ข้อมูลสำคัญ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และ สถานการณ์ล่าสุด ... แถม เวบน่าสนใจ
//beid.ddc.moph.go.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=32105025&Itemid=240 ข้อมูลสำคัญ ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (เอ็ช1เอ็น1) 2009 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แพร่ติดต่อง่าย คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิต้านทาน คนทุกเพศทุกวัยติดเชื้อนี้ได้ เนื่องจากเป็นเชื้อใหม่ คนส่วนใหญ่ไม่มีภูมิต้านทานโรคนี้ โดยเฉพาะเด็กและคนหนุ่มสาว แต่ผู้สูงอายุบางคนอาจมีภูมิต้านทานโรค จากการที่เคยติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ที่คล้ายกันกับเชื้อตัวใหม่นี้มาแล้ว ผู้ป่วยแพร่เชื้อได้มากสุดช่วง 3 วันแรก เมื่ออาการทุเลาขึ้นจะแพร่เชื้อได้ลดลง ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 7 วัน แต่เด็กเล็กอาจแพร่เชื้อได้นานกว่านี้ เมื่อผู้ป่วยไอ จาม พูดคุย เชื้อไวรัสในฝอยละอองน้ำมูก น้ำลาย เสมหะ จะฟุ้งกระจายไปไกล 1 ถึง 2 เมตร และมีชีวิตอยู่ที่พื้นผิวหรือสิ่งของได้นาน 2 ถึง 8 ชั่วโมง ไข้หวัดใหญ่ป้องกันได้ * อยู่ไกลจากผู้ป่วยอย่างน้อยหนึ่งช่วงแขน เพื่อไม่ให้ถูกไอจามรดโดยตรง หรือสูดฝอยละอองเชื้อโรคเข้าไป * ไม่ใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดมือ แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ และใช้ช้อนกลางทุกครั้งเมื่อรับประทานอาหารกับผู้อื่น * หมั่นล้างมือบ่อยๆ และล้างมือหลังจากสัมผัสพื้นผิว สิ่งของเครื่องใช้ที่อาจปนเปื้อนเชื้อ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได ปุ่มลิฟต์ โทรศัพท์ แป้นคอมพิวเตอร์ * ฝึกนิสัยไม่ใช้มือแคะจมูก จับปาก ขยี้ตา หรือจับต้องใบหน้า หากยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด ควรใช้กระดาษทิชชูจะปลอดภัยกว่า * ไม่ควรเข้าไปในสถานที่แออัด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการระบาดมาก หากจำเป็น ผู้เป็นกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง ควรป้องกันตนเองอย่างดี เช่น สวมหน้ากากอนามัย และเช็ดมือด้วยเจล แอลกอฮอล์ บ่อยๆ รักษาร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรค o ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และสัมผัสแสงแดดยามเช้า เพื่อให้ร่างกายได้รับวิตามินดี o รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ไข่ นม ผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีมาก เช่น ฝรั่ง o ดื่มน้ำสะอาดให้มากพอ o พักผ่อน นอนหลับให้พอเพียง o ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่เที่ยวไปในสถานที่แออัด อากาศถ่ายเทไม่สะดวก รักษาสุขอนามัยส่วนบุคคล ช่วยให้ห่างไกลจากโรคติดต่อ o หมั่นล้างมือบ่อย ๆ และล้างมือทุกครั้ง ก่อนรับประทานอาหาร ป้อนอาหารเด็ก หลังสั่งน้ำมูก ไอ จาม ขับถ่าย ดูแลผู้ป่วย จับต้องสิ่งของเครื่องใช้ พื้นผิวที่มีผู้สัมผัสมาก สัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ที่มีอาการป่วย) o ล้างมือด้วยน้ำและสบู่ ให้สะอาดทั่วถึง (ถูฝ่ามือ หลังมือ ซอกนิ้ว หัวแม่มือ ข้อมือ) นานประมาณ 20 วินาที (นับในใจ 1 ถึง 20) o พกเจลแอลกอฮอล์ 