|
|
|
โรคอ้วน Obesity
โรคอ้วน Obesity
สาเหตุของโรคอ้วน สาเหตุจริง ๆ ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ โรคอ้วนมักจะมีสาเหตุร่วม หลายข้อร่วมกัน เช่น
โรคต่อมไร้ท่อ เช่น โรคไทรอยด์ทำงานน้อย เนื้องอกของต่อมหมวกไต
ยา เช่น ยาคุมกำเนิด ยาแก้โรคซึมเศร้า ยาลดความดัน ยาลูกกลอน ยาแก้หอบ ยาชุดซึ่งมักผสมสารสเตียรอยด์
กรรมพันธุ์ จะพบว่าบางครอบครัวจะอ้วนทั้งหมด ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากพันธุกรรม แต่ อีกส่วนหนึ่งอาจจะเกิดจากวัฒนธรรมการรับประทานอาหารและความเป็นอยู่ เช่น อาหารของชาตินั้นนิยมอาหารมัน ๆ
ความผิดปกติทางจิตใจ ทำให้รับประทานอาหารมาก เช่น บางคนเศร้าแล้วรับประทานอาหารเก่ง
การดำเนินชีวิตอย่างสบาย และ ขาดการออกกำลังกาย
โรคอ้วนในเด็ก จะแตกต่างจากโรคอ้วนในผู้ใหญ่ เนื่องจากเซลล์ไขมันในร่างกายจะมีช่วงที่เจริญเติบโตอยู่สองช่วงคือวัยเด็กและวัยรุ่น กรรมพันธ์เป็นตัวกำหนดให้แต่ละคนมีเซลล์ไขมันไม่เท่ากัน คนอ้วนจะมีเซลล์ไขมันมาก โรคอ้วนในเด็กจะมีปริมาณเซลล์ไขมันมากทำให้ลดน้ำหนักยาก ส่วนโรคอ้วนในผู้ใหญ่มักเกิดจากเซลล์ไขมันมีขนาดใหญ่ขึ้น
โรคเรื้อรังที่สัมพันธ์กับโรคอ้วน เช่นโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดสมองตีบ นิ่วในถุงน้ำดี ข้อเข่าเสื่อม ปวดหลัง กระดูกสันหลังเสื่อม โรคทางเดินหายใจ โรคเส้นเลือดขอด
เมื่อไรจึงจะถือว่า อ้วน เรามิได้ประเมินจากการดูด้วยสายตาอย่างเดียว แต่จะประเมินจาก
ดัชนีมวลกาย BMI (Body Mass Index)
ดัชนีมวลกาย คำนวณโดย น้ำหนักเป็นกิโลกรัม หารด้วย ความสูงเป็นเมตรยกกำลังสอง ค่าปกติ 20-25 กก/ตม.
