แนวทางการตรวจสุขภาพของประชาชน
ต่อเนื่องจาก ... เรื่อง ... ตรวจสุขภาพประจำปีจำเป็นหรือไม่
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=cmu2807&month=09-06-2008&group=4&gblog=45
แนวทางการตรวจสุขภาพของประชาชน บทความพิเศษ
. สำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ ( สปรส. ) โดย
.. พท.นพ. สุรจิต สุนทรธรรม
ตรวจสุขภาพดีจริงหรือ ในปัจจุบันสังคมไทยให้ความสำคัญต่อการตรวจสุขภาพเป็นอย่างมาก ซึ่งนับเป็นการตอบรับต่อกระแสการป้องกันโรคก่อนการรักษา ตามทิศทางการปฏิรูประบบสุขภาพ แต่การตรวจสุขภาพที่ผ่านมานั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความถูกต้องและเหมาะสมแล้วหรือยัง และการตรวจสุขภาพเป็นแนวทางของการป้องกันก่อนรักษาจริงหรือไม่ เป็นคำถามที่บุคลากรสาธารณสุขรวมทั้งประชาชนทั่วไปต้องทำความเข้าใจ เพื่อให้การตรวจสุขภาพแต่ละครั้งเป็นการตรวจที่ก่อให้เกิด "สุขภาพดี" อย่างแท้จริง
ตรวจสุขภาพเพื่ออะไร ในอดีตที่ผ่านมา รัฐบาลและภาคเอกชนได้กำหนดให้พนักงานหรือบุคลากร โดยเฉพาะการรับคนที่จะสมัครเข้าทำงาน เข้ารับการศึกษา หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ต้องได้รับการตรวจร่างกายหรือต้องมีใบรับรองการตรวจร่างกายหรือต้องมีใบรับรองแพทย์ว่าไม่ป่วยด้วยโรคตามที่กำหนด เพื่อคัดกรองไม่ให้บุคคลที่อาจมีสุขภาพไม่สมบูรณ์ได้เข้าทำงาน เข้ารับการศึกษา หรือเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ อันจะลดการก่อให้เกิดภาระแก่หน่วยงาน มากกว่าที่จะมีจุดประสงค์เพื่อการป้องกันโรคและการสร้างเสริมให้บุคคลเหล่านั้นมีสุขภาพดี การตรวจสุขภาพในลักษณะนั้นจึงเป็นการ "ตรวจหาโรค" คือพยายามค้นหาว่า บุคคลนั้นมีโรคอะไรอยู่ในตัวบ้างหรือไม่ จากความเข้าใจนั้นได้กลายเป็นความเข้าใจของคนส่วนใหญ่ในสังคมว่า "การตรวจสุขภาพ คือการตรวจหาว่ามีโรคอะไรอยู่บ้างหรือไม่"
ต้องการอะไรกับการตรวจสุขภาพ ขอให้เราได้ไตร่ตรองดูว่า หากเราต้องการจะรับการตรวจสุขภาพของตัวเราเองแล้ว เราต้องการอะไร สิ่งที่เราต้องการก็คือ ต้องการให้ตัวของเรามีสุขภาพพีและปราศจากโรคภัยไข้เจ็บใช่หรือไม่ และหากเราต้องการให้บรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวการตรวจสุขภาพนั้นจะต้องนำไปสู่การป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ
ความหมายของ "การตรวจสุขภาพ" ดังนั้น ความหมายที่ถูกต้องของ "การตรวจสุขภาพ" คือ การตรวจสอบภาวะอันเป็นสุข และตรวจหาอะไรก็แล้วแต่ที่จะมีผลทำให้ภาวะอันเป็นสุขนั้นเสียไป และหัวใจของการตรวจสุขภาพ คือการตรวจค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค เพื่อจะได้ป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค และหากสามารถขจัดได้ก็จะส่งผลให้ไม่ต้องเป็นโรค
ส่วนการตรวจหาความเจ็บป่วยหรือหาว่าเป็นโรคอะไรหรือไม่นั้นควรเป็นเรื่องสุดท้ายในการตรวจสุขภาพ ซึ่งโรคที่สมควรตรวจหานั้น ต้องมีหลักฐานจากการศึกษาค้นคว้าอย่างชัดเจนแล้วว่า การตรวจพบโรคนั้นๆ ตั้งแต่ระยะที่ยังปราศจากอาการแล้ว มีประโยชน์ต่อตัวเรามากกว่าการตรวจพบเมื่อมีอาการปรากฎแล้ว