70% ไว้ สำหรับเช็ดมือให้สะอาดเวลาเดินทาง o ใช้หน้ากากอนามัยเมื่อเป็นไข้หวัด เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อสู่คนรอบข้างไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง หลังจากได้รับเชื้อ 2 ถึง 3 วัน (มักไม่เกิน 7 วัน) ผู้ป่วยจะเริ่มมีไข้ ปวดศีรษะ หนาวสั่น ปวดเมื่อยเนื้อตัว ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ำมูกไหล อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องเสีย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ (95%) อาการไม่รุนแรง อาการจะคล้ายกันกับไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลสายพันธุ์เก่า แต่เนื่องจากเชื้อนี้สามารถทำให้เกิดปอดบวมได้มากกว่าเชื้อสายพันธุ์เก่า จึงพบว่ามีผู้ป่วยส่วนน้อย (5%) มีอาการป่วยรุนแรง ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง ส่วนมาก (70%) เป็นผู้มีโรคประจำตัวเรื้อรัง (เช่น โรคปอด หอบหืด โรคหัวใจ ไต เบาหวาน พิการทางสมองและปัญญา ฯลฯ) หญิงตั้งครรภ์ (เสี่ยงป่วยรุนแรงมากกว่าคนทั่วไปถึง 4 เท่า) ผู้เป็นโรคอ้วน ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ (โรคเลือด โรคมะเร็ง โรคเอดส์ ผู้ป่วยรับยากดภูมิต้านทาน ฯลฯ) เด็กเล็กต่ำกว่า 2 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี อย่างไรก็ตามยังมีผู้เสียชีวิตส่วนน้อย (30%) ที่มีสุขภาพดีก่อนป่วย ยังไม่พบปัจจัยเสี่ยงที่ชัดเจน องค์การอนามัยโลกและหลายประเทศกำลังเร่งศึกษาหาสาเหตุ สัญญาณอันตราย คือ มีไข้สูงไม่ลดลงภายใน 2 วัน (เด็กอาจมีอาการชัก) ไอมากจนเจ็บหน้าอก ไอมีเลือดปน หรือหายใจถี่ หอบ เหนื่อย ไม่ทานอาหาร ไม่ดื่มน้ำ ซึมมาก อ่อนเพลียมาก นอนซม อาเจียนหรือท้องร่วงมาก มีอาการขาดน้ำ ผิวหนังมีสีม่วงคล้ำ ผู้ป่วยที่มีอาการเหล่านี้ รวมทั้งกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง ต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เพื่อรับการรักษาและยาต้านไวรัสให้เร็วที่สุดดูแลรักษาผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงที่บ้าน หากผู้ป่วยมีไข้ไม่สูงมาก ตัวไม่ร้อนจัด ไม่ซึมหรืออ่อนเพลียมาก และพอทานอาหารได้ ต้องพักดูแลรักษาตัวที่บ้าน โดยทำจิตใจให้สบาย และห้ามออกกำลังกาย o หยุดเรียน หยุดงาน ไม่ออกไปนอกบ้าน 7 วัน อาจเร็วหรือช้ากว่านี้ แต่ต้องหลังจากไม่มี ไข้แล้วอย่างน้อย 1 วัน เพื่อให้พ้นระยะแพร่เชื้อ o รับประทานยาลดไข้พาราเซทามอล (ห้ามใช้ยาแอสไพริน) ยาละลายเสมหะ ยาแก้เจ็บคอ วิตามิน ฯลฯ ตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร o ถ้าติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องทานยาปฏิชีวนะให้หมดตามที่แพทย์สั่ง o เช็ดตัวลดไข้เป็นระยะด้วยน้ำสะอาดอุ่นเล็กน้อย เช็ดแขนขาย้อนเข้าหาลำตัว หน้าผาก ซอกรักแร้ ขาหนีบ ข้อพับแขนขา และใช้ผ้าห่มปิดส่วนอกระหว่างเช็ดแขนขา เพื่อไม่ให้หนาวเย็นจนเสี่ยงเกิดปอดบวม หากผู้ป่วยหนาวสั่น ต้องหยุดเช็ดตัว และห่มผ้าให้ อบอุ่นทันที o ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มาก ๆ งดดื่มน้ำเย็น o รับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ ให้พอเพียง o นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และอากาศถ่ายเทสะดวก