ระดับที่ต้องรักษาคือดัชนีมวลกายมากกว่า 30 โดยที่ไม่มีความเสี่ยงอื่นๆ หรือ ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย 25 แต่มีปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคเบาหวาน เช่น มีพี่ น้อง พ่อแม่เป็นเบาหวาน แนะนำให้ลดน้ำหนักลงจนดัชนีมวลกายประมาณ 22
วัดเส้นรอบเอว Waist circumference
วิธีการวัดเส้นรอบเอว วัดรอบเอวระดับกึ่งกลางกระดูกสะโพกส่วนบนสุดและขอบล่างของกระดูกซี่โครง และ ต้องวัดขณะหายใจออกเท่านั้น ค่ารอบเอวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรค คือ ในผู้ชายมากกว่า40 นิ้ว ในผู้หญิงมากกว่า 35 นิ้ว
แนวทางการรักษา อาจแบ่งได้เป็น
1. การรักษาที่มุ่งควบคุมปริมาณอาหารที่รับประทาน
2. การรักษาที่มุ่งเพิ่มการใช้พลังงานในแต่ละวันให้มากขึ้น
3. การรักษาด้วยยา
3.1 ยาช่วยลดความอยากอาหาร เมื่อหยุดยา ความอยากอาหารกลับมากขึ้นทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น
3.2 ยาช่วยลดการดูดซึมไขมัน แต่ทำให้วิตามินที่ละลายในไขมันถูกดูดซึมน้อยลงด้วย (วิตามิน เอ ดี อี เค)
3.3 ยาช่วยลดการดูดซึมคาร์โบไฮเดรต เช่น ยารักษาเบาหวาน แต่มีผลข้างเคียงสูง
3.4 ยาช่วยเพิ่มการใช้พลังงานของร่างกาย เช่น ยาไทรอยด์ฮอร์โมน แต่มีข้อเสียมาก
การเลือกวิธีรักษาโรคอ้วน
แนวทางรักษาที่ปลอดภัย จะประกอบด้วย การคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่ม การออกกำลังกาย ควบคุมการรับประทานอาหาร โดยควบคุมให้ได้พลังงานที่น้อยกว่าพลังงานที่ต้องใช้ไปในแต่ละวัน ซึ่งต้องอาศัยความตั้งใจของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
การรักษาด้วยยาจะใช้กรณีที่คุมอาหารและออกกำลัง 6 เดือนแล้วน้ำหนักไม่ลด
เป้าหมายที่เหมาะสม คือ ลดน้ำหนัก 10 %จากน้ำหนักเดิม โดยใช้เวลา 6 เดือน
การลดน้ำหนักให้ลดได้ไม่ควรเกิน ครึ่ง กิโลกรัม ต่อ สัปดาห์ หากต้องการลดมากว่า 5 กิโลกรัมควรจะปรึกษาแพทย์ซึ่งจะพิจารณาความจำเป็นในการรีบลดน้ำหนัก เพราะถ้าลดน้ำหนักเร็ว น้ำหนักจะกลับขึ้นมาได้เร็วเช่นกัน
การเปลี่ยนแปลงอาหาร และ พฤติกรรมการรับประทานอาหาร
คนอ้วนจะมีกระเพาะที่ใหญ่กว่าคนปกติเนื่องจากกระเพาะถูกยืดจากอาหาร ดังนั้นจึงมีอาการหิวบ่อยทำให้การควบคุมอาหารประสบผลสำเร็จน้อย แต่อย่าเพิ่งย่อท้อให้พยายามควบคุมอาหารและออกกำลังกาย จะช่วยลดน้ำหนักได้
ลดอาหารไขมัน หรือ ใช้ไขมันทดแทน ที่มีขายในท้องตลาดเช่น cellulose gel Avicel, Carrageenan guar gum and gum arabic สารสังเคราะห์เหล่านี้จะไม่ถูกดูดซึม อาจทำให้เกิดท้องร่วง และปวดท้อง และควรได้รับวิตามินที่ดูดซึมด้วยไขมัน ( วิตามิน A, K, D, and E ) เสริม
ใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาล เช่น saccharin, aspartame
พยายามรับประทานอาหารเฉพาะในมื้ออาหารโดยเฉพาะที่โต๊ะอาหาร และลุกขึ้นจากโต๊ะทันทีที่อิ่ม
อย่าวางอาหารจานโปรดหรือ ของว่างไว้รอบ ๆ ตัว ไม่ควรรับประทานอาหารว่างขณะดูทีวี
รับประทานวันละ 3 มื้อ อย่าอดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง ไม่ควรงดอาหารมื้อหนึ่งแล้วชดเชยมื้อต่อไป
