลับไปหาทุกท่าน เพิ่มเป็น สิบเท่า เลยนะครับ ...


โดย: หมอหมู วันที่: 8 มกราคม 2551 เวลา:18:05:37 น.  

 
ขอบคุณมากคะ.....


โดย: ขวัญหทัย วันที่: 7 มกราคม 2552 เวลา:19:30:46 น.  

 
คุณภาพชีวิต 19 สิงหาคม 2552 11:18:54

//www.innnews.co.th/Qualityoflife.php?nid=185908


เคล็ดลับเตรียมตัวไปหาหมอ

เมื่อเราเกิดอาการเจ็บป่วยขึ้น ควรสังเกตอาการ และไปพบแพทย์ ไปอ่านเคล็ดลับการเตรียมตัวทั้งก่อนไป-ขณะพบ-หลังพบแพทย์ ว่าต้องทำอย่างไร

การไปพบแพทย์แต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญกับทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยที่อยู่ในชนบท ห่างไกลสถานพยาบาล ซึ่งมักจะต้องจัดหารถเพื่อเดินทาง ชักชวนไหว้วานเครือญาติมาเป็นเพื่อน ต้องเตรียมอาหารการกินระหว่างการเดินทางและการรักษา จนพร้อมสรรพแล้วจึงออกเดินทางเข้ามาพบแพทย์หรือแม้แต่คนในเมืองก็ตามเวลาไปพบแพทย์ก็จะต้องเตรียมตัววางแผน และลางาน ซึ่งล้วนเกิดความสูญเสียทั้งเรื่องเวลาของการประกอบอาชีพ ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง และค่ารักษาพยาบาล

เนื่องจากมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมาก ช่วงเวลาที่ผู้ป่วยจะได้พบแพทย์จึงเป็นช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ ซึ่งรวมถึงการเข้ารับการตรวจ การวินิจฉัย และให้การรักษาของแพทย์ จึงประมาณได้ว่า ผู้ป่วยแต่ละคนจะมีเวลาพบแพทย์เพียง 5 ถึง 10 นาทีเท่านั้น

ดังนั้น ช่วงเวลาดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนเป็น “นาทีทองของผู้ป่วย” ที่จะต้องมีการใช้เวลาอย่างคุ้มค่าให้มีประสิทธิภาพดีที่สุด เพื่อให้ได้รับการรักษาที่ดี ถูกโรค ถูกยา หายป่วย หายไข้ ปลอดภัย และประหยัด


การเตรียมตัวไปพบแพทย์ขอแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ๆ ดังนี้

1. การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์

2. ขณะไปพบแพทย์

3. การปฏิบัติตนเองหลังไปพบแพทย์

การเตรียมตัวก่อนไปพบแพทย์

ขั้นตอนแรกนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญ เริ่มจากการสังเกตสิ่งผิดปกติของตัวเรา ซึ่งเรื่องนี้ไม่มีใครรู้ตัวเราเท่าตัวเราเอง ควรจดบันทึกสิ่งผิดปกติ และควรเลือกไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ และถ้ามีโอกาสก็ควรจำรายละเอียดให้แม่นยำ และถ้ามีรายละเอียดเป็นจำนวนมากก็อาจจะจดบันทึกวันเวลา ระยะเวลาที่มีอาการเจ็บป่วยความรุนแรง การลุกลาม ตำแหน่งที่เป็น อวัยวะที่รู้สึกเป็นต้น เพราะจะได้ดำเนินการดังนี้

1. สังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้น

เมื่อเริ่มมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายของเราควรสังเกต เฝ้าระวัง และติดตามอย่างสนใจ จดจ่อ และต่อเนื่อง ว่าสิ่งผิดปกตินี้มีอาการและระดับความรุนแรงอย่างไร เคยเป็นอย่างนี้มาหรือยัง รวมถึงระยะเวลาที่มีอาการเจ็บป่วย ความรุนแรง การลุกลาม ตำแหน่งที่เป็น อวัยวะที่รู้สึก และอื่นๆ ถ้ามีโอกาสก็ควรจำรายละเอียดต่างๆ ให้แม่นยำ แต่ถ้ามีรายละเอียดเป็นจำนวนมาก ก็อาจจะจดบันทึกข้อมูลให้ครบถ้วน เมื่อไปพบแพทย์จะได้ให้ข้อมูลได้ถูกต้อง แม่นยำ และครบถ้วน ซึ่งจะส่งผลดีกับตัวเราเอง

2. ไม่มีใครรู้จักสุขภาพร่างกายของคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเอง

ไม่ว่าสิ่งผิดปกติจะเป็นด้านจิตใจ ร่างกาย หรือความนึกคิดของคุณ คนที่จะรู้ดีที่สุด ก็คือตัวของคุณเองคนที่เป็นเจ้าของร่างกายอันนี้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งดี สิ่งร้ายโรคภัยไข้เจ็บอะไรขึ้น ดังนั้น คุณจึงควรสังเกตสิ่งเหล่านี้ให้ครบถ้วนว่าเป็นอย่างไร เป็นที่ไหน เป็นมากนานเพียงใด

3.จดบันทึกข้อมูลสุขภาพ

รายละเอียดของสิ่งผิดปกติเหล่านี้จะมีคุณค่ามากขึ้น และช่วยให้ได้ข้อมูลความเจ็บป่วยที่ครบถ้วน จึงควรจดบันทึกความเจ็บป่วยไข้ ว่ามีอาการอย่างไรบ้าง เป็นที่ไหนบ้าง เป็นมานานแค่ไหน จดบันทึกไว้ หรือบางคนอาจจัดทำไว้เป็นสมุดบันทึกสุขภาพก็ยิ่งดี และจะมีคุณค่ามากเมื่อไปพบแพทย์ ซึ่งจะได้กล่าวถึงต่อไป

4. รู้แต่เนิ่นๆ ยังเป็นน้อยรักษาได้ง่าย

การสังเกตและไม่นิ่งนอนใจในสิ่งผิดปกติต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ดี เพราะถ้ารู้ตัวแต่เนิ่นๆ ในขณะที่ยังมีอาการน้อย และความรุนแรงของโรคไม่มาก โดยทั่วไปก็จะทำการรักษาให้หายได้โดยง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เสียเวลาและไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย

ในทางตรงกันข้ามถ้าปล่อยให้เป็นมากๆ แล้วจึงไปพบแพทย์ ขณะที่มีอาการมากและโรคลุกลาม การรักษาก็จะยุ่งยาก วุ่นวาย เสียเวลา และค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนมาก หลายคนต้องขายที่ขายทาง ขายไร่ขายนา เพื่อนำเงินมาใช้รักษา จนเกิดคำว่า “ล้มละลายจากการรักษาพยาบาล”

5. เตรียมข้อคำถามที่อยากรู้

นอกจากนี้ อาจซักซ้อนเตรียมคำถามที่เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยที่ต้องการทราบคำตอบจากแพทย์ เช่น โรคที่เป็น ระดับความรุนแรงของโรค เป้าหมายของการรักษา ยาและการใช้ยา เป็นต้น เพราะจะได้ถามแพทย์ในช่วงนาทีทองของคุณ

ขณะไปแพทย์

ขั้นตอนแรกเหมือนการวางแผนเพื่อรวบรวมข้อมูลสิ่งผิดปกติและเตรียมตัวไปพบแพทย์ และเมื่อถึงขั้นตอนที่ 2 ที่ผู้ป่วยจะไปพบแพทย์จริงๆ ก็ควรจะไปแต่เช้า หรือตรงเวลานัดของแพทย์จริงๆ ก็ควรจะไปแต่เช้า หรือตรงเวลานัดของแพทย์ ถ้าจะให้ดีก็ควรหาเพื่อนไปด้วย ให้ข้อมูลที่สำคัญให้ครบถ้วน ตั้งใจฟังการวินิจฉัย ความเห็น และคำแนะนำของแพทย์ และรู้จักเป้าหมายการรักษาอย่างชัดเจน ดังนี้

