|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ข้าวแช่ ตอนสุดท้าย(จริงๆค่ะ) พริกสอดไส้
ข้าวแช่ ตอนสุดท้าย(จริงๆค่ะ) พริกสอดไส้
คอลัมน์ ทำกินกันเอง สุคนธ์ จันทรางศุ
พริกในที่นี้เราหมายถึงพริกหยวกค่ะ เพราะมีรสเผ็ดน้อยหน่อย
แต่อย่าเพิ่งดูถูกนะคะ พริกหยวกบางเม็ดเผ็ดจนน้ำตาร่วงก็ มีค่ะ
ทุกตำราคงไม่ต้องการให้เผ็ดมาก รวมทั้งที่ผู้เขียนเคยทำมา จึงทำวิธีเดียวกันคือก่อนที่จะสอดไส้ลงไป เราก็ต้องนำไปผ่าเอาเมล็ดออกเสียก่อน แต่อย่าผ่าจนขาดนะคะ ผ่าเพียงด้านเดียว และก็ต้องระวังอย่าให้ขั้วก้านหลุดไปด้วย เมื่อเอาเมล็ดออกแล้ว ก็ควรนำไปล้างน้ำให้เมล็ดออกจนเกลี้ยงเกลาด้วย แล้วก็ทิ้งไว้ให้สะเด็ดน้ำ
ต่อไปนำเนื้อหมูมาบดหรือสับให้ละเอียด พักไว้
ทีนี้ก็นำกุ้งมาล้างน้ำให้สะอาดก่อนที่จะปอกเปลือก แยกหัวและมันกุ้งออกต่างหากเพราะเราใช้แค่เนื้อกุ้งล้วนๆ ค่ะ กะดูให้ปริมาณ พอๆ กันกับหมู คืออย่างละหนึ่งถ้วย
ทีนี้ให้คุณนำรากผักชี (5-6 ราก) พริกไทย (15-20 เม็ด) กระเทียม (2-3 กลีบ) มาโขลกเข้าด้วยกันให้ละเอียด แล้วก็ใส่กุ้งลงไปโขลกจนเหนียวดี ตักขึ้นมาผสมกับหมูบดที่เตรียมไว้ ใส่น้ำปลาดี น้ำตาลทรายนิดหน่อย เอาลงทอดชิมเสียหน่อยกันผิดพลาดก่อนที่จะนำไปสอดไส้
ข้อสำคัญ ให้รสเข้มเข้าไว้หน่อยดีกว่า เวลารับประทานกับข้าวแช่จะได้อร่อยค่ะ
หลังจากสอดไส้แล้ว บางคนนำไปนึ่งก่อนที่จะนำมาห่อไข่ แต่ผู้เขียนเองชอบนำมาทอดไฟกลางจนสุกเหลืองจึงนำมาห่อไข่ เพราะรู้สึกว่าถ้าทอดพริกก็จะมีกลิ่นหอมมากกว่านึ่งค่ะ
ก็แล้วแต่นานาจิตตังนะคะ
แต่แม่ครัวของผู้เขียนจะไม่ยอมเป็นอันขาดที่จะให้นำไปนึ่ง ทั้งๆ ที่จะทำให้แกเหนื่อยน้อยกว่าเป็นกอง แกพูดอยู่คำเดียวค่ะว่า "ไม่หอม!" ผู้เขียนเลยต้องยอมแพ้แก
หลังจากทอดพริกเสร็จแล้ว ทีนี้ก็มาถึงตอนโรยไข่เพื่อทำร่างแหมาห่อพริก
ผู้เขียนต้องยอมรับสารภาพค่ะว่า การทำไข่ร่างแหเพื่อนำมาห่อพริกนี้เป็นข้อสอบที่ยากที่สุดสำหรับผู้เขียน ทั้งๆ ที่มันน่าจะเป็นของง่าย และสำหรับแม่บ้านบางคนก็ว่ามันแสนจะง่ายดายค่ะ แต่ผู้เขียนลองทำตามตำราก็แล้ว (ก็ให้ทำมืองุ้มๆ อย่ากางมาก แล้วก็จุ้มลงบนไข่ที่ตีใส่ไว้ในภาชนะแล้วไงคะ) ดูตามวิธีทำทางโทรทัศน์ก็แล้ว ก็หาได้ออกมาตามตำราไม่ ร่างแหของผู้เขียนที่ออกมาส่วนใหญ่...ถ้าเราจะนำไปทอดหรือเหวี่ยงหาปลา สงสัยคงจะหลุดลอดออกไปหมดค่ะ
