โรคติดเชื้อในกระแสเลือด
ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด อันตรายถึงชีวิต 6 สัญญาณเตือนอาจเกิดภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด หากมีอาการเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด 1. สับสน 2. มีไข้ ปวดเมื่อยตามตัว 3. หายใจเหนื่อย 4. ปัสสาวะออกน้อย 5. กระสับกระส่าย 6. ตัวซีดเย็น สาธารณสุข จังหวัดกำแพงเพชร https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1369572533544732&id=100014759945596 แพทย์เตือนติดเชื้อในกระแสเลือด อันตรายถึงชีวิต กรมการแพทย์ โดยโรงพยาบาลราชวิถี เตือนผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อในกระแสเลือดมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรง นำไปสู่ภาวะอวัยวะล้มเหลวและอาจทำให้เสียชีวิตได้ นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยติดเชื้อในกระแสเลือดมากกว่า 50,000 คนต่อปี โดยทั่วไปอาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา เชื้อไวรัส การผ่าตัด ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรัง ผู้ป่วยเด็ก ทารกแรกเกิด หรือการใส่อุปกรณ์ต่างๆเข้าสู่ร่างกาย มีโอกาสติดเชื้อในกระแสเลือดสูง ทั้งนี้เมื่อเกิดการติดเชื้อสามารถกระจายไปทั่วร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ทำให้อุณหภูมิในร่างกายไม่สม่ำเสมอ ระบบการเดินหายใจแย่ลง และผู้ป่วยที่มีภาวะความดันโลหิตต่ำอย่างรุนแรงจากการติดเชื้อในกระแสเลือดดังกล่าว มักนำไปสู่ภาวะการทำงานของอวัยวะต่างๆ ล้มเหลว หมดสติ และอาจทำให้เสียชีวิตได้ นายแพทย์สมเกียรติ ลลิตวงศา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลราชวิถี กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะความดันโลหิตต่ำจากการติดเชื้อในกระแสเลือด มักมีไข้สูง หนาว มือและเท้าเย็น หายใจเร็วขึ้น รู้สึกตัวน้อยลง คลื่นไส้ อาเจียน ผิวหนังอาจเกิดจุด ปัสสาวะน้อยลง เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะไม่เพียงพอ นำไปสู่ภาวะช็อก ผู้ป่วยบางรายหากยังมีความดันโลหิตต่ำ แพทย์อาจให้ยาช่วยเพิ่มความดันโลหิต และจำเป็นต้องได้รับการรักษาเพื่อกระตุ้นให้หายใจได้ปกติ อย่างไรก็ตามภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจากเชื้อโรคบางชนิดสามารถป้องกันได้โดย การฉีดวัคซีนในเด็กให้ครบอย่างสม่ำเสมอ ส่วนผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันร่างกายบกพร่องควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ควรงดสูบบุหรี่ ห้ามใช้สารเสพติด รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเป็นประจำ ล้างมือให้สะอาดอยู่เสมอ และควรระวังป้องกันตนเองเมื่อต้องอยู่ใกล้ผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆ ทั้งนี้หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการรักษาทันที ***************************************************** #โรงพยาบาลราชวิถี #กรมการแพทย์ #ติดเชื้อในกระแสเลือด - ขอขอบคุณ - 6 กรกฎาคม 2563 ที่มา FB @ กรมการแพทย์ https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1823231547819605&id=643148052494633 ************************************** นำมาฝาก จากเวบ ไทยคลินิก คุณหมอคิกคุ เขียนไว้ครบถ้วน ดีมาก ๆ เลยขอแฮบ มาไว้เลย ...https://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=medicine;action=display;num=1233247287 คำว่า ติดเชื้อในกระแสเลือด นั้น ในภาษาไทยฟังดูธรรมดามาก เพราะว่าคนเราไม่ว่าจะป่วยเป็นหวัด ไอ เจ็บคอ หรือแม้แต่แค่ แปรงฟัน ก็สามารถตรวจพบเชื้อโรคอยู่ในกระแสเลือดได้ หลายคนเป็นไข้ไปเจาะเลือด พอผลเลือดออกมาแพทย์ก็บอกว่ามีการติดเชื้อ ฟัง ๆ ดูแล้วจึงทำให้คำนี้ ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่นั่นเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เนื่องจากถ้าหากดูจากที่มาของคำ ๆ นี้ จะพบว่าเป็นการแปลงมาจากภาษาอังกฤษ ในทางการแพทย์ การติดเชื้อมีแบ่งระดับความรุนแรง คร่าวๆดังนี้ครับ1. Infection หมายถึง การติดเชื้อที่ตำแหน่งบางตำแหน่งของร่างกาย จะมีไข้หรือไม่ก็ได้2. Bacteremia หมายถึง การตรวจพบเชื้อที่ยังมีชีวิตในร่างกาย จะเกิดจากการที่เชื้อพลัดเข้าไปในร่างกายเฉยๆ โดยยังไม่ติดเชื้อก็ได้3. SIRS หมายถึง การตรวจพบลักษณะการอักเสบขึ้นภายในร่างกายจากเหตุต่างๆ อาจจะเกิดจากติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อก็ได้4. Sepsis หมายถึง การตรวจพบลักษณะการอักเสบขึ้นภายในร่างกายที่เกิดจากการติดเชื้อ (หรือ SIRS + ตรวจพบการติดเชื้อ)5. Septic shock หมายถึง ผู้ที่มีภาวะอักเสบจากการติดเชื้อ แถมพกด้วยความดันเลือดต่ำ (Sepsis + ความดันต่ำ)6. MODS หมายถึง หมายถึงผู้ที่เป็น Septic shock แล้วเกิดภาวะล้มเหลวของอวัยวะต่างๆ เช่นไตวาย ตับวาย น้ำท่วมปอด หัวใจไม่ค่อยบีบตัว หาก นับกันจริงๆ การจะบอกว่าติดเชื้อในกระแสเลือด น่าจะหมายถึง 3 ข้อหลัง แต่ในทางปฏิบัติก็ยังสามารถพบว่าบางคนรวมเอาข้อ1-3เข้ามาด้วยทั้งที่ไม่น่าจะรวมเข้ามา*อะไรที่ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นติดเชื้อในกระแสเลือด* เรา ได้รู้กันแล้วว่า "ติดเชื้อในกระแสเลือด" จริง ๆ แล้วเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ทีนี้มาดูกันครับว่าปัจจัยอะไรที่ทำให้เกิดความ "เสี่ยง"ต่อการเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดกันบ้าง- "ตัวเชื้อ" เชื้อโรคที่จะก่อการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ส่วนใหญ่ก็คือเชื้อที่เรียกว่า แบคทีเรีย (แม้ว่าเชื้อราหรือพยาธิจะก่อเรื่องได้ แต่ก็น้อยมาก) ซึ่งเชื้อแบคทีเรียที่จะทำอย่างนี้ได้ มักจะเป็นเชื้อในกลุ่ม"แกรมลบ" เนื่องจากเชื้อเหล่านี้มีสารที่สามารถกระตุ้นให้เกิดกระบวนการอักเสบได้มาก- ชนิดเชื้อ ถ้าเชื้อเป็นชนิดแกรมลบ ก็มีโอกาสเกิดได้มากกว่าเชื้อชนิดบวก- จำนวนเชื้อ ถ้ามีมาก หรือมีจนเกิดหนองโอกาสที่จะเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดก็เพิ่มขึ้น- การดื้อยา ถ้าเชื้อดื้อยาก็ทำให้ยาที่ให้ไม่ได้ผล โอกาสก็เพิ่มขึ้นไปอีก- "ปัจจัยทางร่างกายของผู้ป่วย" โดยรวมคือ ถ้าร่างกายไม่แข็งแรง เชื้อก็ก่อเรื่องได้มากขึ้น- ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เบาหวาน ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ที่กินยาที่มีสเตียรอยด์(ไม่ว่าจะเพื่อการรักษา หรือที่ผสมในยาโบราณยาชุด) ผู้ที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ ผู้ที่ดื่มสุราบ่อย- ผู้สูงอายุ เมื่ออายุมากระบบภูมิคุ้มกันก็เริ่มจะเสื่อมถอยลง ในที่นี้ไม่จำเป็นต้องสูงอายุจนผมขาวโพลนครับ แค่อายุสัก 40 กว่า ๆ ถึง 50 ปี ก็เริ่มจะไม่ค่อยดีแล้ว- มีโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อบ่อยๆ เช่น ผู้ที่ใส่สายบางอย่างไว้ในตัวเช่นท่อปัสสาวะก็เสี่ยงที่เชื้อจะไปเกาะตามสาย แล้วหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือ ผู้ป่วยที่ต้องนอนนานๆ ก็เสี่ยงต่อการเกิดแผลติดเชื้อกดทับ และการสำลักอาหารติดเชื้อในปอด"เวลา" ถ้าหากปล่อยให้เชื้อโรคอยู่ในร่างกายยิ่งนานเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงต่อการเกิดติดเชื้อในกระแสเลือดมากขึ้นครับ ดังนั้นในแง่การดูแลรักษา แพทย์จึงมักทำการรักษาการติดเชื้อต่างๆโดยหวังจะให้เกิดการหายให้เร็วที่สุด ถ้าหากผู้ป่วยมีส่วนที่เป็นแหล่งก่อเชื้อเป็นฝีเป็นหนอง แพทย์ก็มักจัดการเจาะระบายหนองออก ไม่รอให้กินยาจนหายเอง(นอกจากจะมีเหตุผลอื่นๆเช่นกลัวแผลเป็น) ส่วนมากแล้วปัญหาเงื่อนไขเวลามักจะไม่ได้เกิดเวลามานอนในโรงพยาบาลเท่าไหร่ครับ เพราะว่าถ้าอยู่ในโรงพยาบาล แพทย์ก็สามารถติดตามและทำการปรับเปลี่ยนยาตามลักษณะอาการและการตอบสนองต่อยา ได้ ปัญหาเรื่องเวลาจึงมักจะเกิดกับผู้ที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาลมากกว่า ... เช่นผู้ที่รับยากลับบ้านแล้วไม่ได้มาตรวจซ้ำ หรือผู้ที่ปล่อยให้มีอาการป่วยโดยที่ไม่ได้มารพ.