ลดปริมาณอาหารในแต่ละมื้อ โดยเฉพาะมื้อเย็นควรรับประทานในปริมาณที่น้อยที่สุด เพราะเป็นช่วงที่ไม่ต้องใช้พลังงาน เมื่อรับประทานอาหารเข้าไปพลังงานก็จะเหลือ ร่างกายจะนำไปสร้างเป็นไขมันเก็บไว้
รับประทานผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ขัดสี เลือกอาหารที่มีเส้นใยมาก เช่น แอปเปิล ฝรั่ง ข้าวโพดอ่อน แครอท ถั่วแระ ถั่วฝักยาว ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วลิสง ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา เม็ดแมงลัก งา รำข้าว ส้มเช้ง เมล็ดทานตะวัน มะเขือพวง สะเดา ผักกระเฉด กระเทียม ข้าวซ้อมมือ กะหล่ำปลี ข้าวโพดต้ม พุทรา น้อยหน่า กล้วย มะม่วงดิบ มะละกอสุก เห็ด
รับประทานเนื้อปลาเป็นหลัก เนื้อไก่และเป็ดให้ลอกหนังออก จำกัดเนื้อสัตว์ไม่ติดมันไม่เกิน 2 ช้อนโต๊ะต่อมื้อ หลีกเลี่ยงเนื้อหมู หลีกเลี่ยงอาหารพวก ทอด ผัด แกงกะทิ ให้ทานอาหารที่เตรียมโดยวิธี อบ นึ่ง เผา หรือ ต้ม แทน
ควรหลีกเลี่ยง เนย น้ำสลัด เนื้อติดมัน เนื้อติดหนัง นมสด ของทอด เช่นปลาท่องโก๋ กล้วยแขก ไก่ทอด เค้ก คุกกี้
ใช้จานใจเล็กๆ เพื่อป้องกันการรับประทานอาหารมากไป หลีกเลี่ยงการเติมอาหารครั้งที่ 2
รับประทานอาหารอย่างช้าๆ เคี้ยวอาหารแต่ละคำช้าๆ
ดื่มน้ำมากๆทั้งในมื้ออาหารและระหว่างมื้ออาหาร ดื่มน้ำ 1 แก้วก่อนอาหาร อย่าเสียดายของเหลือ ไม่จำเป็นต้องทานอาหารจนหมดจาน และ อย่าเตรียมอาหารมากเกินความจำเป็น
อย่าทำกิจกรรมอื่นระหว่างรับประทานอาหาร เช่นอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ เพราะจะรับประทานอาหารมากเกินไป
พยายามหางานอดิเรกทำเมื่อเวลาหิว
โรคอ้วนและการออกกำลังกาย
ส่วนประกอบที่สำคัญสำหรับการลดน้ำหนักคือ การรับประทานอาหารที่มีพลังงานลดลง และ การออกกำลังกายซึ่งทำให้ร่างกายใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้น และการออกกำลังกายจะช่วยป้องกันไม่ให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น แถมยังทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ซึ่งควรออกกำลังกายครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ2 - 5 ครั้ง
ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนออกกำลังกาย เช่น ขณะออกกำลังกายเคยมีอาการ แน่นหน้าอก จะเป็นลม รู้สึกเหนื่อยมากเมื่อเริ่มออกกำลังกาย หรือ ผู้สูงอายุที่ไม่เคยออกกำลังกายมาก่อน
ผู้ที่อ้วนมากและไม่เคยออกกำลังกาย อาจจะเริ่มง่าย ๆ เช่น ลดเวลาดูทีวี ลดเวลานอนพักผ่อน เดินให้มากขึ้น ใช้บันไดแทนการขึ้นบันไดเลื่อนหรือ ลิฟท์ ขี่จักรยานแทนการนั่งรถ ทำสวน ล้างรถ เมื่อเริ่มแข็งแรงมากขึ้นจึงเริ่มเดินเร็วๆ ยืนแกว่งขา แขน หลังจากแข็งแรงดีจึงค่อยออกกำลังกายแบบอื่น ๆ เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ เต้นรำเต้นแอร์โรบิก
การรักษาโรคอ้วนด้วยยา
ผู้ที่เป็นโรคอ้วนไม่ควรซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากยาลดน้ำหนัก อาจมีผลข้างเคียงที่อันตรายได้ เช่น เกิดภาวะความดันโลหิตในหัวใจห้องขวาสูงขึ้น เกิดภาวะลิ้นหัวใจรั่ว มีผลต่อจิตประสาท ใจสั่น หงุดหงิด เป็นลม ท้องผูก การลดความอยากอาหารโดยใช้ยา ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเมื่อหยุดยา ความอยากกินอาหารกลับจะมากขึ้นกว่าก่อนรักษา ทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้น ( โยโย่เอฟเฟ็คต์ )