ป้องกันย่อมดีกว่าแก้ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีเหตุเป็นแดนเกิด เมื่อเหตุดับแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับ (ไม่เกิดอีก) นี้เป็นพุทธอมตพจน์ที่เราทุกคนทราบกันดีอยู่โรคทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน คือมีเหตุมีปัจจัยชักนำให้เกิดเช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายเหมือนกัน เราเรียกสิ่งที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยเสริมให้เกิดโรคดังกล่าวว่า "ปัจจัยเสี่ยง" ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหรือทุกขภาพมีมากมายหลายอย่าง สามารถจำแนกได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ พฤติกรรมหรือแบบรูปชีวิตที่ส่งเสริมการเป็นโรค (เช่น การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา การกินอาหารสุกๆ ดิบๆ) ซึ่งในปัจจุบันนับเป็นเหตุปัจจัยที่ทรงอิทธิพลก่อให้เกิดโรคหรือก่อทุกขภาพได้มากที่สุด คือถึงร้อยละ 53 สิ่งแวดล้อมที่เป็นพิษ (เช่นการอาศัยอยู่ในบ้านหรือทำงานในบริเวณที่มีคนสูบบุหรี่) เป็นปัจจัยที่สร้างเสริมให้เกิดโรค หรือก่อทุกขภาพที่สำคัญเช่นเดียวกัน คือถึงร้อยละ 31 ปัจจัยชีวภาพ (เช่น พันธุกรรม) เป็นสาเหตุหรือปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคร้อยละ 16 และโรคที่มีพันธุกรรมเป็นปัจจัยเสริมส่วนใหญ่ (เช่น โรคเบาหวาน โรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจ) หากบุคคลนั้นได้รับการสร้างเสริมสุขภาพพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ก็จะสามารถลดโอกาสการเป็นโรคดังกล่าวลงได้อย่างมาก แต่อาจต้องทำมากกว่าเข้มงวดกว่าคนทั่วไปที่ไม่มีปัจจัยพันธุกรรมเท่านั้น
การตรวจสุขภาพที่ถูกต้อง องค์การอนามัยโลกได้ให้นิยามของการตรวจสุขภาพไว้คือ การตรวจหาปัจจัยเสี่ยงอันจะส่งผลทำให้สุขภาพเสียไป ซึ่งเราไม่ได้ตระหนัก (คือยังไม่ทราบ ยังไม่ยอมรับ และยังไม่ปฏิบัติ) ดังนั้นการตรวจสุขภาพจึงเน้นที่การตรวจก่อนการเป็นโรค ไม่ได้เน้นที่การตรวจหาว่าที่เป็นโรค ไม่ได้เน้นที่การตรวจหาว่าเป็นโรคอะไรบ้างแล้วหรือยัง การตรวจสุขภาพที่ถูกต้องจะทำให้เราได้รู้ว่า "เรายังมีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง" เพื่อจะได้ขจัดเหตุปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวจะได้ไม่ต้องเป็นโรค ดังนั้น การตรวจสุขภาพก็คือ การตรวจดูว่า สิ่งที่เราควรละนั้น เราได้ละแล้วหรือยัง และสิ่งที่ควรทำเราได้ทำอย่างเพียงพอแล้วหรือยังเป็นสำคัญ แล้วนำคำแนะนำที่ได้ไปปฏิบัติ
ตรวจพบโรคตั้งแต่ต้นดีกว่าจริงหรือ มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะต้นอยู่หลายประการ และบางครั้งถ้าไม่ทราบที่ไปที่มาของข้อมูลสถิติอาจชักนำให้เข้าใจผิดได้มาก โดยเฉพาะโรคมะเร็ง เช่น มีข้อมูลว่า โรคมะเร็งอวัยวะหนึ่งหากตรวจพบในระยะที่ 1 (แรก) แล้วได้รับการรักษาพบว่ามีอัตราการรอดชีวิตที่ระยะ 5 ปี ร้อยละ 80 และหากตรวจพบในระยที่ 4 (สุดท้าย) พบว่ามีอัตราการรอดชีวิตที่ระยะ 5 ปี ร้อยละ 10 ข้อมูลดังกล่าวหมายความว่า การตรวจพบโรคมะเร็งดังกล่าวตั้งแต่ระยะที่ 1 แล้วให้ผลประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากกว่าการตรวจพบเมื่อมีอาการแล้วจริงหรือไม่