*การป้องกันและรักษา* การป้องกันก็คือ จัดการป้องกันคนที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไม่ให้เขาติดเชื้อ หากใครก็ตามมีการติดเชื้อก็ต้องรักษาให้การติดเชื้อนั้นหายให้เร็วที่สุด หากป้องกันไม่ได้ การติดเชื้อนั้นลุกลามกลายเป็นการติดเชื้อในกระแสเลือด หลักการรักษาการติดเชื้อในกระแสเลือดนั้นก็ง่ายมากครับ หาเชื้อให้เจอ แล้วถล่มเชื้อด้วยยา แล้วก็รอเวลา .....ที่บอกว่าง่ายนั้นคือ "หลักการ" ครับ เพราะ หลักการพวกนี้แพทย์ที่ยังทำการปฏิบัติงานรักษาคนไข้จริงๆอยู่รู้กันทุก คนอยู่แล้ว แต่ปัญหาจริง ๆ นอกตำรามันมีอีกเยอะครับ ที่ทำให้มันไม่ง่ายอย่างที่ว่าไว้ ส่งโดย: หมอ คิกคุ .................................................................ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ (Sepsis) ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (Septicemia) แพทย์หญิง สลิล ศิริอุดมภาส วว. พยาธิวิทยากายวิภาค """"""""""""""""" บทนำ ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ หรือ Sepsis คือ ภาวะที่ร่างกายของเรามีปฏิกิริยาตอบ สนองต่อการติดเชื้อ หรือต่อพิษของเชื้อโรค โดยทำให้เกิดการอักเสบขึ้นทั่วทั้งร่าง กาย ซึ่งการติดเชื้อนี้ อาจเกิดขึ้นที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งของร่างกาย หรือเป็นการติดเชื้อทั่วร่างกายก็ได้ ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด (โลหิต) หรือ Septicemia คือ การที่ตรวจพบว่ามีเชื้อโรคเข้าสู่กระแสเลือด และทำให้เกิดภาวะ Sepsis ขึ้นมา ดังนั้นทั้งสองภาวะจึงเป็นภาวะเกี่ยวข้องต่อเนื่องกัน และมักใช้ในความหมายเดียวกัน คำว่า Sepsis มาจากภาษากรีกโบราณ แปลว่า เน่าเปื่อย พุพัง โดย Sir William Osler แพทย์ชาวแคนาดา เป็นคนแรกที่ค้นพบว่า บางครั้งสาเหตุการเสีย ชีวิตของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ไม่ได้เป็นผลมาจากเชื้อโรคโดยตรง แต่มาจากปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายที่มีต่อเชื้อโรคนั่นเอง ในปี พ.ศ. 2457 Schottmueller แพทย์ชาวเยอรมันได้ให้นิยามคำว่า Septicemia คือการที่เชื้อโรคลุกลามเข้าสู่กระ แสเลือด และทำให้เกิดอาการต่างๆ หลังจากนั้น ได้มีการเปลี่ยนแปลง และเพิ่มเติมคำศัพท์ และความหมายโดยกลุ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคปอด และด้านการ แพทย์ในภาวะวิกฤติ ชื่อ American College of Chest Physicians และ Society of Critical Care Medicine ให้เป็นดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นและที่จะกล่าวต่อไป ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด พบได้ในคนทุกเชื้อชาติ แต่มักเกิดในผู้สูงอายุ เนื่องจากเป็นวัยที่มีโรคประจำตัวมากกว่าวัยอื่น และพบว่าผู้ชายมีโอกาสเกิดมากกว่าผู้หญิงเล็กน้อย ปัจจุบัน พบการเกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมากขึ้น เนื่องจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้น รวมทั้งผู้ที่มีโรคประจำตัวก็มีอายุยืนยาวขึ้นจากการรักษาโรคประจำตัวเหล่านี้มีประสิทธิภาพดีกว่าสมัยก่อน นอกจากนี้ ในปัจจุบัน การรักษาผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในโรงพยาบาลก็ซับซ้อนยุ่งยาก มีการใส่เครื่องมือ และสายสวนต่างๆเข้าร่างกาย และมีการใช้ยาปฏิชีวนะพร่ำเพรื่อ ซึ่งต่างก็เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะติดเชื้อด้วยเช่นกัน ทั้งนี้ โดยประมาณ 2 ใน 3 ของผู้ที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด เกิดในผู้ป่วยที่รักษาอยู่ในโรง พยาบาลนั่นเอง """"""""""""""""" อะไรเป็นสาเหตุของภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด? ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเกิดจากร่างกายติดเชื้อโรค ซึ่งเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ ส่วนใหญ่จะเกิดจากเชื้อเพียงชนิดเดียว โดย ประมาณ 40% เป็นแบคทีเรียชนิดแกรมลบ (Gram negative bacteria) ประมาณ 30% เป็นแบคทีเรียชนิดแกรมบวก (Gram positive bacteria) ประมาณ 5% เกิดจากแบคทีเรียชนิดก่อภาวะนี้ได้บ่อย (Classic pathogens เช่น H.influenzae, Neisseria meningitidis, Streptococcus pyogenes และ S.pneumoniae) ประมาณ 6% เกิดจากเชื้อรา และที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อหลายชนิด พบได้ประมาณ 16% """"""""""""""""" อะไรเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด? ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด คือ การมีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคของเม็ดเลือดขาวบางชนิด (เม็ดเลือดขาวมีหลายชนิด) โรคตับแข็ง โรคภูมิคุ้มกันต้านทานของร่างกายบกพร่องชนิดต่างๆ เช่น ติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ซึ่งโรคประจำตัวเหล่านี้จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆที่เข้าสู่ร่างกาย รวมถึงผู้ที่ได้รับยากดระบบภูมิคุ้มกันต้านทานอยู่ เช่น ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ หรือยาเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น การทำหัตถการต่างๆที่ต้องใส่เครื่องมือเข้าไปในร่างกาย ซึ่งจะเป็นการนำเชื้อโรคให้เข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การใส่สายสวนปัสสาวะ การสอดใส่ท่อเข้าหลอดเลือดเพื่อให้สารน้ำต่างๆ การใส่สาย/ท่อเข้าหลอดเลือดเพื่อการรักษาบางวิธี เช่น การสวนหัวใจ หรือการมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกาย เช่น มีลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น การให้ยาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อแบคทีเรีย การที่แพทย์ให้ยาปฏิชีวนะชนิดที่มีประสิทธิภาพครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียได้หลายชนิด (Broad-spectrum antibiotics) ในการรักษาการติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดนานเกินไป หรือให้ยาปฏิชีวนะหลายๆชนิดพร้อมกัน หรือให้โดยไม่จำเป็น จะทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา และเกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดได้ง่ายขึ้น เนื่องจากยาจะฆ่าแบคทีเรียชนิดที่อาศัยเป็นปกติในร่างกายของเรา (แบคทีเรียประจำถิ่น หรือ Normal flora) ไปด้วย ซึ่งปกติแบคทีเรียเหล่านี้จะช่วยกำจัดการเจริญเติบโตของเชื้อราบางชนิดได้ สาเหตุอื่นๆ เช่น ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ที่เกิดแผลเป็นบริเวณกว้าง เชื้อโรคก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย และการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในกลุ่มผู้ติดยาเสพติด เป็นต้น """"""""""""""""" เชื้อโรคก่อภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างไร? เมื่อเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เชื้อจะทำให้เกิดรอยโรค และก่อให้เกิดอาการจากอวัยวะนั้นๆเกิดการอักเสบติดเชื้อ ในกรณีที่เชื้อมีความรุนแรง หรือระบบภูมิคุ้มกันต้านทานโรคของร่างกายอ่อนแอ เชื้อโรคจะกระจายเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่ายขึ้น ในบางครั้งเชื้ออาจไม่ได้กระจายเข้าสู่กระแสเลือด แต่อาจปล่อยพิษเข้าสู่กระแสเลือด หรืออาจไม่ได้ทั้งกระจาย หรือไม่ได้ทั้งปล่อยพิษเข้าสู่กระแสเลือดเลย แต่ส่งสัญญาณให้เกิดเป็นสารเคมีต่างๆเกิดขึ้นในร่างกายของเรา ร่างกายก็จะรับรู้และตอบสนองโดย เม็ดเลือดขาวและเซลล์บุหลอดเลือดต่างๆทั่วร่างกาย จะผลิตสารเคมีต่างๆเพื่อพยายามต่อต้านและกำจัดเชื้อโรค แต่สารเคมีเหล่านี้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ และส่งผลให้ร่างกายเกิดกลุ่มอาการต่างๆที่เรียกว่า กลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย (Systemic inflammatory response syndrome หรือเรียกย่อว่า SIRS) """"""""""""""""" ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมีอาการอย่างไร? ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดนั้น จะมีอาการที่แบ่งออกได้เป็น 3 อย่างคือ อาการที่เกิดจากร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ ซึ่งเรียกว่า กลุ่มอาการตอบสนองต่อการอักเสบทั่วร่างกาย หรือ SIRS ดังกล่าว ซึ่งจะมีอาการและอาการแสดงอย่างน้อย 2 อย่างขึ้นไป ได้แก่ มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส หรือมีอุณหภูมิของร่างกายต่ำกว่า 36 องศาเซลเซียส หัวใจเต้นเร็วมากกว่า 90 ครั้งต่อนาที หายใจเร็วมากกว่า 20 ครั้งต่อนาที หรือวัดค่าความดันคาร์บอน ไดออกไซด์ในเลือดได้มากกว่า 32 มิลลิเมตรปรอท การตรวจเลือด พบมีเม็ดเลือดขาวมากกว่า 12,000 ตัวต่อมิลลิ ลิตร หรือน้อยกว่า 4,000 ตัวต่อมิลลิลิตร อาการที่เกิดจาก SIRS ไม่จำเป็นต้องเกิดจากการติดเชื้อเท่านั้น อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น จากการเกิดตับอ่อนอักเสบ จากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือจากมีแผลไฟไหม้ที่รุนแรง แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าอาการของ SIRS นี้สาเหตุมาจากการติดเชื้อ ก็จะเรียกว่าผู้ป่วยมีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดนั่นเอง อาการแสดงที่ผิวหนัง ซึ่งเกิดจากเชื้อโรค หรือพิษของเชื้อโรคกระจายมาตามกระแสเลือด และเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้เกิดรอยโรคขึ้นที่ผิวหนังทั่วตัว รอยโรคนี้ บางอย่างมีลักษณะที่ไม่จำเพาะ คือเป็นตุ่มหนองธรรมดา ซึ่งเกิดได้จากเชื้อหลายชนิด แต่มีรอยโรคบางอย่างที่มีลักษณะจำเพาะ สามารถบอกถึงชนิดเชื้อที่เป็นสาเหตุได้ เช่น ผื่นชนิดเรียบเป็นจุด หรือปื้นแดงเล็กๆซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Neisseria meningitidis หากเป็นผื่นชนิดตุ่มน้ำ และมีเลือดออก ประกอบกับมีประวัติว่าไปกินหอยนางรมดิบมา ก็มีสาเหตุจากเชื้อแบคทีเรียชื่อ Vibrio vulnificus หรือหากผิวหนังทั่วตัวกลายเป็นสีแดง ก็มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อ Staphy lococcus aureus หรือ Streptococcus pyogenes อาการเฉพาะที่ หรือเฉพาะอวัยวะที่ติดเชื้อ ผู้ป่วยต้องมีอาการที่บ่งว่ากำลังมีการติดเชื้อที่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เช่น หากมีอาการไอ เจ็บหน้าอกเวลาหายใจ แพทย์ฟังปอดแล้วพบเสียงผิดปกติ ก็แปล ว่าผู้ป่วยมีการติดเชื้อที่ปอด หรือที่เยื่อหุ้มปอด หากผู้ป่วยปวดหลัง ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะขุ่น อาจเกิดจากมีการติดเชื้อที่กรวยไต หรือหากมีอาการปวดท้อง ถ่ายเหลว/ท้องเสีย อาจเกิดจากการติดเชื้อในลำไส้ เป็นต้น ในผู้ป่วยบางราย โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน อาจไม่มีอาการ หรืออาจแสดงอาการไม่ชัดเจน ในกรณีนี้ ต้องอาศัยการตรวจทางห้องปฏิบัติการมาช่วยพิสูจน์การติดเชื้อในอวัยวะที่สงสัย เช่น การตรวจย้อม และ/หรือเพาะเชื้อจากสารคัดหลั่งของอวัยวะนั้นๆ เป็นต้น """"""""""""""""" แพทย์วินิจฉัยภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างไร? แพทย์วินิจฉัยภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดจาก อาศัยจากอาการ SIRS ร่วมกับการพิสูจน์ว่าผู้ป่วยกำลังมีการติดเชื้อ ซึ่งจะใช้การตรวจร่างกายร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาตำแหน่งที่กำลังมีการติดเชื้ออยู่ ได้แก่ การเอกซเรย์ เช่น เอกซเรย์ปอดเพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในปอดหรือไม่ การตรวจอัลตราซาวน์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เช่น