ป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่คนอื่นๆ ในบ้าน o แยกนอนในห้องที่อากาศถ่ายเทสะดวก o รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น o ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ร่วมกับผู้อื่น o ปิดปากจมูกด้วยกระดาษทิชชูทุกครั้งที่ไอจาม แล้วทิ้งทิชชูลงในถังขยะ (ถ้าหยิบไม่ทัน ต้องรีบเบนหน้าใส่ต้นแขนตัวเอง) และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่ทันที o สวมหน้ากากอนามัยเมื่อต้องอยู่กับผู้อื่น โดยเฉพาะคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงป่วยรุนแรง และอยู่ห่างจากคนอื่น ๆ 1 ถึง 2 เมตร หรืออย่างน้อยหนึ่งช่วงแขน o ผู้ดูแลผู้ป่วยต้องสวมหน้ากากอนามัย และทำความสะอาดมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือน้ำและสบู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังดูแลผู้ป่วย o หมั่นทำความสะอาดบริเวณห้องนอนผู้ป่วยและบริเวณที่มีคนสัมผัสมาก โดยเช็ดล้างด้วยน้ำผงซักฟอกหรือน้ำยาฆ่าเชื้อทั่วไปที่ใช้ตามบ้าน รวมทั้งเปิดม่านให้แสงแดดยามเช้าส่องเข้ามาในห้องได้ติดตามข้อมูลเพิ่มเติม o เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข //www.moph.go.th o สายด่วน 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทร. 0 2590 3333 ขอบคุณ....ที่หยุดงาน หยุดเรียน สวมหน้ากากอนามัย และล้างมือบ่อย ๆ ....เมื่อป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค เว็บไซต์ //beid.ddc.moph.go.th เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข //www.moph.go.th 1 ตุลาคม 2552 สถานการณ์ นโยบาย ยุทธศาสตร์ และแนวทางการป้องกันควบคุม ไข้หวัดใหญ่ระบาดใหญ่ (เอ็ช1เอ็น1) 2009 กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข 19 พฤศจิกายน 2552 //beid.ddc.moph.go.th/th/index.php?option=com_content&task=view&id=32117872&Itemid=240 สถานการณ์โรคและแนวโน้มการระบาดสถานการณ์ทั่วโลก การ ระบาดใหญ่ของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ (เอ็ช1เอ็น1) 2009 ซึ่งเป็นวิกฤติทางสาธารณสุขของประเทศทั่วโลก จะยังไม่ยุติในเวลาอันใกล้ องค์การอนามัยโลกได้รับรายงานผู้ป่วยยืนยันโรคนี้ ณ วันที่ 8 พฤศจิกายน 2552 (เว็บไซต์ //www.who.int) มากกว่า 503,536 คน มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 6,260 คน ข้อมูลนี้ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก เนื่องจากการระบาดได้ขยายไปสู่ชุมชนของประเทศต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 206 ประเทศแล้ว ซึ่งองค์การอนามัยโลกได้แนะนำ (ตั้งแต่วันที่ 6 กรกฎาคม 2552 เป็นต้นมา) ให้ประเทศที่มีการระบาดภายในประเทศแล้ว เปลี่ยนการตรวจยืนยันผู้ป่วยทางห้องปฏิบัติการ (confirmed case) ทุกราย ซึ่งจะสร้างภาระและสิ้นเปลืองทรัพยากรโดยไม่คุ้มค่า มาใช้วิธีการทางระบาดวิทยา (epidemic monitoring) เพื่อติดตามสถานการณ์ ขณะ นี้ยังไม่พบการเปลี่ยนแปลงของเชื้อไวรัสที่อาจทำให้เชื้อมีความรุนแรง เพิ่มขึ้น และยังไม่พบปัญหาการดื้อยาโอเซลทามิเวียร์ในระดับที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุข รวมทั้งเชื้อยังไวต่อยาซานามิเวียร์สถานการณ์ในประเทศไทย จาก