Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
กรกฏาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
27 กรกฏาคม 2557
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
ENYA - Caribbean blue
O หมายโอบเอื้อมเอารักจำหลักจิต
จนเฝ้าคิดเฝ้าคอยละห้อยหา
จ่อมจมด้วยหอมหวาน .. แห่งมารยา
พร้อมแรงอาวรณ์ช่วง .. โหม-ห้วงใจ
O และเพื่อว่า .. ใจหนึ่งเมื่อซึ้งหนัก
จะเกินกักกุมขวัญ .. เมื่อสั่นไหว-
ย่อมเผยความปรารถนา, แรงอาลัย-
โหมเข้าใส่เป็นระลอก .. คอยหยอกเอิน
O แต่เมื่อรูปสบตา .. เพ-ลานั้น-
ก็โอบขวัญออหวานอยู่นานเนิ่น
แววนัยน์ตารื้นน้ำ ก็จำเริญ-
การก้ำเกินรุกล้ำ .. เป็นธรรมดา
O ดูเถิด .. พักตร์ใครหนอมารออยู่-
ให้รับรู้หวานละมุนพร้อมคุณค่า
จับจองความผ่องแผ้วที่แววตา
เพื่อจะคาคงอยู่ให้รู้การณ์
O แล้วเหมือนรอบหวานหอม .. เคยออม-อด
เริ่มกลั่นรสรวยรินล้อมถิ่นฐาน
ให้รอรับถ้วนสิ้น-จิตวิญญาณ
กับเบิกบานซ่านซึ้งที่ตรึงตน
O รื่นราววัสสายาม .. เม็ดน้ำพรู
ลมอึงอู้ .. ฟ้าตื่นรับคลื่นฝน
ความอบอุ่นหวามใน-หัวใจคน
ย่อมอึงอลวนไหว .. อยู่ในที
O ลมพลิ้ว .. กระแสฝนร่วง .. หล่น .. สาย-
เมื่อไฟร่ายรำเต้น .. เฟื้อยเส้นสี-
อ่อนช้อยรูป .. อิริยา-บรรดามี-
เผยเลศตอบไมตรี .. นาทีนั้น
O จึงเหมือนฝนหล่นสายรำบายบอก
ว่า-ระลอกอ่อนโยน-เนตรโชนฝัน
เผยสิ่งที่ .. แฝงเร้น .. ให้เห็นกัน-
ว่า-จิตนั้น ถวิลอยู่ด้วยผู้ใด
O เพียงพอหรือ-เพียงเนตรเผยเลศล้อม-
ว่า-มีความหวานหอม .. รอพร้อมให้-
เปรียบคุณค่ากับชาย .. ว่า-กายใจ
รอมอบให้เข้าประคองด้วยสองมือ
O รูปแพงเจ้า-พึงเผยความเอ่ยเอื้อน
ให้ความเหมือน .. เจ้ามี .. ดูทีหรือ
เผยอาวรณ์รูปเยาว์-ให้เขาลือ
จนยึดถือเป็นอย่าง-อย่าพรางเลย
O หลับตาสิ .. วาบไหวรูปใครนั้น
ยิ่งปิดกั้นรูปรอย .. ยิ่งคอยเผย
รำพันพากย์ฝากคิดไว้ชิดเชย
อกเจ้าเอย .. จะหลบเลี่ยง-พี่เยี่ยงไร
O เพื่อผ่านรสหวานหอมเข้ากล่อมบท
พร้อมกรองพจน์วาที .. ช่วงชี้ให้-
รูปแพงเจ้าเสน่หา .. เกินฝ่าไป-
จากอาลัยเหนี่ยวหน่วง .. เป็นบ่วงร้อย
O วาดหวังถึงงดงาม .. จึง-ยามคิด-
ย่อมแนบชิดชมหอม .. หรือยอมถอย
เพียงเพื่อรูปแพงทองใจล่องลอย-
เฝ้าละห้อยแหนหวงอย่าล่วงเลย
O หมายโอบเอื้อเอารักจำหลักขวัญ
และผูกมั่นด้วยนัยที่ใคร่เผย
อันคำรัก-ชนเทียบความเปรียบเปรย-
เพียรอ้างเอ่ย - แค่ธุลีของพี่เอง !
Create Date : 27 กรกฎาคม 2557
Last Update : 11 เมษายน 2566 18:06:20 น.
15 comments
Counter : 3763 Pageviews.
Share
Tweet
สดายุ..