คำถามข้างต้นดังกล่าวอาจตอบได้ทั้ง "จริง" และ "ไม่จริง" สิ่งสำคัญที่ต้องนำมาพิจารณาเป็นประการแรก ได้แก่ระยะเวลาการดำเนินโรค หากโรคมะเร็งดังกล่าวมีการดำเนินโรคจากระยะที่ 1 ไป จนถึงระยะที่ 4 ใช้เวลานานมาก เช่น 20 ปี ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นอาจหมายความว่า ผู้ที่ตรวจพบโรคมะเร็งดังกล่าวในระยะที่ 1 ไปจนถึงระยะที่ 4 ใช้เวลานานมาก เช่น 20 ปี ข้อมูลดังกล่าวข้างต้นอาจหมายความว่า ผู้ที่ตรวจพบโรคมะเร็งดังกล่าวในระยะที่ 1 จำนวนถึงร้อยละ 20 ที่เสียชีวิตในระยะ 5 ปี แต่ถ้าไม่ได้รับการตรวจพบหรือไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจำนวนร้อยละ 20 ที่เสียชีวิตในระยะ 5 ปี แต่ถ้าไม่ได้รับการตรวจพบหรือไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วยจำนวนร้อยละ 20 ดังกล่าวอาจไม่เสียชีวิต หรือยังไม่มีอาการเลยก็ได้ ดังมีตัวอย่างจากการศึกษาการตรวจศพผู้ชายอายุที่มากกว่า 70 ปี ที่ไม่เคยมีอาการของโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเลย และเสียชีวิตจากสาเหตุอื่นๆ ที่ไม่ใช่จากโรคมะเร็งต่อมลูกหมากเลย พบว่าตรวจพบโรคมะเร็งต่อมลูกหมากในตัวผู้ชายดังกล่าวถึงมากกว่าร้อยละ 60
ดังนั้นที่จะตอบได้ว่า "จริง" อย่างชัดเจนก็ต่อเมื่อมีผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคมะเร็งดังกล่าวในระยะที่ 1 แล้ว มีการวิจัยด้วยการสุ่มแบ่งผู้ช่วยดังกล่าวออกเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ได้รับการรักษา และมีการศึกษาติดตามผู้ป่วยทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวไประยะเวลาหนึ่งแล้วพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่ได้รับการรักษามีอายุยืนยาวกว่า มีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่า และมีคุณภาพชีวิตดีกว่า กลุ่มที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างชัดเจน ในปัจจุบันมีโรคมะเร็งเพียง 3 อวัยวะเท่านั้นที่ได้มีผลการวิจัยที่แสดงว่า การตรวจพบรอยโรคตั้งแต่ระยะต้น โดยเฉพาะการตรวจพบรอยโรคก่อมะเร็ง แล้วให้ผลประโยชน์ดังกล่าวต่อผู้ป่วยเหนือกว่าการตรวจพบระยะที่มีอาการแล้ว ได้แก่ โรคมะเร็งปากมดลูก โรคมะเร็งเต้านม และโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่
ในทำนองเดียวกัน ยังมีโรค / ภาวะอื่น (ที่ไม่ใช่โรคมะเร็ง) ที่ได้รับการพิสูจน์ด้วยวิธีการดังกล่าวแล้วยืนยันได้ว่า การตรวจพบภาวะดังกล่าวตั้งแต่ระยะต้นแล้วส่งผลดีให้แก่ผู้รับการตรวจ คือทำให้มีชีวิตยืนยาวขึ้น ลดการเจ็บป่วยแทรกซ้อนและความพิการ และสร้างเสริมคุณภาพชีวิต ได้แก่ โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน สายตาผิดปกติ เป็นต้น
ส่วนคำตอบที่ว่า "ไม่จริง" อย่างชัดเจนนั้นก็คือ โรคมะเร็ง (หรือโรคอื่นใด) ที่ได้รบการวิจัยตามวิธีดังที่กล่าวมาแล้วพบว่า ผู้ที่ได้รับการรักษามีอายุสั้นกว่า มีภาวะแทรกซ้อนมากกว่า หรือมีคุณภาพชีวิตที่ย่ำแย่กว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือผู้ที่ได้รับการรักษาเมื่อมีอาการแล้ว ซึ่งก็มีโรคมะเร็งหลายชนิดที่ผลการศึกษาแสดงออกมาในลักษณะนี้กรณีอย่างนี้ก็ไม่ควรไปตรวจหาโรคชนิดนั้น รอให้มีอาการแล้วค่อยรักษาอาจจะดีกว่า
