O เสภา .. กลางราตรี O
กอไผ่ - ลาวคำหอม (สี่แผ่นดิน)
-1- O แว่ว .. นกค่ำเสียงดังเป็นจังหวะ เมื่อลมชะโชยผ่าน, กลิ่นหวานรื่น- ก็ฟุ้งฝ่ามืดดำในค่ำคืน เคล้าเสียงคลื่นขับเห่ .. เพลงเสภา .. นั่งต่ำกว่าสงฆ์สำรวมกาย ชม้ายเห็นเจ้าพิมผู้นิ่มหน้า พิมน้อยพอชม้อยไปปะตา อายหน้าก้มนิ่งอยู่ในที .. O สายตา, รูป แรกพบบรรจบรู้ อารมณ์ชู้ .. ก็วาบเต้น ทั้ง เณร, ศรี สายตาเณรเวียนหา และวาที- คล้ายดั่งมีเลศนัย .. สุมใส่นวล O ลมแผ่วเคล้าเคลียพลอดโลมยอดพฤกษ์ แว่วเสภายามดึกให้นึกหวน แต่สบแก้วอกกรำด้วยคร่ำครวญ กระหึ่มล้วนเสน่หาแรงอาลัย .. ดึกกำดัดลมพัดมาอ่อนอ่อน พระจันทรแสงสว่างกระจ่างไข เงียบสงัดทั่วทั้งวัดป่าเลไลยก์ เจ้าเณรน้อยละห้อยไห้คะนึงนาง .. .. โอ้พิมนิ่มนวลของเณรแก้ว เจ้าไปแล้วจะรำลึกถึงพี่บ้าง หรืองามปลื้มแม่จะลืมน้ำใจจาง แต่ครุ่นครางครวญคิดจนค่อนคืน .. O ค่ำคืนนั้น .. ละห้อยถึงคำนึงหา แลค่ำนี้ .. ปรารถนาเกินฝ่าฝืน จะเป็นสร้อยโศกซ้ำให้กล้ำกลืน ฤๅจะรื่นอบร่ำมากล้ำกรอม O ตราบดาวกระพริบดวงไม่ล่วงสิ้น แลบุบผาโลมถิ่นด้วยกลิ่นหอม เกสรหวานภุมรินยังบินตอม จะหักห้อมเสน่หา .. ยากกว่านัก O เรไรเอ๋ยระงมเสียง .. หรือเพียงเพื่อ- จะแทรกเชื้อถวิลปวงให้หน่วงหนัก เพื่อรำบัดยอดงามของความรัก ทอดลงกักกุมใจของใครนั้น .. เดชะพระเวทวิทยามนต์ เผอิญดลใจพิมให้ป่วนปั่น ห่มผ้าคว้าขันข้าวบาตรพลัน กับสายทองพากันก้าวลงมา .. .. เปิดประตูอาดเดินนาดกราย เณรพลายได้ยินก็เงยหน้า พิมน้อยชม้อยพอปะตา ก็รู้ว่าเณรแก้วผู้แววไว .. O การเวกหอมหวนแต่จวนค่ำ และใจคร่ำครวญอยู่ .. ฤๅ-กู้ไหว ฝันอันคอยผุดพร่างอยู่กลางใจ แม้นฟ้าใหม่เปลี่ยนฝั่งจักยังคง O สายหยุดเจ้าหยุดกลิ่นแต่สิ้นสาย หากรูปกายรูปจริต เกินคิดบ่ง ตั้งแต่เนตรวาวน้ำ .. ผ่านจำนง จบบรรจงม้วนปลาย-เส้น .. สายใย O ลำบากนักจักหมาย .. เช่นพลายแก้ว หลังต้องแววตาอ้อน-สุดผ่อนไหว เลศเร้นแฝงเกินอิทธิฤทธิ์ใด- จักอาจแก้เงื่อนนัยช่วยไขความ O หากมีฤทธิ์วิทยามนตราเวทย์ ทุกนัยเลศ .. ปรารมภ์ขอข่มข้าม ตรึงอาวรณ์อาลัยที่ใจงาม ให้ลุกลามปฎิพัทธ์ แนบทัดทรวง .. อันความรักหนักแน่นแสนวิตก ระอาอกแทบเท่าภูเขาหลวง พรหมินทร์อินทร์จันทร์สิ้นทั้งปวง ก็บนบวงสิ้นฟ้าสุราลัย .. .. เชื้อเชิญเมินหน้าไม่มาช่วย เห็นคงม้วยไม่หมายผู้ใดได้ เว้นแต่เจ้าเยาวยอดผู้ร่วมใจ จะผลักพลิกแพลงให้บรรเทาลง .. O อันคำพ้อต่อทิพสูงลิบนั่น หรืออาจบั่นร้อนรุ่มความลุ่มหลง หากปมเงื่อนสัมพันธ์ผูกมั่นคง ย่อมปลิดปลง .. หน่ายแหนงคลางแคลงใจ O ค่ำคืนนี้ .. เปลี่ยวเหงาใต้เงาแข ด้วยสุดแก้บทตอน .. คืนย้อนใหม่ เขา .. สุขพร้อมถนอมรับอยู่กับใคร เมื่ออีกใจสงบฟัง .. เสียงวังเวง O มีจันทร์และมีใจ .. ที่ไหวสั่น ด้วยมุ่งมั่น .. คอยฉุดให้รุดเร่ง ท่ามแสงจันทร์ส่องสลัว .. มีตัวเอง- นั้นคร่ำเคร่ง .. ตัดวิตกในอกตน