การเฝ้าระวังโรคตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2552 ถึงขณะนี้ (14 พฤศจิกายน 2552) ไทยพบผู้ป่วยที่ตรวจยืนยันไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ รวมทั้งสิ้น 28,939 ราย เสียชีวิต 185 ราย โดยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา (8 -14 พฤศจิกายน 2552) มีรายงานผู้เสียชีวิต 1 ราย สถานการณ์ การระบาดในกรุงเทพและปริมณฑลได้ลดลงมากตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่าน มา และได้ขยายไปในทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลางบางจังหวัด มีความเสี่ยงที่จะ เกิดการระบาดในเขตเมือง ในสถานที่ที่คนอยู่รวมกันจำนวนมาก และมีสัญญานเตือนการขยายตัวเป็นการระบาดระลอกใหม่ โดยเกิดการระบาดในโรงเรียนและค่ายทหาร และมีปัจจัยเสริม ได้แก่ อากาศที่เย็นและแห้ง แหล่งข้อมูลการติดต่อเพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ 1. กรุงเทพมหานคร ติดต่อได้ที่ กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 0 2245 8106 , 0 2246 0358 และ 0 2354 1836 2. ต่างจังหวัด ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง 3. สำนัก โรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ชั้น 4 อาคาร 8 กรมควบคุมโรค (ตึกสถาบันราชประชาสมาสัย) ถนนติวานนท์ จ.นนทบุรี โทร. 02 590 3275 02 590 3238 โทรสาร. 02 590 3397Call Center 24 ชั่วโมง ศูนย์ปฏิบัติการ กระทรวงสาธารณสุข ห้องประชุม 2 ชั้น 2 ตึกสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข Call Center 1422 , โทรสาร 02 - 590 1993 ศูนย์บริการข้อมูลฮ็อตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์ 0 2590 1994 ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค อาคาร 2 ชั้น 3 ตึกกรมควบคุมโรค Call Center 02 - 590 3333 โทรสาร 02 - 590 3308 e-Mail: moc@health.moph.go.thกระทู้น่าสนใจ จากไข้หวัดใหญ่ MEXICO ถึงไข้หวัดใหญ่ 2009 .. บทเรียนสาธารณสุขไทย//www.bloggang.com/viewblog.php?id=cmu2807&date=21-05-2009&group=4&gblog=76 .....สถานการณ์ไข้หวัดใหญ่ 2009....( ศจ.นพ.ธีระวัฒน์ ) และ แนวทางดูแลรักษาผู้ป่วย//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2009/07/L8147316/L8147316.html ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 2009....เสียชีวิตจากการรักษาช้าจริงหรือ ??? ... ศจ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา//topicstock.pantip.com/lumpini/topicstock/2009/08/L8154944/L8154944.html ถึงสื่อมวลชนทุกท่าน ผมจะบอกความจริงเรื่อง ไข้หวัด 2009 ให้ทราบ//www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A8060907/A8060907.html เวบที่น่าสนใจ .. เวบ ของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.).. ภาพสวย ข้อมูลเพียบ มีคำถามที่พบบ่อย และ เวบบอร์ดให้สอบถามปัญหา ครบถ้วน ... เจ๋งมั๊ก ๆ//www.flu2009thailand.com/ สอบถามข้อมูลไข้หวัด 2009 และขอรับสื่อ โทร. 1422 หรือ 1330 ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ ภาวะฉุกเฉินทาง การแพทย์และสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข//www.moph.go.th/flu/ สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข//beid.ddc.moph.go.th/th/index.php แถม ...1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย //www.flu2009thailand.com/important-sign.html วิธีง่ายๆ ที่ใช้สังเกตอาการไข้หวัด2009 ลดความกังวลใจ ลดความเสี่ยงในการไปโรงพยาบาลโดยไม่จำเป็น ถ้ามีไข้สูง 38 องศาเซลเซียส ร่วมกับ ไอ เจ็บคอ ให้ดูว่าตัวเองอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นหนักหรือเปล่า ถ้าใช่ต้องไปหาหมอทันที ถ้าไม่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง (ข้อมูลกลุ่มเสี่ยงอยู่ในหมวดการรักษา) ในเบื้องต้นให้กินยาพาราเซตามอลเพื่อลดไข้ ถ้า กินยาพาราเซตามอลแล้ว อาการขั้นแรกยังมีอยู่ นั่นคือ ไข้สูง ไอ เจ็บคอ แล้วก็มีอาการเพิ่มเติมเพียงแค่ 1 ใน 5 สัญญาณอันตราย ก็ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน นั่นคือ 1. ปวดหัวมากแม้กินยาพาราเซตามอลก็ยังไม่ดีขึ้นนัก 2. เบื่ออาหารอย่างมาก ไม่อยากกินอะไรเลย น้ำก็ไม่อยากดื่ม 3. เหนื่อย อ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก 4. ไอแล้วเหนื่อย หรือไอแล้วเจ็บเฉพาะที่ ไอแล้วเจ็บหน้าอก 5. มีอาการท้องเสียหรืออาเจียน เรียก ว่าถ้ามี 1 อาการหลัก(ไข้ ไอ เจ็บคอ) ร่วมกับอาการที่เป็นสัญญาณอันตราย อย่างน้อย 1 ใน 5 ดังกล่าวก็ต้องรีบไปหาหมอโดยด่วน จำไว้ว่า 1+1 ใน 5 = สัญญาณอันตราย แต่ถึงแม้จะไม่มีอาการร่วม 1 ใน 5 สัญญาณอันตราย แต่ถ้าพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน 2 วัน แล้วอาการยังไม่ดีขึ้นแม้แต่น้อย ก็จะต้องไปหาหมอเช่นกัน นำมาฝากกัน ... จะได้มีความรู้เอาไว้ ดูแลรักษาตนเอง และ คนที่คุณรัก ... ผมเชื่อว่า ผู้ป่วย มีความรู้มากเท่าไหร่ หมอก็ทำงานได้สบายมากขึ้นเท่านั้น ... ถ้าเป็นไปได้ ก็รบกวนฝากส่งต่อไปให้คนอื่น ๆ ด้วยนะครับ ... ถือว่า ทำบุญร่วมกัน ... ขอบคุณครับ ปล. ขอชี้แจงไว้ก่อนว่า ผมเป็นหมอกระดูกและข้อ (ออร์โธปิดิกส์) ... ไม่ได้มีความเชี่ยวชาญเรื่อง ไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙... ก็อาศัยหาความรู้ทางเนต เหมือนกับทุกท่าน จึงขอไม่ตอบหลังไมค์ เกียวกับโรคไข้หวัดใหญ่ ๒๐๐๙ นะครับ ถ้าเป็นโรคกระดูกและข้อ ก็ยินดีช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ ...
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 25 พฤศจิกายน 2552 15:41:43 น.
9 comments
Counter : 2773 Pageviews.
โดย: หมอหมู วันที่: 25 พฤศจิกายน 2552 เวลา:15:44:19 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 18 ธันวาคม 2552 เวลา:16:16:16 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 26 ธันวาคม 2552 เวลา:19:22:10 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 21 มกราคม 2553 เวลา:19:34:48 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 27 มกราคม 2553 เวลา:19:04:11 น.
โดย: Aussie angel วันที่: 3 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:14:50:25 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 30 มีนาคม 2553 เวลา:15:21:17 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 21 กันยายน 2553 เวลา:12:46:21 น.
โดย: หมอหมู วันที่: 29 มกราคม 2559 เวลา:21:45:39 น.