นอกจากนี้ยังมีโรคมะเร็งและโรคอื่นๆ อีกมากมายหลายชนิดที่ยังไม่ได้รับการดำเนินการศึกษาด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งคำตอบสำหรับกรณีนี้ก็คือ "ไม่ทราบชัดเจน" ดังนั้นในกรณีนี้จะตรวจหรือไม่ตรวจ ก็ต้องเสี่ยงดวงกันเอาเองก็แล้วกัน
ความแม่นยำของวิธีการตรวจโรค เมื่อได้ข้อสรุปแล้วว่า โรคนั้นหากได้ตรวจพบและได้รับการรักษาตั้งแต่ระยะต้นแล้วได้ผลดีแน่ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงก็คือ วิธีตรวจหาโรคดังกล่าวนั้นมีกี่วิธี และแต่ละวิธีนั้นมีความแม่นยำเพียงใด รวมทั้งวิธีการตรวจเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคจริงนั้นมีอันตรายหรือไม่
ความแม่นยำของวิธีการตรวจหาว่าเป็นโรคใดโรคหนึ่งดูได้จากคนที่เป็นโรคแล้ว เมื่อตรวจด้วยวิธีนั้นสามารถบอกได้ว่าเป็นโรคนั้นอย่างถูกต้อง เรียกว่าได้ผล "บวกจริง" และเมื่อนำวิธีดังกล่าวไปตรวจคนที่ไม่เป็นโรค แล้วก็บอกได้ว่าไม่เป็นโรคนั้นได้อย่างถูกต้อง เรียกว่าได้ผล "ลบจริง"
ในสภาพของความเป็นจริงวิธีการตรวจทั้งหลายไม่สามารถให้ผลบวกจริงและผลลบจริงได้อย่างแม่นยำมากนัก เนื่องจาก เป็นการใช้ค่าสถิติมาตัดสิน การตรวจบางอย่างกว่าจะให้ผลบวกก็ต่อเมื่อโรคนั้นเป็นมากแล้ว เช่น การตรวจการทำงานของไตโดยดูระดับครีอะตินินในเลือดกว่าระดับสารดังกล่าวจะเริ่มเห็นผิดปกติ ก็ต่อเมื่อไตบกพร่องไปแล้วกว่าร้อยละ 75 ดังนั้นหากไตบกพร่องไปแล้วแต่น้อยกว่าร้อยละ 75 ผลที่ตรวจได้ก็ยังบอกว่าปกติอยู่ เรียกผลที่ออกมานี้ว่า "ผลลบลวง" คือเป็นโรคแล้ว แต่ผลตรวจบอกว่าปกติในทางตรงกันข้าม การตรวจบางอย่างกลับให้ผลบวกทั้งที่ยังไม่ได้เป็นโรค เรียกผลในลักษณะดังกล่าวนี้ว่า "ผลบวกลวง"
ผลการตรวจที่เป็น "ผลลบลวง" อาจทำให้ประมาท คือไม่ก่อให้เกิดการปรับปรุงตัวเพื่อป้องกันโรคตัวอย่างเช่น คนสูบบุหรี่ แล้วไปเอกซเรย์ปอดแล้วผลเป็นปกติ ก็ยังสูบบุหรี่ต่อไป หรืออาจจะสูบหนักขึ้นก็จะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้น เท่ากับผลการตรวจไปสร้างเสริมพฤติกรรมให้เลวร้ายยิ่งขึ้น ดังนั้นการตรวจดังกล่าวแทนที่จะช่วยป้องกันโรคกลับเป็นการสร้างเสริมการเป็นโรค
ผลการตรวจที่เป็น "ผลบวกลวง" อาจก่อความทุกข์อกทุกข์ใจได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจหาโรคร้ายแรง ซึ่งไม่มีวิธีรักษาให้หายขาดได้หรือวิธีการรักษามีอันตรายสูงถ้าไปทำในคนที่ไม่ได้เป็นโรค เช่น การตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งมะเร็งต่างๆ ทั้งมะเร็งตับอ่อน มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งลำไส้ใหญ่ ฯลฯ มักมีผลบวกลวงถึงมากกว่าร้อยละ 90 ในบุคคลที่ปราศจากอาการผิดปกติ ถ้าไปตรวจแล้วผลออกมาเป็น "บวก" (ซึ่งมีโอกาสเป็นผลบวกลวงมากกว่าร้อยละ 90) แล้วจะทำอย่างไร
วิธีการตรวจที่ได้รับการยอมรับว่ามีความแม่นยำเพียงพอในบริบทของประเทศไทยสำหรับโรคมะเร็งซึ่งมีหลักฐานพิสูจน์แล้วว่าการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะต้นมีประโยชน์ได้แก่ การตรวจแพ็บ (Papanicolaou test) สำหรับโรคมะเร็งปากมดลูก จึงแนะนำให้หญิงตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไปทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่เคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว ได้รับการตรวจแพ็บปีละหนึ่งครั้งหากได้ผลลบติดต่อกัน 3 ปี ก็แนะนะให้ตรวจต่อไปทุก 3 ปี
