โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด .... ( ความรู้ ประกอบ การติดตามข่าว )
โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด (Amniotic fluid embolism)
เหตุการณ์แล้วเหตุการณ์เล่าที่หลายครอบครัวต้องสูญเสียทั้งแม่และลูกไปจากการคลอดซึ่งมีมานับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีสาเหตุได้หลายประการ การเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าสลดนี้เกิดขึ้นในรอยต่อช่วงชีวิตอันงดงามที่ ทุกครอบครัวต่างเฝ้ารอคอยลูกที่น่ารัก และต้องกลับมาเสียทั้งแม่และลูกไปด้วยโดยไม่ได้ร่ำลา ยังความโศกเศร้าเสียใจอย่างยิ่งต่อสามี,แพทย์ผู้รักษาและต่อสังคมอย่างมาก หลายรายนำไปสู่การฟ้องต่อสื่อมวลชน ตำรวจ และศาล จากความรู้สึกผิดหวังร่วมกับความเสียใจที่สูญเสียคนรักไป..
บทความนี้ขอนำท่านมารู้จักเพชฌฆาตร้ายรายนี้ในเบื้องต้นดังนี้
1. น้ำคร่ำคืออะไร ..
เมื่อแม่ตั้งครรภ์ มดลูกจะขยายตัว มีเด็กล่องลอยอยู่ในถุงบางๆภายในบรรจุน้ำที่ทำให้เด็กลอยไปมา ชื่อว่า น้ำคร่ำ เมื่อเด็กโตขึ้นจะมีการขับถ่ายของเสีย รวมถึงขี้ไคลจากผิวหนังหลุดออกมาและลอยละล่องปะปนอยู่ในน้ำคร่ำ...
ดังนั้นน้ำคร่ำจึงเต็มไปด้วยของเสียมากมายรวมถึงเศษเซลล์เล็กๆที่ลอกออกมาจา กตัวเด็ก ที่มักไม่ใช่กลุ่มเลือดเดียวกับแม่ ถุงน้ำคร่ำนี้ ปิดเหนียวแน่นจนของเสียเหล่านี้จะไม่สัมผัสกับแม่เลย ..จึงไม่เกิดปัญหาระหว่างการตั้งครรภ์
2. น้ำคร่ำเป็นน้ำ ทำไมไปอุดตันจนแม่ตายได้..
โรคน้ำคร่ำอุดตันในกระแสเลือด (Amniotic fluid embolism) ชื่อนี้มาจากสมัยก่อนเวลามีการคลอดแล้วแม่ตายโดยไม่ทราบสาเหตุ จะมีการนำไปผ่าศพชันสูตร พบว่าปอดแม่จะมีเศษเนื้อ(เซลล์)ของเด็กอยู่ในเส้นเลือด จึงคิดเอาว่าแม่ตายจากการที่มีเศษขี้ไคลทารกจากน้ำคร่ำเข้าไปอุดตันที่ปอดจน ปอดเสียหาย หายใจไม่ได้และเสียชีวิตในที่สุด
... แต่ภายหลังก็ได้มีการศึกษาเรื่องอาการและกลไกต่างๆ จึงได้รู้ว่าแท้จริงแล้ว มันไม่ใช่แค่การที่ปอดทำงานไม่ได้เท่านั้น ความตาย เกิดจากหลายกลไกร่วมกัน..
3. แม่ตายจากอะไร..
จากน้ำคร่ำซึ่งเป็นของเสียของเด็ก ปกติจะต้องคลอดพร้อมเด็กและออกสู่ภายนอก ไม่มีการไหลย้อนเข้าไปในเลือดของแม่ เพราะจะเกิดปฏิกิริยา เช่นเดียวกับอาการแพ้รุนแรงได้ เนื่องจากเลือด น้ำเหลือง และสารต่างๆเป็นคนละกรุ๊ปกัน
ลองคิดง่ายๆ ว่าคล้ายกับการตายจากให้เลือดผิดกรุ๊ปนั่นเอง กระบวนการแพ้ชนิดรุนแรง หัวใจ ปอด ล้มเหลว เลือดไหลไม่หยุด และแม่ครึ่งหนึ่งตายใน 60 นาทีแรกหลังน้ำคร่ำรั่วเข้าไป
4. แม่ตายคลอดจากน้ำคร่ำอุดตันปอดมีมากเท่าไร...