ไข่ที่นำมาทำก็เหมือนกันค่ะ มีคนบอกมาหลายตำราเต็มทน
บางคนบอกให้ใช้ไข่เป็ดค่ะ ไข่ไก่ใช้ไม่ได้
บางคนสอนไว้ว่าให้ใช่แต่ไข่แดงนะคะ จึงจะออกมาสวย ไข่ขาวไม่ต้องใช้
ผู้เขียนฟังแล้วก็เป็นทุกข์ใจ เพราะสามีเป็นโรคเส้นเลือดที่ หัวใจตีบ หมอห้ามรับประทานเนย ห้ามรับประทานไข่แดง (ของโปรดเธอทั้งนั้น) เพิ่งจะออกมาจากโรงพยาบาล ก็เลยไม่กล้าทำตามตำรานี้สิคะ
กำลังนั่งกลุ้มๆ ใจอยู่ ก็เกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาว่า เมื่อสมัยครั้งที่พี่สาวคนโตเธอยังมีชีวิตอยู่ ลูกสะใภ้ของเธอไปเปิดร้านขายอาหารอยู่ที่บางกระบือ เธออยู่ว่างๆ ก็เลยช่วยกันกับลูกมือที่อยู่ในบ้าน ทำข้าวแช่เป็นเมนูพิเศษช่วงฤดูร้อนส่งไปที่ร้าน ปรากฏว่า "ข้าวแช่" ของเธอขายดิบขายดีค่ะ ลูกมือของเธอคนหนึ่งจำได้ว่าห่อพริกได้สวยนัก ตอนนี้ก็ไปเป็นแม่บ้านให้กับครอบครัวลูกชายคนเล็กของเธอ
อย่ากระนั้นเลย...ผู้เขียนมือไวเท่าความคิด รีบโทรศัพท์ไปหา
พอได้ตำรามาแล้ว ผู้เขียนก็รีบไปค้นกรวยหยอดฝอยทองที่เก็บไว้หลายสิบปีเต็มทน ออกมาทำความสะอาด
ผู้เขียนยังถือสุภาษิตบทที่ว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น...สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ" อยู่ค่ะ ก็เลยคว้าไข่ไก่ที่มีอยู่ในบ้านมาฟองหนึ่ง ไม่แยกไข่ขาวไข่แดงหรอกค่ะ ใช้ทั้งใบเลย
ผู้เขียนตีไข่พอเข้ากัน ที่สำคัญก็คือพยายามไม่ให้ไข่ขาวเป็นลูก แต่ถ้าตีจนละเอียดยิบ เขาว่าจะทำให้ใยขาดออกจากกันค่ะ ก็เลยต้องเชื่อเขาเสียหน่อย
ทีนี้เราก็ตักน้ำมันใส่กระทะสักครึ่งช้อนโต๊ะนะคะ ใช้ตะหลิวไล้น้ำมันไปให้ทั่วทั้งกระทะระหว่างที่รอให้กระทะร้อน
ต่อไปตักไข่ใส่ลงไปในกรวยทองเหลืองสัก 2 ช้อนโต๊ะ ทีนี้ก็แกว่งมือไปมาปล่อยให้ไข่ไหลลงไปในกระทะ กลับไปกลับมาเป็นตารางสวย พร้อมสำหรับที่จะห่อพริกทอดได้สวย
"สำเร็จแล้ว! สำเร็จแล้ว!" ผู้เขียนเกือบจะร้องออกมาด้วยความดีใจ เหมือนอาคีเมดิสดีใจกับการทดลองครั้งแรกของแก
และในเมื่อประสบผลสำเร็จกับกรวยวิเศษไปเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนก็ไม่อยากเก็บความลับอันนี้ไว้เพียงคนเดียว ออกจะให้เป็นวิทยาทานแก่ผู้อ่านที่สนใจทุกๆ ท่านโดยทั่วถึงกัน และอยากจะขอขอบพระคุณท่านผู้เป็นเจ้าของตำรา โดยเฉพาะพี่ที่แสนดีของผู้เขียนคนนี้