โรคมะเร็งเต้านม จากการศึกษาในต่างประเทศพบว่า การตรวจเต้านมทางเวชกรรม (การตรวจคลำเต้านมโดยบุคลากรที่ได้รับการฝึก) มีความไวร้อยละ 87 (คือคนเป็นโรคมะเร็งเต้านม 100 คน ตรวจแล้วพบว่าเป็น 87 คน) และการตรวจภาพรังสีเต้านม (mammogram) ในหญิงอายุ 50 - 69 ปี มีความไวร้อยละ 75 ส่วนในหญิงอายุ 40 - 49 ปี มีความไวเพียงร้อยละ 60 - 65 เท่านั้น รวมทั้งความจำเพาะก็ไม่สูงมากนัก จึงอาจส่งผลให้มีผลบวกลวงเป็นจำนวนมาก การตรวจภาพรังสีเต้านมมีแนวโน้มให้ความไวสูงกว่าโดยเฉพาะในผู้ที่มีเต้านมขนาดใหญ่ที่คลำได้ยาก
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการศึกษาถึงความแม่นยำดังกล่าวในประเทศไทย แต่คาดว่าการตรวจเต้านมทางเวชกรรมน่าจะมีความไวมากกว่าในต่างประเทศ เนื่องจากคนไทยมีเต้านมไม่ใหญ่นัก ทำให้คลำได้ง่าย ดังนั้นจึงแนะนำให้มีการฝึกบุคลากรให้มีขีดความสามารถในการตรวจคลำเต้านมได้อย่างถูกต้อทั่วประเทศและแนะนำให้ตรวจพร้อมกับการตรวจแพ็บ (มะเร็งปากมดลูก) ทุกครั้งรวมทั้งแนะนำให้สอนหญิงทุกคนได้มีทักษะในการตรวจเต้านมด้วยตนเองด้วย โดยเฉพาะในหญิงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป
การตรวจภาพรังสีเต้านม ยังไม่สามารถให้คำแนะนำได้เนื่องจากยังไม่มีการศึกษาในประเทศไทย แต่เมื่อพิจารณาถึงลักษณะกายวิภาคของคนไทย ซึ่งมีเต้านมไม่ใหญ่นัก ผลที่ได้ไม่น่าจะดีกว่าการตรวจเต้านมทางเวชกรรม นอกจากนี้ต้องพิจารณาถึงปริมาณรังสีที่ได้รับจากการตรวจ (0.1 แรดต่อครั้ง) ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายในระยะยาวได้ จึงไม่แนะนำให้ใช้วิธีดังกล่าวนี้ในคนที่อายุน้อย
การตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่ ในต่างประเทศแนะนำให้ใช้การตรวจเลือดแฝงในอุจจาระ แต่ยังไม่สามารถให้คำแนะนำได้ว่าในประเทศไทยควรตรวจหรือไม่ เพราะจากการวิจัยในประเทศไทยพบว่ามีผลบวกลวงสูงมาก เนื่องจากคนไทยมักกินอาหารที่มีเลือดสัตว์ปนอยู่ ดังนั้นหากต้องรับการตรวจก็แนะนำให้งดอาหารที่มีเลือดสัตว์ปน เนื้อสีแดงวิตามินซี ยาแอสไพริน และยาต้านการอักเสบต่างๆ อย่างน้อย 1 สัปดาห์ก่อนการเก็บอุจจาระส่งตรวจสำหรบการตรวจด้วยการหาสารบ่งมะเร็ง (CEA) นั้น แม้ในต่างประเทศก็ไม่แนะนำให้ทำ เนื่องจากมีผลบวกลวงสูงมาก
สิ่งสำคัญที่สุดในการตรวจสุขภาพ แพทย์ทั้งหลายทั่วโลกตระหนักยิ่งว่า การที่จะสามารถวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำ การจัดการบำบัดรักษาได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งการจัดการตรวจและการสร้างเสริมสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิผลนั้นจำเป็นต้องมีข้อมูลประวัติสุขภาพอย่างละเอียด ได้แก่ ประวัติการเจ็บป่วยในปัจจุบันและอดีต ประวัติการเจ็บป่วยของบุคคลในครอบครัว ผู้ร่วมงาน และผู้ใกล้ชิด ประวัติสิ่งแวดล้อมและการทำงาน รวมทั้งประวัติอุปนิสัยปและพฤติกรรม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุด
ตามปกติ แพทย์สามารถรวบรวมข้อมูลดังกล่าวได้จากการซักประวัติ ซึ่งก็คือการพูดคุยสนทนากันระหว่างแพทย์และผู้รับบริการอย่างไรก็ตาม แพทย์ส่วนใหญ่มักมีเวลาไม่มากเพียงพอในการซักประวัติดังกล่าวได้อย่างละเอียด ซึ่งเป็นผลให้การวิเคราะห์ปัจจัยเสี่ยงได้ไม่ครบถ้วน และอาจพลาดในส่วนที่สำคัญบางประการได้
การรวบรวมข้อมูลประวัติสุขภาพ ซึ่งได้จากการตอบแบบสอบถามโดยผู้รับบริการกรอกด้วยตนเองหรือบุคลากรผู้ช่วยแพทย์ช่วยและจัดทำเป็น "สมุดบันทึกสุขภาพ" ก่อนพบแพทย์ จะช่วยให้แพทย์สามารถทราบข้อมูลประวัติของผู้มารับบริการได้อย่างละเอียด เพื่อจะได้วิเคราะห์และซักถามเพิ่มเติมในส่วนที่สำคัญเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงอันอาจทำให้เกิดโรค รวมทั้งสามารถวินิจฉัยได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องใช้เวลามากนัก เมื่อแพทย์ได้พิเคราะห์ข้อมูลปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวแล้ว รวมทั้งเลือกการส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการที่มีความจำเพาะสำหรับเรา เพื่อให้ได้ผลการตรวจที่มีความแม่นยำเฉพาะสำหรับตัวเราได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ การจัดทำห้องสมุดบันทึกสุขภาพด้วยตนเองยังนับเป็นการตรวจสุขภาพด้วยตนเอง ซึ่งนับเป็นส่วนสำคัญยิ่งในการสร้างเสริมสุขภาพ เพราะทำให้เราได้ทบทวนและค้นพบปัจจัยเสี่ยงเบื้องต้นด้วยตนเอง ก็ยิ่งสร้างความตระหนักให้แก่เรายิ่งขึ้นและส่งผลให้เราระมัดระวังขจัดปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคได้ดียิ่งขึ้นด้วย
การจัดทำสมุดบันทึกสุขภาพนี้จึงนับได้ว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดของการตรวจสุขภาพ ซึ่งจะขาดเสียมิได้ นอกจากนี้สมุดบันทึกดังกล่าวยังสามารถใช้ในการติดตามสุขภาพอย่างต่อเนื่องทำให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เราอาจไม่ได้ตระหนักได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น และบุคคลทุกคนควรได้รับการทบทวนความตระหนักต่อปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ซึ่งเราเรียกการตรวจทบทวนปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าวนี้ว่า "การตรวจสุขภาพประจำปี"
ดังนั้นในการตรวจใดๆ ถ้าขาดการจัดทำสมุดบันทึกสุขภาพซึ่งบันทึกปัจจัยเสี่ยงต่างๆ (ได้แก่ประวัติการเคยตรวจสุขภาพในอดีต ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตและปัจจุบัน ประวัติการใช้ยา ประวัติการแพ้ ประวัติการรับวัคซีน ประวัติการเจ็บป่วยและสาเหตุของการเสียชีวิตในเครือญาติ ประวัติการทำงานและสิ่งแวดล้อม และประวัติการทบทวนอาการตามระบบต่างๆ) อย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกการตรวจนั้นได้ว่าเป็นการตรวจสุขภาพ
กระแสตรวจสุขภาพกับคนไทย ในสถานการณ์ปัจจุบันจะเห็นได้ว่า สังคมไทยมีความตื่นตัวต่อการตรวจสุขภาพเป็นอย่างมาก (เช่นกำหนดให้มีการตรวจสุขภาพก่อนเข้าศึกษา การจัดให้มีการตรวจสุขภาพในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การตรวจสุขภาพของลูกจ้าง) โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไปดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้นสถานพยาบาลหลายแห่ง แม้แต่ภาพรัฐ ก็ได้จัดโครงการตรวจสุขภาพด้วยการจัดโปรแกรมต่างๆ อย่างหลากหลาย นอกจากนี้สถานบริการ ทั้งภาครัฐและเอกชน ยังได้ใช้กลยุทธ์การตลาด คือเสนอบริการตรวจสุขภาพแบบเข้าแถวตรวจเป็นชุด (package) เป็นจุดขาย โดยมีการซักประวัติและการค้นปัจจัยเสี่ยงเพียงเล็กน้อย ซึ่งหากผู้ใช้บริการไม่เข้าใจถึงวัตถุประสงค์และผลที่ออกมาอย่างถ่องแท้แล้ว ก็อาจทำให้เจ็บตัว เสียสุขภาพจิต เสียโอกาสในการเข้าทำงานหรือเข้ารับการศึกษา และสร้างเสริมพฤติกรรมที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพได้
การตรวจสุขภาพไม่ถูกต้อง "เสียมากกว่าดี" การตรวจสุขภาพเพื่อนำไปสู่การป้องกันโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ ทั้งทางร่างกาย จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ต้องไม่มุ่งเฉพาะการตรวจหาว่าเป็นโรคอะไรบ้างแล้วหรือยัง การตรวจที่มุ่งเน้นที่การตรวจหาโรค อาจทำให้ผู้รับการตรวจกังวล เมื่อตรวจแล้วพบโรคที่วิทยาการในปัจจุบันยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างชัดเจนว่าได้ผลดี (รักษาไม่หาย) นอกจากนี้เครื่องมือที่ใช้ตรวจก็ไม่ได้มีความแม่นยำร้อยเปอร์เซ็นต์ ผลการตรวจที่ได้จึงอาจไม่ตรงความเป็นจริง ส่งผลทำลายสุขภาพทั้งกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ
ดังนั้นการตรวจหาโรคโดยไม่จำเป็นจึงมีผลเสียมากกว่าผลดี เพราะถ้าเป็นโรคหรือมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคแล้วตรวจไม่พบโรคก็จะส่งผลให้พฤติกรรมที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของผู้ถูกตรวจเหมือนเดิมหรือชะล่าใจกระทำมากขึ้น ซึ่งเท่ากับเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทนที่จะลดความเสี่ยง และเท่ากับเป็นการสร้างเสริมการเกิดโรคแทนที่จะเป็นการป้องกันโรค นอกจากนี้การตรวจแล้วพบโรคร้ายที่วิธีการรักษาตั้งแต่ระยะต้นยังไม่ได้ผลดี ก็จะส่งผลให้คุณภาพชีวิตหลังการตรวจย่อมแย่ลงได้
ทิศทางการตรวจสุขภาพในประเทศไทย ดังนั้นหากต้องการให้ประชาชนไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้าแล้ว การตรวจสุขภาพที่กำหนดขึ้นจึงต้องนำไปสู่การป้องกันก่อนการเกิดโรคและการสร้างเสริมสุขภาพ ไม่ใช่การค้นหาผู้ที่เป็นโรคแล้วมารักษาดังนั้น ทิศทางการตรวจสุขภาพในประเทศไทยต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งด้านแนวคิด วิธีการ และเนื้อหาสาระ ดังต่อไปนี้
ต้องทำให้ทั้งสังคมเข้าใจตรงกัน ว่าหัวใจหลักของการตรวจสุขภาพ เน้นและให้ความสำคัญยิ่งที่การตรวจเพื่อค้นหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรค เพื่อจะได้ป้องกันก่อนที่โรคจะเกิดขึ้น ส่วนการตรวจหาความเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดขึ้นแล้ว ส่วนการตรวจหาความเจ็บป่วยหรือโรคที่เกิดขึ้นแล้วนั้นเป็นเรื่องรอง ซึ่งแนะนำให้ตรวจเฉพาะเมื่อโรคนั้นมีข้อพิสูจน์จากการวิจัยแล้วว่า การตรวจพบโรคนั้นตั้งแต่ระยะต้นให้ผลประโยชน์ต่อผู้ป่วยมากกว่าการตรวจพบเมื่อมีอาการแล้วและวิธีการตรวจนั้นให้ผลที่มีความแม่นยำในระดับที่ยอมรับได้เท่านั้น