"O แต่เมื่อรูปสบตา .. เพ-ลานั้น-
ก็โอบขวัญออหวานอยู่นานเนิ่น
แววนัยน์ตารื้นน้ำ ก็จำเริญ-
การก้ำเกินรุกล้ำ .. เป็นธรรมดา
O ดูเถิด .. พักตร์ใครหนอมารออยู่-
ให้รับรู้หวานละมุนพร้อมคุณค่า
จับจองความผ่องแผ้วที่แววตา
เพื่อจะคาคงอยู่ให้รู้การณ์"
มีรูปธรรมนี่คะ..
แถมยังเคย"สบตา"....แม่หน้าหวาน ด้วย..
ตาแป๊วแหวว..ซะด้วย..
สไกป หรือ ตัวจริงจริงเอ่ย..
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:01:25 น.
มินตรา
มี IP ที่เหมือนมินตราโพสต์โฆษณามาวันละ 2-3 ครั้งลงในบล็อคในกระทู้ต่างๆ .. แต่ตอนนี้ผมปลดล็อคอันนี้แล้วเพื่อมินตราจะได้เห็นคำพูดตัวเองเลยไม่ต้องรอผม
แล้วค่อยไล่ลบโฆษณาอันนั้นเอา .. มีอันเดียว อันอื่นก็ล็อคไว้เหมือนเดิม
ผู้หญิงที่มาในบล็อคทั้งหมดตั้งแต่บทแรก "นางครวญ" ตามลิงค์ ..
https://www.bloggang.com/mainblog.php?id=sdayoo&month=06-07-2006&group=1&gblog=41
จนปัจจุบัน เคยเห็นหน้าตาจริงไม่กี่คน และนั่นสมัยส่ง e-mail กัน .. สมัยนี้ก็ facebook 55
การได้เห็นหน้าตาจึงจะเปลี่ยนอารมณ์เป็นกลอนได้
แต่ส่วนมากไม่ให้เห็นหน้าตาจริง หรือ อย่างเก่งแค่รูปเดียวแถมถ่ายไกลๆ ซึ่งไม่สามารถดูอะไรได้
แต่ยังไม่เคยเจอตัวจริงใครเลยแม้แต่คนเดียวสำหรับคนที่มาอ่านในบล็อคนี้ นอกจาก"พี่พรหมญาณี"คนเดียว .. (คงกลัวผมจะกินตับเขามั๊ง .. 55)
ผมไม่สามารถบรรยายความงามของสตรีจากแค่เห็นตัวหนังสือที่เขาเขียนมาได้ .. ไม่มีแนวทางแห่งจินตนาการ 55
บางคนบอกว่าหน้าตาเขาเหมือน คิมเบอรลี แต่ไม่ยอมให้เห็นตัวจริงหรือแม้แต่รูป .. การเขียนกลอนจึงต้องใช้คิมเบอรลีเป็นตัวแทนการบรรยาย
ผู้หญิงมองผู้ชายที่ความสามารถ ความเข้มแข็งเด็ดขาด เหมือนตัวจ่าฝูงในฝูงสิงห์โต ที่จะครอบครองตัวเมียทั้งหมดในฝูง เพราะฉะนั้นการขยายพันธุ์จึงเป็นการสืบทอดความเข้มแข็ง เก่ง ไปสู่รุ่นลูก .. ในคนจึงมองผุ้ชายที่ความสามารถมากกว่า หน้าตา
ผู้ชายมองผู้หญิงที่หน้าตา เพราะคนเป็นสัตว์ประเภทเดียวที่ตัวเมีย สวยงามกว่าตัวผู้ คือผู้หญิงสวยงามกว่าชาย ซึ่งตรงข้ามกับสิงห์โตที่มีทั้งความสามารถและความสวยงามในตัวผู้ รวมทั้งไก่ นก ปลา
ดังนั้นความงามของหญิง จึงเป็นที่ต้องการ ประกวดประชัน เติมแต่ง แข่งกันสวยให้มากที่สุดจึงเป็นเรื่องปกติในเพศหญิง
ชาย รวมทั้งหญิงด้วยกันจึงมองหญิงที่ความงามมากกว่าความสามารถ อันนี้เป็นธรรมชาติที่เป็นอยู่ ที่เราไม่สามารถปฎิเสธได้
ทีนี้เมื่อมนุษย์มีความอารยะมากขึ้น ก็ปรุงแต่งเรื่องจริตกิริยา คำพูด การแต่งกาย เข้ามาประกอบ เรื่องราวจึงเริ่มซับซ้อนมากขึ้น
เพราะการให้คุณค่าความงามโดยธรรมชาติแท้คือรูปร่างหน้าตา และคุณค่าจากการปรุงแต่งของคน มันมีมุมมองที่ต่างกันและยากจะหาข้อยุติ
ดีที่สุดคือ จริตที่ต้องกัน นิสัยใจคอ ความคิดความเชื่อ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:46:06 น.