โรคนี้น่ากลัวมากเพราะมีอัตรา การเกิดถึงหนึ่งในแปดพันถึงสามหมื่น
คนไทยคลอดปีละกว่าเจ็ดแสนคน (เฉลี่ยวันละสองพันคน) จะเกิดโรคนี้ ปีละ 26-100 คน หรือ ราว 2-8 คนต่อเดือน ทำให้มีข่าว มารดาเสียชีวิตขณะคลอด อยู่เนืองๆ โดยเฉพาะหากอ่านแต่ข่าวโดยที่ไม่รู้จักโรคนี้ อาจจะสงสัยไปว่าทำไมการคลอดที่น่าจะปลอดภัยจึงกลับกลายเป็นเรื่องที่ถึงตายไ ด้ง่ายๆ และโทษสาเหตุต่างๆนาๆได้
5. ความร้ายแรงขนาดไหน..
ความรุนแรงสูงน่ากลัวมาก แม้ว่าจะอยู่ในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีผู้เชี่ยวชาญและเครื่องมือครบถ้วน เช่นโรงเรียนแพทย์ ก็ตายได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ รพ.บ้านนอก ทั้งที่มีหมอล้อมรอบเตียงคนไข้ และรักษาอย่างเต็มที่ท่ามกลางยาเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ช่วยชีวิตครบถ้วนก็ตาม
สถิติบ่งว่า แม่
6 ใน10 รายจะเสียชีวิต
3 รายพิการทางสมอง หรือเป็นเจ้าหญิงนิทรา
และมี 1 จาก10 รายเท่านั้น ที่รอดเป็นปกติ
6. ทำนายล่วงหน้าได้ก่อนไหมว่าจะเป็น..
ยากมากๆ ..เวลาเป็นข่าวมักพูดถึงอาการหลายๆอย่างที่มีนำมาก่อนเป็นวันๆหรือเป็นชั่วโมง เช่นเจ็บท้อง แน่น เหนื่อย เพลีย ... แต่หากถามคนเคยคลอด อาการเหล่าก็พบว่าเป็นกันแทบทุกคน ไม่มีอาการใดบ่งเฉพาะโรคนี้เลย..
และกลไกที่เกิดการรั่วของน้ำคร่ำ ใช้เวลาเป็นนาที เข้ากระแสร์เลือด ไปอุดปอด แพ้ช๊อก เลือดออกไม่หยุด ทันที เหมือนฉีดสารที่เราแพ้เข้าไปในเส้นเลือดฉับพลัน แม้รู้ล่วงหน้าว่ารักษาอย่างไรก็แทบจะใส่ยาแก้ไม่ทัน อาการที่รุนแรงทันที หัวใจหยุดเต้นและตายได้ หากรอดจากนาทีแรกๆ จะตายในชั่วโมงต่อไปด้วยเลือดไม่ยอมแข็งตัว ไหลจากแผลไม่หยุดตาย(คล้ายพิษงูบางชนิดของกัดตายนั่นเอง) และเกิดเลือดออกในสมอง หากรอดได้จะทำให้ส่วนหนึ่งเป็นอัมพาต หรือกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราไป
7. สาเหตุจากอะไร
- วงการแพทย์ปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ทราบว่าปัจจัยที่ทำให้เกิดคือ การที่มารดาอายุมาก, ตั้งครรภ์หลายท้อง, เบ่งแรง, เด็กตัวโตเกินไป,น้ำคร่ำมาก,เด็กผิดปกติ,มีการติดเชื้อในน้ำคร่ำ เป็นต้น
8. ป้องกันได้ไหม