อัลตราซาวน์ช่องท้องเพื่อดูว่ามีฝีเกิดขึ้นในช่องท้องหรือไม่ การเจาะน้ำจากตำแหน่งต่างๆ เช่น น้ำไขสันหลัง เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในสมอง หรือในเยื่อหุ้มสมองหรือไม่ หรือการเจาะน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ในกรณีที่มีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด หรือการเจาะน้ำในข้อต่างๆที่มีน้ำและสงสัยว่าจะมีการติดเชื้อ เป็นต้น การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูว่ามีการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะหรือไม่ อนึ่งเนื้อเยื่อเกี่ยวพันไปย้อมดูเชื้อโรค หรือนำไปเพาะเชื้อ และ/หรือการนำปัสสาวะไปเพาะเชื้อ เป็นต้น เมื่อหาตำแหน่งที่มีการติดเชื้อได้แล้ว ขั้นต่อไปคือ การระบุชนิดของเชื้อโรคที่ก่อเหตุ เช่น การนำเสมหะไปย้อมดูเชื้อโรค หรือนำไปเพาะเชื้อในกรณีที่เป็นปอดอักเสบ การนำฝีหนองจากบริเวณผิวหนังหรือ การวินิจฉัยว่าผู้ป่วยมีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด อาศัยจากอาการของ SIRS ร่วมกับการพิสูจน์ว่า พบเชื้อโรคอยู่ในกระแสเลือด ซึ่งอาจกระทำโดยการนำเลือดมาเพาะหาเชื้อ หรือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อในเลือดด้วยเทคนิคที่เรียกว่า พีซีอาร์ (PCR) หรือในกรณีที่มีเชื้อแบคทีเรียปริมาณมากในเลือด การนำเลือดมาป้ายบนสไลด์/Slide (แผ่นแก้วใช้ในการตรวจเลือด และสารคัดหลั่งต่างๆ) และนำไปดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ ก็สามารถตรวจเจอเชื้อแบคทีเรียได้เช่นกัน """"""""""""""""" ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดมีผลข้างเคียงจากโรคและความรุนแรงของโรคอย่างไร? ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด อาจพัฒนาเข้าสู่ภาวะอาการขั้นรุนแรง (Severe sepsis) ภาวะช็อก (Septic shock) และภาวะอวัยวะภายในต่างๆล้มเหลว (Organ dysfunction) ภาวะอาการขั้นรุนแรง (Severe sepsis) คือ การที่ผู้ป่วยเกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด ร่วมกับมีภาวะอวัยวะภายในต่างๆล้มเหลว หรือมีความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ภาวะช็อก (Septic shock) คือ การที่ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดร่วมกับมีความดันโลหิตต่ำกว่าปกติ ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการให้สารน้ำทางหลอดเลือด ภาวะอวัยวะภายในต่างๆล้มเหลว (Organ dysfunction) อวัยวะที่สำคัญ คือ ปอด การแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนระหว่างปอดกับเลือดจะน้อยลง เนื่องจากถุงลมในปอดมีน้ำคั่งมากขึ้น ทำให้ปริมาณออกซิเจนในเลือดน้อยลง ขณะมีปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้น อวัยวะต่างๆจึงได้รับออกซิเจนน้อยลง ยิ่งส่งผลให้อวัยวะต่างๆรวมทั้งปอดเองล้มเหลวมากขึ้นไปอีก หัวใจ หัวใจจะบีบตัวได้น้อยลง ความดันโลหิตก็จะยิ่งลดลง ยิ่งทำให้การส่งเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆน้อยลงไปอีก ไต เมื่อไตหยุดทำงาน ผู้ป่วยจะไม่มีปัสสาวะหรือมีปัสสาวะออกเพียงเล็กน้อย น้ำและของเสียในร่างกายก็จะคั่ง เกลือแร่ในร่างกายขาดสมดุล หรือในผู้ป่วยบางคนอาจมีปัสสาวะมากผิด ปกติ ทำให้ร่างกายขาดน้ำ และเกลือแร่ขาดสมดุลได้เช่นกัน สมอง จะเกิดอาการสับสน วุ่นวาย หรือซึม จนถึงขั้นโคม่า (Coma) ในที่สุด ตับ การทำหน้าที่ของตับในการกำจัดเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ จะสูญเสียไป จึงทำให้มีสารประกอบของเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ ที่เรียกว่า บิลิรูบิน (Bilirubin) หรือสารสีเหลือง อยู่ในเลือดมาก ทำให้มีอาการ ตัวเหลือง ตาเหลือง และตับยังจะหยุดผลิตสารเคมีที่ช่วยในการแข็ง ตัวของเลือด ทำให้เลือดไม่แข็งตัว เลือดจึงออกได้ง่าย ระบบการแข็งตัวของเลือด นอกจากสารเคมีที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือดซึ่งผลิตจากตับจะน้อยลงแล้ว