1. ไปแต่เช้า หรือตรงเวลานัดของแพทย์

เวลาจะไปพบแพทย์ควรไปแต่เช้าๆ หรือกรณีที่แพทย์ได้นัดให้ไปพบ ก็ควรไปให้ตรงเวลาหรือไปก่อน สักระยะหนึ่งก็จะดี ควรพกข้อมูลบันทึกปัญหาสุขภาพที่เกิดขึ้นไปด้วย เพื่อจะได้ช่วยจำ ป้อนข้อมูลให้กับแพทย์อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

2. หาเพื่อนไปด้วย จะได้ช่วยเหลือกัน

ถ้าเป็นไปได้ควรหาคู่สมรส ญาติสนิท หรือมิตรสหายไปเป็นเพื่อนเวลาไปพบแพทย์ด้วย เพื่อจะได้ช่วยกันเล่าอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้น และรับฟัง ช่วยกันจำคำแนะนำและวิธีการปฏิบัติดูแลตัวเองในการรักษาของแพทย์ มีรายงานทางการแพทย์ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยจะลืมคำแนะนำของแพทย์ เมื่อเดินออกจากห้องตรวจ ทำให้ผู้ป่วยกลับไปดูแลรักษาและปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์ได้ไม่ครบถ้วน ส่งผลให้ได้รับผลการรักษาอย่างไม่เต็มที่ จึงควรชวน “เพื่อนสุขภาพ” ไปพบแพทย์ด้วย

3. ตั้งใจฟังแพทย์ ถ้าสงสัยควรถามได้เลย

ขณะที่อยู่ในห้องตรวจ ต่อหน้าแพทย์ เป็นช่วงนาทีทองที่แท้จริง จึงควรมีสมาธิ ตั้งใจฟังดี ทั้งเรื่องการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอะไร มีระดับความรุนแรงเพียงใดจะมีวิธีการดูแล ปฏิบัติตนเอง การรักษาและใช้ยาอย่างไร ถ้ามีรายละเอียดมาก ก็อาจจดบันทึกไว้ หากมีข้อสงสัย ไม่ต้องเกรงใจแพทย์ ขอความกรุณาแพทย์ให้ความกระจ่างได้เลย โดยเฉพาะคำถามที่อยากจะรู้ เช่น การปฏิบัติตนเอง เป้าหมายของการรักษา รวมถึงเรื่องเงินๆ ทองๆ ค่าใช้จ่าย ค่ารักษา ค่ายาที่จะต้องจ่ายเอง ถ้าเตรียมตัวมาไม่เพียงพอ หรือเป็นจำนวนเงินมากเกินไป ก็ปรึกษาท่านได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ

4. รู้จักเป้าหมายการรักษาอย่างชัดเจน

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับผู้ป่วย คือเป้าหมายของการรักษาโรค ซึ่งแตกต่างกันไปแล้วแต่ชนิดของโรคนั้นๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง จะมีเป้าหมายของความดันโลหิตตัวบน (ขณะที่หัวใจบีบตัว) เท่ากับ 130 มิลลิเมตรปรอท และเป้าหมายของความดันโลหิตตัวล่าง (ขณะที่หัวใจคลายตัว) เท่ากับ 80 มิลลิเมตรปรอท

ขณะที่โรคเบาหวานที่มีเป้าหมายของระดับน้ำตาลในเลือดในตอนเช้าหลังอดอาหารมามีค่าเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรื เป้าหมายเหล่านี้คือจุดหรือช่วงที่สำคัญของผู้ป่วย เพราะถ้าบรรลุเป้าหมาย จะมีความปลอดภัยสามารถควบคุมอันตรายของโรคให้อยู่ในช่วยที่ปลอดภัยเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ และเป็นที่ปรารถนาทั้งของแพทย์ที่ให้การรักษาและของผู้ป่วยที่ประสบปัญหาสุขภาพนั้นๆ อีกมุมหนึ่งถ้าผู้ป่วยปฏิบัติตนเองจนสามารถบรรลุเป้าหมายนั้นได้ ก็แสดงถึงความสามารถในการดูแลรักษาที่ดีของผู้ป่วยจนบรรลุเป้าหมาย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจ

นอกจากนี้เป้าหมายการรักษา ยังช่วยให้ผู้ป่วยได้รับรู้ ตระหนัก และยอมรับความเจ็บป่วยของตนเอง ซึ่งจะส่งผลเป็นความร่วมมือในการรักษา และมีส่วนสำคัญจ่อการรักษาควบคุมโรค

การปฏิบัติตนเองหลังไปพบแพทย์

ภายหลังจากที่พบแพทย์ผู้ป่วยควรร่วมมือปฏิบัติตามคำสั่งของแพทย์ ทั้งในเรื่องการดูแลตนเอง การใช้ยาและควรสังเกตสิ่งผิดปกติต่างๆ ทั้งที่เกิดขึ้นก่อนไปพบแพทย์ว่า โรคที่ทุเลา เบาบาง หรือหายดีเพียงใด ทั้งยังควรสังเกตสิ่งผิดปกติใหม่ (ถ้ามี) เช่น การแพ้ยา ผลข้างเคียงของยา เป็นต้น และติดตามผลการรักษา ไปพบแพทย์ตามนัด ควรพกพาข้อมูลสุขภาพที่สำคัญ ติดตัวอยู่เสมอ เช่น โรคประจำตัว ยาที่ใช้อยู่ประจำ การแพ้ยา เมื่อไปพบแพทย์ จะได้ให้ข้อมูลได้ทันที


ที่มา นิตยสารหมอชาวบ้าน


โดย: หมอหมู วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:16:34:45 น.  

 
Ittaporn Kanacharoen
https://www.facebook.com/ittaporn/posts/3465995920127856

"หาหมอ ต้องเตรียมอะไรบ้าง?"

วันนี้ได้รับคำถามว่า
"อาหมอครับ คุณแม่ไม่สบายจะไปหาหมอ ต้องเตรียมอะไรบ้างครับ?"
♡เป็นคำถามง่ายๆ ที่ตอบยากผมตอบหลานไปแล้วนึกได้ว่า อาจมีคนอื่นอยากรู้เช่นเดียวกันจึงขอลองแชร์ เพราะมีหลายประเด็นน่าจะช่วยคุณหมอย่นเวลาได้ครับ

1. ก่อนหาหมอต้องถามตัวเองว่าใช้สิทธิ์อะไร ถ้า ไม่แน่ใจ ใครกด 1330 แล้วกดเลขบัตรประชาชน จะบอกว่าเรามีสิทธิ การรักษาฟรีที่โรงพยาบาลใด ใน 30 บาท หรือเป็นสิทธิ์ประกันสังคมที่ใด หรือสิทธิข้าราชการที่ไปได้ในโรงพยาบาลรัฐทุกที่ ถ้าเข้า 30 นั้นท่านจะได้รับการยกเว้นค่าใช้จ่าย จะได้ไปให้ถูกครับ
.
2. หากไม่เข้าตามสิทธิ์ฟรี ต้องตรวจสอบดูก่อนนะครับเพราะเอกชนนั้นมีหลายระดับหลายราคา แปลว่าต้องเตรียมงบประมาณ ทีเดียว ยกเว้นกรณี UCEP หรือฉุกเฉินวิกฤตที่จะเข้าฟรีได้ทุกที่ แต่ต้องโทรติดต่อ ก่อนนะครับว่าอาการของท่านเข้าข่ายหรือไม่ ถ้าไม่แน่ใจผมแนะนำให้ไปที่โรงพยาบาลตามสิทธิจะปลอดภัยที่สุด ไม่ต้องมาจ่ายเพิ่มภายหลัง
.
การมีประกันสุขภาพดูให้ดีนะครับ ว่าท่านประกันไว้แบบไหน บางแบบต้องจ่ายเองก่อน แล้วเบิกคืนซึ่งอาจจะได้บางส่วน บางทีน้อยมาก หากไม่ตรงเงื่อนไข ที่ท่านซื้อไว้ โปรดตรวจสอบให้ดี หลายรายใช้ไม่ได้ครับ กลายเป็นว่าเข้าเอกชนแล้วท่านต้องจ่ายเองจำนวนมาก ซึ่งไม่คุ้ม และวงเงินก็มีผล บางครั้ง เข้าเอกชน วงเงินอาจจะไม่พอในบางโรค โดยเฉพาะที่ต้องผ่าตัดครับ ขอให้ท่านพึงระมัดระวังเรื่องนี้ด้วย
.
3. กลับมาเรื่องของอาการป่วย เพื่อความรวดเร็วในการรับการรักษา ขอให้ท่าน ช่วยจดมาจากบ้านโดยเฉพาะกรณีที่ไม่ฉุกเฉิน วางแผนเขียนมาเลยครับว่า