-โรคนี้มีมาตั้งแต่สมัยโบราณมาจวบจนทุกวันนี้ แต่กลับเป็นสิ่งที่วิทยาการการแพทย์ปัจจุบันยังเอาชนะไม่ได้ แม้การฝากท้องที่ดีและสม่ำเสมอ จะลดปัจจัยเสี่ยงได้ ในระดับหนึ่ง ทำให้โอกาสเกิดลดลง แต่การจะป้องกันให้ได้100%คงจะยังทำไม่ได้ ในยุคปัจจุบัน
9. การรักษาอย่างไร
-มีมาตรฐานการรักษาตามแนวทางราชวิทยาลัยสูติ-นรีแพทย์ ชัดเจน สูติแพทย์ทุกท่านเรียนรู้อย่างดียิ่ง และในมาตรฐานเหล่านั้นก็ระบุว่าโรคฉับพลันนี้ แม้ให้การรักษาเต็มที่แล้วส่วนใหญ่จะเสียชีวิต มีโอกาสรอดปกติเพียง 1 ใน 10 ราย ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลดีที่สุด ในมืออาจารย์สูติแพทย์ ที่ทำคลอดมาชั่วชีวิต ให้กำเนิดเด็กนับพันราย มีเครื่องมือพร้อมมูล ก็ไม่อาจช่วยชีวิตแม่ได้ทันเหมือนกัน..
และหลายโอกาสที่แพทย์ต้องเป็นผู้ตัดสินใจช่วยชีวิตลูกในครรภ์ยามที่แม่มีอาการรุนแรงจนไม่สามารถฟื้นคืนได้อีก ..ท่ามกลางความเจ็บปวดของวิชาชีพที่ต้องรักษาชีวิตน้อยๆเหล่านั้นแม้ว่าส่วนใหญ่จะไม่สำเร็จ หรือหากสำเร็จก็กลายเป็นลูกกำพร้าแม่ตั้งแต่วันแรกเกิดซึ่งเป็นสภาวะที่ไม่มีแพทย์ผู้ใดอยากให้เป็นเช่นนั้น..
10. การวินิจฉัยโรคนี้
- ต้องพิสูจน์ด้วยผลการผ่าชันสูตรชิ้นเนื้อเป็นมาตรฐาน เพื่อวินิจฉัยแยกจากโรคอื่นๆที่อาจเกิดการเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน เช่น มดลูกแตก จากเหตุอื่นๆ หรือโรคอื่นๆที่คล้ายคลึงกัน
หากวันนี้ท่านเติบโต มีคุณแม่ดูแล จนมาได้อ่านบทความนี้ แสดงว่าท่านรอดพ้นจากเพชฌฆาตน้ำคร่ำ ที่จะหลุดไปในกระแสร์เลือดของแม่ขณะคลอด ซึ่งเกิดขึ้นเดือนละ 2-8รายนี้ จากเด็กทารกไทยที่เกิดใหม่ปีละกว่าเจ็ดแสนคน โรคนี้เป็นโรคที่หมอสูติทุกคนกลัวเกรงความร้ายกาจ จากการเกิดฉับพลัน ป้องกันไม่ได้ ไม่รู้ล่วงหน้าและเกือบทุกรายตายหรือพิการ ที่สำคัญคือทุกการคลอด..แม่ของเราทุกคน ต้องเสี่ยงชีวิตกับเพชฌฆาตน้ำคร่ำ ในวันที่เราเกิดมาด้วยกันทั้งนั้น หากแต่ไม่มีผู้ใดรู้ว่า ใครจะเป็นผู้โชคร้าย..รายต่อไป
นาวาอากาศเอก(พิเศษ)นายแพทย์ อิทธพร คณะเจริญ
Create Date : 04 กุมภาพันธ์ 2552 |
Last Update : 4 กุมภาพันธ์ 2552 16:35:08 น. |
|
4 comments
|
Counter : 5546 Pageviews. |
|
 |
|
|
น้ำคร่ำไหลย้อนเข้ากระแสเลือด ทำแม่คลอดบุตรเสียชีวิต
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
5 พฤศจิกายน 2553 06:27 น.