หมอหมู
Location :
กำแพงเพชร Thailand
[Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 762 คน [? ]
ผมเป็น ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ หรือ อาจเรียกว่า หมอกระดูกและข้อ หมอกระดูก หมอข้อ หมอออร์โธ หมอผ่าตัดกระดูก ฯลฯ สะดวกจะเรียกแบบไหน ก็ได้ครับ ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เป็นแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง ซึ่งเมื่อเรียนจบแพทย์ทั่วไป 6 ปี ( เรียกว่า แพทย์ทั่วไป ) แล้ว ก็ต้องเรียนต่อเฉพาะทาง ออร์โธปิดิกส์ อีก 4 ปี เมื่อสอบผ่านแล้วจึงจะถือว่าเป็น แพทย์ออร์โธปิดิกส์ โดยสมบูรณ์ ( รวมเวลาเรียนก็ ๑๐ ปี นานเหมือนกันนะครับ ) หน้าที่ของหมอกระดูกและข้อ จะเกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วย ของ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น กระดูก ข้อ และ เส้นประสาท โรคที่พบได้บ่อย ๆ เช่น กระดูกหัก ข้อเคล็ด กล้ามเนื้อฉีกขาด กระดูกสันหลังเสื่อม ข้อเข่าเสื่อม กระดูกพรุน เป็นต้น สำหรับกระดูกก็จะเกี่ยวข้องกับกระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง กระดูกเชิงกราน กระดูกข้อไหล่ จนถึงปลายนิ้วมือ กระดูกข้อสะโพกจนถึงปลายนิ้วเท้า ( ถ้าเป็นกระดูกศีรษะ กระดูกหน้า และ กระดูกทรวงอก จะเป็นหน้าที่ของศัลยแพทย์ทั่วไป ) นอกจากรักษาด้วยการให้คำแนะนำ และ ยา แล้วยังรักษาด้วย วิธีผ่าตัด รวมไปถึง การทำกายภาพบำบัด บริหารกล้ามเนื้อ อีกด้วย นะครับ ตอนนี้ผม ลาออกจากราชการ มาเปิด คลินิกส่วนตัว อยู่ที่ จังหวัดกำแพงเพชร .. ใช้เวลาว่าง มาเป็นหมอทางเนต ตอบปัญหาสุขภาพ และ เขียนบทความลงเวบ บ้าง ถ้ามีอะไรที่อยากจะแนะนำ หรือ อยากจะปรึกษา สอบถาม ก็ยินดี ครับ นพ. พนมกร ดิษฐสุวรรณ์ ( หมอหมู ) ปล. ถ้าอยากจะถามปัญหาสุขภาพ แนะนำตั้งกระทู้ถามที่ .. เวบไทยคลินิก ... ห้องสวนลุม พันทิบ ... เวบราชวิทยาลัยออร์โธปิดิกส์ หรือ ทางอีเมล์ ... phanomgon@yahoo.com ไม่แนะนำ ให้ถามที่หน้าบล๊อก เพราะอาจไม่เห็น นะครับ ..
ขอบคุณมากสำหรับความรู้ครับ
รบกวน ถาม คุณหมอหมู ว่าตอนนี้มีการนำเข้าชุดทดสอบไข้หวัดใหญ่ 2009 แบบ screening test จากเกาหลี และมหาวิทยาลัยรัฐบางที่ก็สามารถทำได้ตามข่าวเช่นกัน
ขอถามว่า ชุดทดสอบทั้งที่ผลิตในไทย และที่นำเข้าจากต่างประเทศ
มีความจำเป็นและน่าเชื่อถือ ขนาดไหนครับ
จากคุณ : Five Precepts
................ เท่าที่ติดตามข่าว ก็ยังไม่เห็นว่ามีประกาศให้นำมาใช้ อย่างเป็นทางการ นะครับ ... ผมก็ไม่ทราบเหมือนกัน ว่าตอนนี้ไปถึงไหนแล้ว ...
.................. ถือโอกาส นำมาฝากไว้ด้วยเลย เผื่อช่วยกันติดตามข่าว ...