อันตำรากับข้าวโบราณชนิดนี้นั้น ท่านให้รับประทานกับผักเป็นเครื่องเคียงแก้เลี่ยนหลายชนิดด้วยกัน เป็นต้นว่า แตง กวา ซึ่งสมัยก่อนมักนิยมมาประดิษฐ์กระเช้าบรรจุพริกชี้ฟ้าแดง ทำเป็นดอกไม้และต้นหอม ซึ่งแบ่งเป็นสองส่วน
ส่วนสีขาว (โคนต้นตัดสั้นประมาณ 1/2 นิ้ว) มักจะจักให้เป็นฝอยด้วยปลายแล้วแช่น้ำไว้ให้บานสวย
กับส่วนสีเขียว (ที่เหลือ) ส่วนล่างใช้เข็มกรีดให้เป็นฝอยเช่นกัน แต่ส่วนที่เป็นจะใช้เข็มหรือปลายมีดกรีดไปออกเป็นสองซีก แล้วใช้หลังมีด (ด้านทื่อ) กรีดขึ้นตามไปจนสุด แล้วนำไปแช่น้ำสะอาด ใบหอมที่ว่าก็จะม้วนเป็นหลอดสวยงาม ให้นำไปแต่งในกระเช้าแตงกวาได้สวยคู่กับพริกแดง
แต่สมัยนี้มีการประดิษฐ์ผักและผลไม้ได้มากมายหลายวิธี สวยงามกว่าสมัยก่อนเสียอีก นอกจากกระเช้าแตงกวาแล้ว ก็ยังมีกระชายกับมะม่วงด้วย มะม่วงที่ใช้โดยมากจะเป็นมะม่วงมัน นำมาฝานแต่งให้เป็นใบไม้ ผู้ที่ชอบรับประทานมักจะบอกว่ากระชายจะเป็นผักที่เข้ากันกับลูกกะปิอย่างวิเศษ
บรรพบุรุษของเราได้คิดปรุงแต่งอาหารขึ้นมาหลายชนิด ล้วนมีรสเลอเลิศคุ้นเคยกับลิ้นของพวกเรามานานเนกาเลแล้ว ตอนนี้ชาวต่างประเทศเพิ่งจะเริ่มตื่นตัวและรู้รสอาหารไทยกันขึ้นมาบ้างแล้ว คุณคงจะได้ยินมาบ้างว่าเรากำลังคิดจะส่งปลาร้ากระป๋อง ต้มยำกุ้ง หรือว่าแกงกะหรี่ ส่งออกไปขายยังต่างประเทศกัน ว่าไม่ได้นะคะ ต่อไปเศรษฐกิจของประเทศไทยอาจจะฟื้นฟูขึ้นมาได้ด้วยอาหารประเภทนี้ ฝรั่งกำลังสนใจสมุนไพรของเรา เป็นต้นว่า พริกแห้ง ขิง ข่า ตะไคร้ และกระชายของเราเป็นการใหญ่ รู้อย่างนี้แล้ว พวกเราจะมีใครสักคนไหมคะที่จะทำข้าวแช่กระป๋องส่งออกไปขายแข่งกับเขาที่เมืองนอก!
อ้อ! แล้วก็เกือบลืมบอกไปว่า ของหวานอย่างไทยที่มักจะเข้ากันกับข้าวของเราได้อย่างวิเศษก็คือข้าวเหนียวมะม่วงค่ะ
หน้าร้อนปีนี้หากใครน้ำหนักเพิ่ม ห้าม โทษผู้เขียนนะคะ
Credit : //www.khaosod.co.th/
Create Date : 01 เมษายน 2555 |
Last Update : 1 เมษายน 2555 3:26:36 น. |
|
0 comments
|
Counter : 1072 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
Location :
Upper Midwest United States
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember ผู้ติดตามบล็อก : 68 คน [?]
|
"ตลอดเวลาที่บาปยังไม่ส่งผล คนพาลสำคัญบาปเหมือนน้ำผึ้ง เมื่อใดบาปให้ผล คนพาลย่อมเข้าถึงทุกข์เมื่อนั้น" ขุ.ธ. 25/15/24 เวลา 4.57PM :sat,Mar 29,2557
| | | |