ต้องทบทวนข้อกำหนดในการตรวจสุขภาพประจำปี ที่ให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และผู้ได้รับเบี้ยหวัดบำนาญมีและเบิกได้ตามที่กระทรวงการคลังกำหนด โดยปรับปรุงคัดเลือกให้ทำเฉพาะวิธีการที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิชาการแล้วว่ามีอรรถประโยชน์ เพื่อสร้างเสริมให้ข้าราชการไทยมีสุขภาพดีถ้วนหน้า และเป็นมาตรฐานที่สังคมสามารถยึดถือเป็นแบบอย่างที่ถูกต้องได้
ระบบ / โครงการต่างๆ ที่ดูแลเรื่องการจัดบริการสุขภาพ ควรเร่งดำเนินการให้ทุกคนมี "สมุดบันทึกสุขภาพประจำตัว" รวมทั้งสร้างเสริมทักษะการประเมินสุขภาพตนเองแก่ประชาชนอย่างต่อเนื่อง
สรุป ศาสตราจารย์นายแพทย์สันต์ หัตถีรัตน์ ฝากแง่คิดเพิ่มเติมว่า การหันมาให้ความสนใจและใส่ใจในเรื่องสุขภาพของประชาชนเป็นเรื่องที่ดี แต่ความเชื่อว่าการตรวจสุขภาพเป็นการเสริมสร้างสุขภาพจำเป็นต้องหันกลับมาทำความเข้าใจกันเสียใหม่ คำว่า "สร้างนำซ่อม" ต้องมุ่งให้ทุกคนร่วมสร้างสุขภาพดี โดยเจ้าของสุขภาพต้องเป็นผู้รับผิดชอบดูแลตัวเอง จึงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ การสร้างสุขภาพด้วยการตรวจสุขภาพอาจจะเป็นการไปย่ำรอยเดิมที่เรื่องสุขภาพกลับไปอยู่ในมือหมอในโรงพยาบาล ต้องพึ่งยา พึ่งเครื่องมือทางการแพทย์เกินจำเป็นต่อไปอีก
ดังนั้นต้องมุ่งสร้างศักยภาพประชาชนในการดูแลตนเอง สร้างให้เกิดความตระหนักว่า สุขภาพคือสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย ใจ สังคม และจิตวิญญาณ เป็นความสุขที่เกิดจากความสมดุลระหว่างกายกับใจของตน และระหว่างกายใจของตนกับสิ่งแวดล้อม ไม่มีการบริการตรวจสุขภาพชุดใดที่จะเป็นคำตอบของสุขภาพดีอย่างที่ฝันไว้
ในเมื่อการตรวจสุขภาพกำลังกลายเป็นความต้องการที่เกินความจำเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลของธุรกิจ หรือเหตุผลทางวิชาการที่ไม่สมบูรณ์ก็ตาม กระทรวงสาธารณสุขแพทยสภา หรือกลไกอื่นใดที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง น่าจะออกมาดูแลเรื่องนี้ให้อยู่ในทิศทางที่เหมาะสม สร้างความเข้าใจใหม่แก่ประชาชนในเรื่องการสร้างสุขภาพไม่ให้ประชาชนตกเป้นเหยื่อของธุรกิจสุขภาพที่กำลังฉวยโอกาสแห่งความ "ไม่รู้" ของประชาชนมาสร้างผลประโยชน์กอบโกยเข้ากระเป๋าตัวเองอีกต่อไป
ปล. แถมเรื่องตรวจสุขภาพ ค้นหามะเร็ง ของ สถาบันมะเร็ง มีราคา รายละเอียดพร้อมสรรพ ..
https://www.nci.go.th/service/search_cancer.html
คลินิกตรวจสุขภาพเพื่อค้นหาความเสี่ยงต่อโรคมะเร็ง การ บริการตรวจสุขภาพเพื่อค้นความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเป็นการตรวจสุขภาพ สำหรับ ผู้ที่ไม่มีอาการผิดปกติ ใด ๆ และเมื่อตรวจพบว่าเป็นผู้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งชนิดใด จะส่งเข้ารับการตรวจในคลินิกเฉพาะ โรค เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องต่อไป เช่น คลินิกเต้านม คลินิกตับและทางเดินอาหาร คลินิกนรีเวช เป็นต้น
การตรวจประกอบด้วย การตรวจทางห้องปฏิบัติการ ได้แก่ การตรวจเลือด การตรวจอุจจาระ-ปัสสาวะ การตรวจด้วย X-ray ปอด การตรวจคลื่นหัวใจไฟฟ้า การตรวจเซลล์มะเร็งปากมดลูก การตรวจร่างกายโดยแพทย์ และการซักประวัติ
Create Date : 01 กรกฎาคม 2551 |
| |
|
Last Update : 12 กันยายน 2561 13:49:05 น. |
| |
Counter : 10795 Pageviews. |
| |
|
|