//thainews.prd.go.th/PrintNews.php?m_newsid=255205210274&tb=N255205
ผศ.ดร. ปิยะศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์ อาจารย์ประจำ ห้องปฏิบัติการทรานสเจนิคเทคโนโลยีในพืชและไบโอเซ็นเซอร์ ภาควิชาพฤกษศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในฐานะผู้คิดค้น ชุดตรวจไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 กล่าวว่า การคิดชุดตรวจนี้ใช้หลักการตรวจวิเคราะห์ด้วยเซ็นเซอร์ โดยใช้เครื่องมือที่ง่ายในการตรวจ ทำให้การตรวจทำได้ในทุกพื้นที่ที่ต้องการได้ในทันที
กระบวนการทำงานของชุดตรวจไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009
ผศ.ดร.ปิยะศักดิ์ ชอุ่มพฤกษ์ เล่าถึงการทำงานของชุดตรวจไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ว่าการตรวจวิเคราะห์จะอาศัยหลักการ 3 ขั้น คือ ขั้นแรกเป็นการสกัด DNA หรือ RNA จากนั้นนำมาเพิ่มปริมาณ DNA หรือ RNA เป้าหมายเพื่อให้มีปริมาณมากพอที่จะตรวจสอบได้ และขั้นตอนสุดท้าย คือ การแปลงสัญญาณให้แสดงผลในรูปแบบกายภาพ ซึ่งตรวจวัดได้ในห้องปฏิบัติการที่มีความเชี่ยวชาญ ซึ่งการทดสอบนี้ได้ใช้ในการตรวจการปนเปื้อนในอาหารมาก่อน เช่น ตวรจสอบการปนเปื้อนของดีเอ็นเอสุกรในอาหารที่ได้รับมาตรฐานฮาลาล ซึ่งถือเป็นการต่อยอดทางการทดลองนั่นเอง
การตรวจไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 แต่เดิมที่เป็นการนำเชื้อมาทดสอบในห้องปฏิบัติการ จึงถูกย่อยลงมาเป็นชุดทดสอบที่สามารถพกพาได้ ด้วยถุงขนาดพกพาที่ภายในมีอุปกรณ์สำหรับตรวจเชื้อ ประกอบด้วย น้ำยาสำเร็จรูปที่ใส่หลอดไว้ล่วงหน้า พร้อมสำหรับหยดตัวอย่างไวรัส ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวจะใช้เวลาเพียง 1-2 นาที จากนั้นจะนำไปบ่มปฏิกิริยาที่อุณหภูมิ 63 องศาเซลเซียส ประมาณ 40 นาที-1 ชั่วโมง จากนั้นตรวจผลจากการเรืองแสง (สามารถใช้เครื่องตรวจธนบัตรปลอมที่มีราคาถูกและสะดวกในการพกพาสามารถดูด้วย ตาเปล่าได้) ทั้งนี้หากผลออกมาเรืองแสง แสดงว่าตัวอย่างติดเชื้อหวัดฯ 2009
จากขั้นตอนทั้งหมดนี้หากคิดค่าใช้จ่ายจากการตรวจ อยู่ที่ 150 บาท ซึ่งการตรวจดังกล่าวต้องใช้ร่วมกับชุดตรวจตัวอย่างด้วย Kit สำเร็จรูป 1 ตัวอย่างที่เป็นชุดตรวจมาตรฐานทั่วไป ดังนั้นหากรวมราคาทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 350 บาท ซึ่ง ถือได้ว่าประหยัดค่าใช้จ่ายกว่าการส่งผลตรวจเข้ายังห้องปฏิบัติการที่ใช้ เวลาถึง 2-3 ชั่วโมงขึ้นไป และต้องใช้เครื่องควบคุมอุณหภูมิพิเศษที่มีราคาแพง รวมถึงต้องพึ่งห้องปฏิบัติการ และบุคลากรเฉพาะทางทำให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงกว่ามาก และโดยหลักการทางทฤษฎียังพบว่าวิธีนี้มีความแม่นยำกว่าอีกด้วย
ผศ.ดร.ปิยะศักดิ์ กล่าวว่า ปัจจุบันชุดตรวจดังกล่าวมีการนำไปใช้ที่ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย และกำลังมีการพิจารณาว่าจะนำไปใช้อย่างไรเพื่อเป็นประโยชน์ต่อไป