3.1 อาการเป็นอย่างไร เป็นมานานเท่าไหร่ อะไรทำให้ดีขึ้น อะไรทำให้แย่ลง ก่อนมีอาการนั้น ได้กินอะไร ไปที่ไหน ออกกำลังอย่างไร กินยาอะไร หรือมีความผิดปกติอย่างไรนำมาก่อน เจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน แล้วจดลงกระดาษไว้ ตอนพบหมอได้อธิบายทีเดียวครับ
.
3.2 โรคประจำตัวของท่านมีอะไรบ้าง เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ หรืออื่นๆ และกินยาอะไรอยู่ประจำ จดชื่อยามาเลยนะครับ ถ้าไม่แน่ใจหยิบยามาทั้งหมด เอามาโชว์คุณหมอเลยเวลาให้ยาจะได้ไม่ตีกัน
.
กรณีบางท่านมีความศรัทธาส่วนตัว ในยา สมุนไพร ยาพรายกระซิบ หรือยาน้ำ ยาต้ม บาหม้อชนิดแปลกๆ ให้เอาติดหรือจดมาให้หมอด้วยนะครับ เพราะบางตัวมีผลต่อตับ และต่อไต โดยเฉพาะยาหม้อ และยาสเตียรอยด์ จะได้ ให้คุณหมอดูทีเดียว ไม่นับรวมที่ต้องบอกว่าแพ้ยาอะไรด้วยนะครับ
.
3.3 กรณีเคยตรวจแลป ตรวจเอ็กซเรย์คลื่นหัวใจ CT MRI หรืออื่นๆที่มีผลอยู่ที่ตัว ฝากเอาติดมาด้วยนะครับ เพราะบางครั้งจะสะดวกขึ้นไม่ต้องทำใหม่ ผมมักจะแนะนำให้คนไข้ ประจำ มีกระเป๋า 1 ใบ พอรับเอกสารจากโรงพยาบาลแล้วใส่ไว้ในที่เดียวกันหมด เวลาฉุกเฉินถือใบนี้มาโรงพยาบาลจะง่ายที่สุดครับ.
.
3.4 กรณีที่คนไข้ต้องเดินทางต่างประเทศ ผมมักจะขอให้นำเอกสารสรุป ประวัติเหล่านี้สแกนและใส่ไว้ในอีเมล ของตัวเองเวลาไปมีอาการผิดปกติที่ต่างประเทศจะได้ เปิดให้คุณหมอประเทศนั้นดูได้เลย เพราะเคยมีบางครั้งแค่เจ็บหน้าอก ไปโรงพยาบาลในต่างประเทศด่วนตรวจใหม่ทั้งหมดเสียเวลาทั้งวัน เพราะเขากลัวพลาดโรคหัวใจ ทั้งๆที่เคยตรวจไปหมดแล้วที่กรุงเทพฯ ที่สำคัญเสียเงินแพงมากแถมได้ยามาขวดเดียว จะได้ไม่เสียเงินและเสียเวลาซ้ำครับ
.
3.5 กรณีเป็นเด็ก ที่ต้องมีผู้อนุญาตในการใช้สิทธิ์ต่างๆโปรดเตรียมแจ้งผู้ปกครองมาด้วยนะครับเตรียมเอกสารสำคัญ ติดตัวมาเผื่อต้องผ่าตัด หรือดำเนินการอย่างอื่นจะได้รวดเร็ว กรณีเป็นครูต้องแจ้งทางบ้านด้วย และตรวจสอบสิทธิของเด็กมาให้เรียบร้อยครับ
.
3.6 กรณีมีความผิดปกติที่เป็นพฤติกรรม เช่นแขนขากระตุกหน้ากระตุก ปากเบี้ยว ระหว่างนำส่งโรงพยาบาล ให้ถ่ายภาพหรือวีดีโอมาเลยครับ เพราะอธิบายอย่างไรก็อาจจะเข้าใจไม่ตรงกัน ใช้ภาพดีที่สุดครับ
.
3.7 กรณีพบหมดสติหรือไม่รู้ตัว ในพื้นที่ช่วยเก็บของอุปกรณ์โดยรอบตัว เป็นภาพมาด้วยครับ โดยเฉพาะขวดยาและสารเคมีต่างๆ Alcohol เหล้าเบียร์ แก้วน้ำที่กินรวมถึงอะไรที่จะมีผล ต่อการหมดสติ อย่างน้อยถ่ายรูปมาให้หน่อยครับ เวลาหมอวินิจฉัยจะได้สอดคล้องกับสถานการณ์ ถ้าเป็นงูหรือ สัตว์อื่น หรือตะขาบกัด อาจจะเอารูปหรือตัวจริงมาเลยครับ รับรองหมอไม่กลัว แถมจะดูชนิดได้แม่นยำด้วยครับ