แวะเข้าอ่านค่ะ เพลงเพราะ บทร้อยกรองก็งามค่ะ
โดย: ไกลแสนไกล IP: 49.230.186.183 วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:16:36:53 น.
สดายุ ..
ไปอ่านเรื่องของบรรดาแฟน แฟน ของสดายุที่วางลิงค์ ไว้ให้แล้ว..
จึงทราบว่า สดายุสนใจสาว ที่มี"เทือกเถาเหล่ากอ"
ที่ว่าทำไมจึงมีประวัติศาสตร์ไทยที่จดบันทึกไว้ได้..ตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถนั้น..
หากจะให้คนในตระกูลบุนนาคตอบ ..ก็จะตอบว่า เพราะพ่อค้าชาวเปอร์เซียเข้ามารับราชการ เป็นราชองครักษ์ และค้าขาย ในสมัยนั้น..
นักเดินเรือจะมีนิสัยที่ต้องบันทึกเหตุการณ์ ติดตัวเสมอ..
จึงบันทึกเรื่องราวโดยไม่มีการออกตัว..
แต่จะมาในรูปของการสนับสนุนให้มีการทำเอกสาร การแปล มหาภารตะ(อินเดีย) แปลสามก๊ก(จีน)
มีการจัดตั้งวงดนตรี นาฎศิลป การช่างสิบหมู่..
ในการถ่ายทอดวัฒนธรรม บนเส้นทางการค้าระหว่าง ยุโรปและจีน
และชาวต่างชาติที่จะเข้าถึงราชสำนัก ก็มักต้องสนิทกับตระกูลนี้ ตั้งแต่วันวลิต ที่เคยมีภรรยาเป็นเจ้าหญิงจากเปอร์เซียสายอินเดีย แล้วมาแต่งงานกับสาวไทย
ไปจนถึงรัตนโกสินทร์หมอบลัดเลย์ แหม่มแอนนา
ที่มาเช่าบ้านของพวกบุนนาคอยู่
และที่แปลกที่สุดคือ บรรดากษัตริย์ที่ว่าเป็น "ลูกใครก็ไม่รู้"
ตั้งแต่ พระองค์ไล(พระเจ้าปราสาททอง) ผู้ ทรงแต่งตั้งให้เฉกอะหฺมัดดำรงตำแหน่ง "จุฬาราชมนตรี" คนแรกของไทย ด้วยว่านำศาสนาอิสลามเข้ามา
ในจดหมายเหตุของลาลูแบร์เรียกว่า "พระหมื่นจง" หรือ "หมื่นจง" (Pra Meuing Tchions or Meuing Tchions) มีหน้าที่รักษาความปลอดภัยในเขตพระราชวัง๒๕ "ตำรากระบวนเสด็จครั้งกรุงเก่า"
ตลอด จนถึงในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เรียกขุนนางนี้ว่า "จมื่นจง" นั้นคือขุนนางชาวเปอร์เซีย..
กษัตริย์ทุกพระองค์ขึ้นครองราชย์ ด้วยความช่วยเหลือของ
คนตระกูลบุนนาค แทบทั้งสิ้น..
หรือแม้นแต่พระเจ้าตาก ที่บุนนาคไม่สนับสนุน ก็ยังเกี่ยวพันกันมา..
ฉะนั้น มินตราจึงสนใจประวัติศาสตร์ของตระกูลนี้ เป็นพิเศษ และ ทราบว่า ..
กุลสตรีไทยในวัง ตั้งแต่อยุธยามา จนถึงรัตนโกสินทร์มักจะใช้ สตรีตระกูลนี้ เป็นต้นแบบ
ในเรื่องความรู้ ความสามารถ..
แปลกใจแต่เพียงว่า ทำไม ผู้ที่อ้างว่าสนใจเรื่องอดีต จนถึงราชประเพณี ขนบธรรมเนียมไทยเช่นสดายุ
จึงรังเกียจสตรี ตระกูลนี้ นัก..
และน่าจะอ่านเฉพาะประวัติศาสตร์ไทยที่ ฝรั่งเศสเขียนให้อ่านตั้งแต่สมัย หลวงพิบูลย์และดร.ปรีดี..เท่านั้น..
หรือจะเป็นความแตกต่างกันระหว่างคนยุโรปกับคนไทย
ในการศึกษาเรื่องประเทศสยาม..
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:21:00:21 น.
สดายุ..
"O หมายโอบเอื้อมเอารักจำหลักจิต
จนเฝ้าคิดเฝ้าคอยละห้อยหา
จ่อมจมด้วยหอมหวาน .. แห่งมารยา
พร้อมแรงอาวรณ์ช่วง .. โหม-ห้วงใจ"
ตรงนี้ ก็ไพเราะนะ..
ลืมขอบคุณเรื่องปลดล๊อคให้ค่ะ จะเข้ามาขอบคุณน่ะ
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:21:57:24 น.
ไกลแสนไกล ..
ในที่สุดก็มาพร้อมกับการอ้างถึงบท "นางครวญ" ที่เราเคยสนทนากันมาตั้งแต่ กรกฎาคม 2549 จน กรกฎาคม 2557 เป็นเวลา 8 ปีเต็ม
วันนี้ ไม่มี"ผู้น้อย"อีกแล้วนะขอรับ .. คงเป็น "ผู้ใหญ่" กันหมด อิๆๆ
ยินดีที่ชอบทั้งกลอนและเพลง
และยินดีมากที่แวะมาเยี่ยมเยียนอีก
เพลงนางครวญฉบับขิมน่าจะเปลี่ยนต้อนรับ ..
มินตรา ..
ที่จริงผมไม่มีอคติอะไรนะกับสตรีตระกูลบุนนาค ..ที่เชื่อกันว่ารุ่นแรกๆจะขาวคมแบบลูกครึ่งแขก
เพียงแต่หากเฉกอะหมัด เอาเมียแขกมาด้วยและลูกหลานเป็นเปร์เชียแท้ น่าจะสวยงามมาก
และที่ทราบมา บุนนาค สายหนึ่งถูกพระนารายณ์เกลี้ยกล่อมให้เข้าพุทธ และมินตราเมื่อมิใช่อิสลามก็น่าจะมาจากสายนี้ จริงไหม
เล่า ให้ละเอียดเลยสิ ผมอยากรู้
และจริงหรือไม่ที่ บรรดาขุนนางอำมาตย์ผู้ดีเก่าจากอยุธยา ไม่ค่อยยอมรับให้จีนที่ไม่มีรากเหง้าเชื้อสายอะไร มาเป็นเจ้าให้พวกตนต้องกราบไหว้ .. จึงไม่สนับสนุนเจ้าตาก
เพราะประวัติการเปลี่ยนราชวงศ์ยุคอยุธยานั้น ต้นราชวงศ์ถึงจะเป็นเหมือนสามัญชน แต่ก็ยังมีเชื้อสายให้นับเนื่อง เช่น สุพรรณภูมิ มีเจ้านครอินทร์เจ้าจากสุพรรณบุรีหลานขุนหลวงพะงั่วกษัตริย์องค์ที่ 2 มาสืบต่อวงศ์
พระมหาธรรมราชา ต้นราชวงศ์สุโขทัยก็มีเชื้อเจ้านายของราชวงศ์พระร่วงมา
องค์ไล พระเจ้าปราสาททอง ต้นราชวงศ์ปราสาททองก็เป็นลูกนอกบัลลังก์ของพระเอกาทศรถ และเป็นหลานพระมหาธรรมราชา ของวงศ์สุโขทัย
พระเพทราชา ต้นราชวงศ์บ้านพลูหลวง ก็มีเชื้อสายขุนนางเก่า และพระเจ้าเสือก็สืบเชื้อสายพระนารายณ์จากราชวงศ์ปราสาททอง
มิใช่สามัญชนแบบไม่มีรากเหง้า เพียงแต่จะเป็นลูกหลานเจ้าวงศ์ก่อนๆ ในบัลลังก์หรือนอกบัลลังก์เท่านั้นเอง
แต่เจ้าตากนี่ไม่มีเชื้อเลย
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งในสมัยปลายธนบุรีที่การรัฐประหารสำเร็จโดยง่ายดาย
โดย:
สดายุ...
วันที่: 27 กรกฎาคม 2557 เวลา:22:30:29 น.
มาเสพความงามของบทกลอนค่ะ
ฟังเพลงไทยเดิมเพราะๆ ทำให้คิดถึงบ้านจับใจ ^^
โดย: medkhanun IP: 94.23.252.21 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:2:52:38 น.
ว่าที่อาจารย์ ดร.