ปริมาณเกล็ดเลือดซึ่งเกี่ยวข้องกับการแข็งตัวของเลือดก็ลดลงด้วย แต่กลไกในการลดลงของปริมาณเกล็ดเลือดนั้นไม่ทราบชัดเจน ในกรณีที่อาการรุนแรง ผู้ป่วยอาจเกิดภาวะมีลิ่มเลือดกระจายในหลอดเลือดทั่วตัว ที่เรียกว่า Disseminated intravascular coagula tion (DIC หรือ ดีไอซี) คือ มีการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดขนาดเล็กๆทั่วร่างกาย ทำให้สารเคมีที่ใช้ในการแข็งตัวของเลือดถูกใช้ไปจนหมด และเม็ดเลือดแดงจะถูกทำลายจากลิ่มเลือดที่แข็งตัวเหล่านี้ ผู้ป่วยจะมีเลือดออกไม่หยุดเกิดขึ้นได้ในอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น ปอด สมอง ลำไส้ และเป็นสาเหตุให้เสียชีวิต (ตาย) ได้ในที่สุด ระบบฮอร์โมน ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดจะขึ้นสูงผิดปกติ เพราะตับอ่อนจะผลิตฮอร์โมนอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในร่างกาย) ได้ไม่เพียงพอ ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลด้วยยากินไม่ได้ผล ต้องให้ยาอินซูลิน (ยาฉีด) รักษาแทน หรือในผู้ ป่วยที่เคยกินยาสเตียรอยด์มาก่อน จะเกิดภาวะต่อมหมวกไตหยุดทำงาน ไม่ผลิตฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมความดันโลหิต ทำให้ความดันโลหิตยิ่งต่ำลงไปอีกได้ อนึ่ง ในด้านความรุนแรง ผู้ป่วยที่มีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดขั้นรุนแรง จะมีอัตราการเสียชีวิตประมาณ 20 - 35% ส่วนผู้ป่วยที่มีภาวะช็อก จะมีอัตราการเสีย ชีวิตประมาณ 40 - 60% ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ผู้ป่วยพัฒนาไปสู่อาการขั้นรุนแรงและมีโอกาสเสียชีวิตสูงขึ้น คือ โรคประจำตัวที่ผู้ป่วยมีอยู่ และความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพในการรักษา โดยพบว่าเมื่อผู้ป่วยมีภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดเกิดขึ้น การให้ยาปฏิชีวนะที่ช้าไปทุกๆ 1 ชั่วโมง จะเพิ่มโอกาสการเสียชีวิตขึ้นชั่วโมงละ 7% """"""""""""""""" รักษาภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างไร? แนวทางการรักษาภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด คือ ผู้ป่วยจะต้องเข้ารับการรักษาในหออภิบาลผู้ป่วยหนัก (ICU, Intensive care unit) โดยการรักษาแบ่งออกได้เป็น การให้ยาปฏิชีวนะฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ในระหว่างที่รอการเพาะเชื้อจากอวัยวะที่ติดเชื้อ หรือจากกระแสเลือด แพทย์จะเริ่มให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดโดยครอบคลุมเชื้อที่น่าจะเป็นสา เหตุ โดยพิจารณาจากอายุ โรคประจำตัวของผู้ป่วย รวมทั้งพิจารณาว่าเป็นการได้รับเชื้อจากภายในโรงพยาบาล (โรครุนแรงกว่า) หรือจากภายนอกโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อผลการเพาะเชื้อสา มารถระบุชนิดเชื้อ และความไวของเชื้อต่อชนิดยาปฏิชีวนะได้แล้ว แพทย์ก็จะเปลี่ยนชนิดยาให้เหมาะสมต่อไป การกำจัดต้นเหตุที่มีการติดเชื้อ และทำให้เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระ แสเลือด เช่น หากผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะอยู่แล้วมีการติดเชื้อที่กรวยไต ก็ต้องนำสายสวนปัสสาวะออก ถ้าจำเป็นต้องใส่ ก็ต้องเปลี่ยนเส้นใหม่ หรือหากมีการติดเชื้ออักเสบเป็นหนองในบริเวณไหน ก็ต้องเจาะระบายเอาหนองออก เป็นต้น การรักษาประคับประคองตามอาการ ได้แก่ การให้ยาลดไข้ ให้ยาลดกรดที่เกิดจากร่าง กายมีภาวะเครียด (Stress) สูง เพื่อป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร (Stress ulcer) การให้สารน้ำทางหลอดเลือดให้เพียงพอ การให้ออกซิเจน การแก้ไขระดับเกลือแร่ต่างๆในเลือดที่ผิดปกติ การให้ยาอินซูลินควบคุมระดับน้ำตาล หากความดันโลหิตต่ำมากอยู่ในสภาวะช็อก ต้องให้ยากระตุ้นการบีบตัวของหลอดเลือด และยากระตุ้นการบีบตัวของหัวใจ หากมีภาวะโลหิตจางก็ต้องให้เลือด หากอวัยวะใดทำงานล้มเหลว เช่น ระบบหายใจล้มเหลวก็ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ เมื่อเกิดภาวะไตวายก็ต้องฟอกล้างไต และ/หรือเมื่อต่อมหมวกไตหยุดทำงานก็ต้องให้ฮอร์โมนสเตียรอยด์เสริม เป็นต้น """"""""""""""""" ดูแลตนเองและป้องกันภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างไร? การดูแลตนเองและการป้องกันภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือด คือ ตามที่ได้กล่าวไปแล้วว่า ภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดนี้มัก เกิดในผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลซึ่งมารักษาตัวด้วยโรคอื่นๆ ดังนั้นแพทย์จะพิจารณาอย่างรอบคอบถึงความจำเป็นในการทำหัตถการต่างๆที่อาจเป็นปัจจัยนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ เช่น การสอดใส่ท่อเข้าหลอดเลือดดำเพื่อให้สารน้ำ และ/หรือการใส่สายสวนปัสสาวะ นอกจากนี้แพทย์จะเลือกใช้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับโรคติดเชื้อที่ผู้ป่วยกำลังเป็น และให้ในระยะเวลาที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงยาปฏิชีวนะชนิดครอบคลุมเชื้อแบคทีเรียได้หลายๆชนิด โดย เฉพาะในผู้ที่มีโรคประจำตัว เพราะอาจเป็นสาเหตุให้เชื้อราประจำถิ่นในลำไส้ แบ่งตัวเจริญเติบ โตและลุกลามเข้าสูร่างกาย จนทำให้เกิดภาวะพิษเหตุติดเชื้อ/ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดขึ้น มาได้ ในกรณีต้องการซื้อยาปฏิชีวนะกินเองเมื่อเกิดการเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่น โรคต่อมทอนซิลอักเสบ โรคอุจจาระร่วง/ท้องเสีย ควรเริ่มใช้ยาปฏิชีวนะที่ตรงกับโรค โดยปรึกษากับเภสัชกรที่ประจำร้านขายยาก่อนใช้ ไม่ควรเริ่มใช้ยาที่ประ สิทธิภาพสูงเกินไป เพราะเหตุผลเช่นที่กล่าวมาแล้ว และหากยาที่ซื้อกินเองครั้งแรกไม่ได้ผล ก็ควรรีบพบแพทย์/ไปโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวต่างๆเช่นที่กล่าวไว้ในข้างต้น หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรคอยู่ ควรระมัดระวังการติดเชื้อโดย การรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่ง ชาติ) อย่างเคร่งครัด เช่น หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด กินอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ ล้างมือก่อนหยิบจับอาหาร ส่งเสริมร่างกายให้แข็งแรง เช่น ออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกมื้ออาหาร นอกจากนั้นคือ กินยาตามแพทย์สั่งให้ถูกต้องครบ ถ้วน และควรพบแพทย์ตามนัดเสมอ """"""""""""""""" ควรพบแพทย์เมื่อไหร่? ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว หรือผู้ได้รับยากดภูมิคุ้มกันต้านทานโรค หากมีไข้สูง หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ควรรีบพบแพทย์ภายใน 1 - 2 วันเสมอ และถ้าอาการรุนแรง ควรต้องพบแพทย์/ไปโรงพยาบาลเป็นการฉุกเฉิน """"""""""""""""" บรรณานุกรม 1. Robert S. Munford, sepsis and septic shock, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001 2. https://en.wikipedia.org/wiki/Sepsis [2014,May28]. 3. https://emedicine.medscape.com/article/169640-overview [2014,May28]. Updated 2014, May 31https://haamor.com/th/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B0%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94/
Create Date : 20 กุมภาพันธ์ 2552
Last Update : 29 เมษายน 2565 13:48:57 น.
2 comments
Counter : 22447 Pageviews.
โดย: หมอหมู วันที่: 10 พฤศจิกายน 2558 เวลา:12:47:25 น.
หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 763 คน [? ]
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ ) หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู ) ปล. ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..