ยารักษาโรคอ้วนส่วนใหญ่ห้ามใช้เกิน 3 เดือน และควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแพทย์จะเริ่มใช้ยาลดน้ำหนัก เมื่อคุมอาหารและออกกำลังกาย 6 เดือนแล้วน้ำหนักไม่ลด
ชาลดน้ำหนักส่วนใหญ่จะประกอบด้วยสารที่เป็นยาระบายและยาขับปัสสาวะดังนั้นอาจจะทำให้ร่างกายขาดน้ำและเกลือแร่ซึ่งอาจจะอันตรายเสียชีวิตได้ น้ำหนักที่ลดจะลงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อดื่มน้ำเพิ่มน้ำหนักก็จะขึ้น
อาหารสำหรับผู้มีไขมันในเลือดสูง ผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง อาจแบ่งได้เป็น 2 แบบคือ โคเลสเตอรอลในเลือดสูง และ ไตรกรีเซอไรด์ในเลือดสูง
ผู้ที่มีโคเลสเตอรอลในเลือดสูง
หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ไขมันสัตว์จะมีโคเรสเตอรอลสูง ควรหลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ ตับวัว ตับหมู ไข่แดง ไข่นกกระทา หนังไก่หนังเป็ด หอยแครง ปลาหมึก ไข่ปลา กุ้งทะเล ปลาหมึก หอยทะเล ไข่ เนย กุนเชียง ไส้กรอก
หลีกเลี่ยงไขมันพืชชนิดอิ่มตัว ได้แก่ ไขมันจากมะพร้าว (เช่นกะทิ) ไขมันปาล์ม(ในน้ำมันพืช หรือครีมเทียมใส่กาแฟ) ควรรับประทานไขมันไม่อิ่มตัว ได้แก่ น้ำมันมะกอก(ใส่ในอาหารหรือสลัด) น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันข้าวโพด น้ำมันเมล็ดทานตะวัน
ทานอาหารประเภทผัก และผลไม้มากขึ้น จะช่วยลดการดูดซึมในลำไส้ของไขมันได้
ถ้าน้ำหนักมากเกินไป ควรลดน้ำหนัก
ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเผาผลาญพลังงานในร่างกาย
ผู้ที่มีไตรกรีเซอไรด์สูง
ลดการรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เช่น ข้าว แป้ง น้ำตาล อาหารหวานจัด ผลไม้ที่มีรสหวานจัด
งดการดื่มเหล้า สุรา ของมึนเมาทุกชนิด
หมายเหตุ ..
ผมจำไม่ได้ว่า ได้นำบทความนี้ มาจากที่ไหน ถ้าใครทราบ กรุณาแจ้งผมด้วยนะครับ
Create Date : 26 เมษายน 2551 |
Last Update : 26 เมษายน 2551 14:09:39 น. |
|
5 comments
|
Counter : 2391 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: ^O^ IP: 125.26.151.119 วันที่: 27 สิงหาคม 2551 เวลา:1:04:39 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:13:51:17 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:14:16:37 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 4 มิถุนายน 2553 เวลา:14:32:25 น. |
|
|
|
โดย: หมอหมู วันที่: 20 มิถุนายน 2555 เวลา:13:33:00 น. |
|
|
|
| |
|
|
หมอหมู |
|
|
|
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [?]
|
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ
ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ )
หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ
ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ
นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู )
ปล.
ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com
ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
|
|
|
พอดีตอนนี้กำลังทำ case เรื่อง อ้วนอยู่อ่ะค่ะ