-2- O ในคำนึงเงียบเหงา .. มีเงาร่าง อยู่ท่ามกลางลมเห่ห้วงเวหน พร้อมรื่นลมโรยสาย, ที่ว่ายวน- คืองามรูปลักษณ์พิมลล้อมหนทาง O คล้ายอำนาจแสนยาจากฟ้าสูง และคล้ายยูงอกแอ่นรำแพนหาง เหลื่อมลายขนสีสันแห่งสรรพางค์ ให้เที่ยวทางปรากฎแต่งดงาม O สดับคีตคร่ำครวญ .. ให้หวนหา- แต่คุณค่าเสพทราบ .. จนวาบหวาม ขนเหลือบแสงเห็นระยับอยู่วับวาม จะข่มข้ามงามนั้นก็หวั่นใจ O หางนกยูงดอกดวงยามร่วงหล่น ก็เช่นดวงใจคนเมื่อหล่นไหล ต้องคุณค่าความหมายจากภายใน พลิ้ว พลิกคว้างระหว่างไหวของลมวน O ร่วงกลีบหล่นพร่างพรมเมื่อลมตื่น เช่นใจรื่นหล่นต้องด้วยฟองฝน หางนกยูงเกลื่อนแหล่งก็แดงจน- เหมือนใจคนแดงเรื่อด้วยเชื้อไฟ O เป็นไฟฟอนซ่อนขุมเร้ารุมอยู่- ด้วยนัยชู้โหมลุกขึ้นรุกไล่ ผ่านอำนาจแสนยาจากฟ้าไกล เชื่อมต่อความหวั่นไหวด้วยนัยเดียว O จะมีหรือ .. ฟ้าสูงและยูงสี เอื้ออารีเผื่อแผ่มาแลเหลียว มีหรือ .. ปอยเมฆริ้วแลนิ้วเรียว จะอาจเหนี่ยวชื่นชมได้สมใจ O โอ้ .. เจ้าดวงดอกฟ้ามณฑาทิพย์ แต่กระพริบแสงระยับขึ้นขับไข ก็เพื่อโลกทั้งผองจักมองไป เฝ้าปองงามสดใสด้วยใจเจียม O เพียงคิดปองงดงามดั่งความว่า แทนหาญกล้า .. ใจชายกลับอายเหนียม คุณค่าเมื่อนำเปรียบ .. ไม่เทียบเทียม ด้วยเต็มเปี่ยมความต่างทุกย่างไป O เราต่างมีหน้าที่ให้ยึดถือ ด้วยสองมือสรรสร้างเส้นทางให้- สองเท้าเหยียด ยกย่าง โลกกว้างไกล ด้วยหัวใจทรนง .. ที่ตรงกัน O ใช่ไหมว่า .. แสนยาจากฟ้าสูง ยากจับจูงเหนี่ยวได้ .. ดังใฝ่ฝัน ลายขนเขียวขาบหางที่ต่างพันธุ์ บอกว่างามทั้งนั้นต่างกันไป O มีคน .. ย่อมมีใจหวั่นไหวอยู่ ย่อมรับรู้ผูกพันถึงกันได้ มีใจ .. พร้อมขีดคั่นกีดกันใจ นั้น-มีไว้ .. ให้ตระหนักในศักดิ์ตน O คล้าย .. อำนาจแสนยาจากฟ้าสูง และคล้ายยูงแผ่หางอยู่กลางหน เหลือบลายสีสวยสะ .. ลงปะปน ให้ฝูงคนทั้งสิ้นได้ยินดี O คลายอำนาจปรารถนาลงหล้าต่ำ เพื่อน้อมนำเสน่หารูปราศี เจ้าเอยแต่เผยนัย .. หัวใจมี ใจดวงนี้ก็รอเฝ้าอยู่เช้าเย็น !
Create Date : 06 สิงหาคม 2556 |
|
4 comments |
Last Update : 21 เมษายน 2566 5:07:47 น. |
Counter : 4569 Pageviews. |
|
|
|
O นกน้อยในไร่ส้ม
อุปมาถุยถ่มเหมือนลมผาย
ความเท็จเฝ้าบิดเบือน กลบเกลื่อน .. กลาย-
เป็นสัจจ์ป้ายปาดความเอาตามใจ
O นกน้อยหัวไร้ขน
แม้นบินวนเวียนผ่าน หมื่นพันไร่
จนเลือกจิกแมงหนอนที่ชอนไช
ยังขาดไร้ศัพท์เสียงอันเที่ยงตรง
O นกน้อยหัวล้านเลี่ยน
แม้นบินเวียนกี่ครั้งก็ยังหลง
อคติชิงชังที่ยังคง
จักเยี่ยงนกในกรงเฝ้าโก่งคอ
O นกน้อยผู้ถ้อย-เท็จ
พิพากษาบอกเสร็จว่าเท็จหนอ
ปีกจะยังอาจคลี่ หรือรีรอ-
โขกหัวต่อ"เจ้าที่" ก่อนคลี่บิน ?
O นกน้อยผู้ด้อยตรอง
ปีกลอยฟ่องฟ้าอยู่ไม่รู้สิ้น
โวหารพจน์มดเท็จแนบเจตจินต์
เกลือกร่างเที่ยวหากิน เคล้ากลิ่นควาย !
O ภาพนกน้อยเปลี่ยนสีเป็นอีกา
ปีก ปาก อ้าไซร้ขน เที่ยวขวนขวาย-
เปลี่ยนทุกเท็จเป็นสัจจ์ระบัดระบาย
เพื่อปาดป้ายราวเรื่อง .. ปิดเมืองไทย !