ถือเป็นอีกหนึ่งอันตรายจากการคลอดบุตร กับการที่น้ำคร่ำในครรภ์ฝืนกฎธรรมชาติ ไหลย้อนกลับเข้าสู่กระแสเลือด ก่อให้เกิดการแพ้ในตัวมารดา ซึ่งโอกาสที่จะเกิดขึ้นกับมารดาระหว่างคลอดบุตรแม้จะมีไม่มากนัก เพียง 18 คนใน 1 ล้านคน แต่ร้อยละ 80 ของแม่ที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์ดังกล่าว เสียชีวิต...
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่มันเกิดขึ้นอีกครั้ง กับหญิงชาวอังกฤษ วัย 28 ปีชื่อ จูลี เวลส์ (Julie Welsh) ซึ่งการคลอดบุตรของเธอเกิดขึ้นเมื่อ เดือนเมษายนที่ผ่านมา เป็นการคลอดโดยการผ่าตัด เมื่อการผ่าตัดเสร็จสิ้น สามีได้อุ้มลูกชายมาให้เธอเชยชม แต่เธอรั้งโอกาสนั้นไว้ได้ไม่นาน ทำได้เพียงแค่ยิ้ม หอมลูก และพูดคุยเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับผมของลูก จากนั้นเธอก็ไม่ได้สติ และสิ้นใจในเวลาต่อมา
ถึงวันนี้ Pete Brown สามีวัย 30 ปีของเธอก็ยังเล่าถึงเหตุการณ์ดัง กล่าวด้วยความโศกเศร้า "จูลีดูไม่เป็นไร ผมเลยถามว่า เธออยากเห็นหน้าไอแซค ลูกชายของเราไหม และก็พาไอแซคมาหาเธอ เมื่อจูลีเห็นหน้าลูก เธอยิ้มและพูดอะไรเล็กน้อยเกี่ยวกับลูก จากนั้นเธอก็ไม่ได้สติและจากไปในที่สุด"
กรณีของครอบครัวนี้เกิดขึ้นหลังจากผู้เป็นแม่แอดมิทเข้าโรงพยาบาล Royal Derby ช่วงกลางดึกของวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมาเพื่อคลอดบุตร แต่หลังจากรอเป็นเวลานานหลายชั่วโมง แพทย์พบว่า เธอไม่สามารถคลอดได้ด้วยวิธีธรรมชาติ เพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ จึงตัดสินใจทำการผ่าตัด
การคลอดโดยการผ่าตัดจะสำเร็จลงด้วยดี แต่เพียงชั่วพริบตา เธอก็สิ้นสติไป แม้แพทย์และเจ้าหน้าที่ในห้องผ่าตัดจะเร่งช่วยชีวิตเธอตลอด 1.5 ชั่วโมง แต่เธอก็เสียชีวิตลงเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 6 เมษายนนั้นเอง
"กรณีนี้ต้องถือเป็นคราวเคราะห์จริง ๆ เพราะเราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดการไหลย้อนกลับของน้ำคร่ำเข้าสู่กระแสเลือด อีกทั้งไม่มีตัวช่วยใด ๆ ที่จะนำมาใช้ทดสอบ หรือประเมินได้เลยว่าจะเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าเช่นนี้ขึ้น ที่สำคัญ ไม่มีวิธีเยียวยาใด ๆ ที่แพทย์จะช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ด้วย" ดร.โรเบิร์ต ฮันเตอร์ แพทย์ผู้ชันสูตรศพกล่าว
สำหรับคู่สามีภรรยาคู่นี้ อยู่ร่วมกันมาแล้ว 5 ปี และมีแผนจะแต่งงานกันหลังจากให้กำเนิดลูกน้อย
ด้าน Les Welsh พ่อของจูลี วัย 50 ปีกล่าวถึงลูกสาวด้วยความโศกเศร้าว่า "เมื่อใดก็ตามที่เราจูบหลานตัวน้อย ผมจะทำซ้ำสองที เพื่อที่จะส่งต่อไปถึงแม่ของเขา ที่ตอนนี้จากเราไปอยู่บนสวรรค์แล้ว"
----------------------------