.
3.8 กรณีเป็นคนไข้ประจำ รับยาเป็นประจำอยู่แล้ว และกรณีไม่ด่วน ขอให้ช่วยนับเม็ดยาที่เหลือมาให้ด้วย จะบอกได้ว่าคนไข้ขาดยาบ่อยหรือเปล่า ซึ่งบางทีเป็นผลให้โรคแย่ลงได้ โดยเฉพาะใน ผู้สูงวัยอาจจะลืมยา ในทางตรงกันข้ามบางครั้งกินยาเกินขนาด ให้กิน ครึ่งเม็ดกิน 1 เม็ด อันนี้ก็เป็นอันตรายได้ การนับเม็ดยามาจะบอกประสิทธิภาพการรักษาได้ครับ
.
3.9 บางครอบครัวมีอุปกรณ์วัดที่บ้านเช่นความดันโลหิตสูง เครื่องตรวจน้ำตาล เครื่องตรวจปัสสาวะ ช่วยติดผลมาให้ด้วยนะครับจะช่วยได้มากทีเดียว อย่าตรวจแล้วเก็บไว้ดูเองขอหมอดูด้วยนะครับ
.
3.10 กรณีผู้ป่วยอาการหนักที่ต้องมาโรงพยาบาล และอาจต้องนอนโรงพยาบาลนั้นขอให้เตรียมตัวเผื่อ เฝ้าไข้ด้วยครับ เพราะหลายครั้งต้องอยู่เป็นเพื่อนคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ต้องผ่าตัดครับ
.
ทั้งหมดนี้เป็นตัวอย่างที่ต้องเตรียมตัวเพื่อเป็นคนไข้ที่พร้อมและจะทำให้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างรวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำ ซึ่งต้องร่วมมือกันทั้ง ผู้ป่วย ญาติ และทีมแพทย์ครับ
.
ฝากช่วยเตรียมข้อมูลมาให้พวกเราด้วยนะครับ รับรองจะดูแลได้อย่างไวและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน
จะให้ดีจดมาเลยนะครับ
.
ลองสรุปมาเป็นแนวทางนะครับ อาจารย์หมอท่านอื่นมีอะไรช่วยผมเติมได้เลยนะครับ ด้วยความปรารถนาดีครับ

หมออิทธพร
23.08.2563

#พบหมอแบบมืออาชีพ



โดย: หมอหมู วันที่: 23 สิงหาคม 2563 เวลา:21:29:07 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]




ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ

ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )

หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น

สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป )

นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ

ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ

นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )

ปล.

ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com

ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..




New Comments
[Add หมอหมู's blog to your web]