อะไรกันเพิ่งไปแค่ 2-3 เดือน คิดถึงบ้านซะแล้ว อิๆๆ
ที่คิดถึงน่ะ "บ้านที่เมืองไทย" หรือ "ใครทางเมืองไทย"
อิๆๆ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:5:55:29 น.
สวัสดีค่ะ
ใช้ชื่อไกลแสนไกล เพราะไปอย่ํู เดนเวอร์มา คิดถึงบัานมากตอนนั้น คิดถึงบรรยากาศเดิม ของครอบครัว และ.ตอนนี้ คิดว่า มาคุยเพื่อเป็นที่
ระลึกสำหรับ8 ปี. ได้ข่าว....ว่า บทนางครวญมีคนอ่านเยอะ และเป็นแรงบันดาลใจให้เจ้าของบล็อคเขียนงานต่างๆ มากมาย นานนะคะ ทั้งคนอ่านคนเขียน ต่างก็เป็นทั้งผูใหญ่น้อย ผู้ใหญ่มากกันไปตามๆกัน คลองที่บ้านอยุธยา ก็ต้องคอยลอก เพราะตื้นเขิน และแคบมาก ซึ่งต้องทำกันทุกปี โรงสีเล็กๆทยอยปืดตัว ผํํูเฒ่าผู้แก่ล้มหายตายจาก รวมทั้งคนเข้ามาแสดงความเห็นมากมาย จนตอบไม่ทันของเจ้าของลล็อค ปัจจุบันยังเปลี่ยนไป เสน่ห์บางอย่างก็ขาดหายไปบ้าง ตามกาลเวลาค่ะ แต่บทเพลง บทร้อยกรอง นางแบบ ไม่เปลี่ยน ยังคงมีคุุณภาพเหมือนเดิม ขอบคุณสำหรับการใช้ขิมกับเพลงนางครวญ ย้อนบรรยากาศเก่ๆให้นะคะ เป็นการต้อนรับที่อบอุ่นมาก ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
โดย: จิดา IP: 49.230.168.163 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:7:00:56 น.
ปลอลิง. คำผิดมากมาย ขอโทษ ค่ะ ใช้มือถือพืมพ์ มันเล็กไปนิดค่ะ
โดย: จิดา IP: 49.230.168.163 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:7:04:33 น.
สดายุ..
- พระเจ้าบรมโกศ มีพระราชดำรัสว่าพระยาเพ็ชร์พิไชย(ใจ) เป็นแขก ไม่ควรไปนมัสการพระพุทธบาท แต่ถ้าทิ้งเพศแขกมาเข้ารีดไทย จึงจะให้ตามเสด็จ พระยาเพ็ชร์พิไชยกราบบังคมทูลว่า เต็มใจที่จะเป็นไทยตามพระบรมราชประสงค์
- ตั้งแต่วันแรกที่พระเจ้าตาก(สิน)คลอดมาสู่โลกนั้น เจ้าพระยาจักรี ผู้มีอำนาจมากที่สุดในแผ่นดินรองลงมาจากพระมหากษัตริย์ ได้รับเป็นบุตรบุญธรรม
นำมาเลี้ยง"เสมอบ่าเสมอไหล่" กับ นายทองด้วง บุตรหลวงพินิจอักษร (ทองดี) เสมียนตรากรมมหาดไทยและ นายบุนนาค บุตรพระยาจ่าแสนยากร
สามคนนี้เป็นเพื่อนเล่นรักใคร่กันมาก เมื่ออุปสมบทเป็นสามเณรก็อยู่วัดสามวิหารด้วยกัน
เมื่อสึกจากสามเณรแล้ว เจ้าพระยาจักรีได้นำนายสินเข้าถวายตัวเป็น"มหาดเล็กในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ "
ส่วนนายทองด้วงกับนายบุนนาคนั้นบิดานำขึ้นถวายตัวเป็น"มหาดเล็กในพระราชวังบวร" ซึ่งบิดาของนายบุนนาค เป็น จางวางกรมมหาดไทย
แปลกไหม..ใกล้ชิดและทรงโปรดมาก..
ฉะนั้นเราน่าจะวางพระเจ้าตาก(สิน) ลงในหมวดหมู่นี้:
พระเจ้าปราสาททอง(พระองค์ไลย)
สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่8(พระเจ้าเสือ)
พระเจ้าตาก(สิน )
คุณปู่เคยสอนไว้ว่า.. ไม่ว่าประวัติศาสตร์จะเขียนไว้เช่นไร ให้จำไว้ว่าหากพระเจ้าตาก(สิน) มิใช่หน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์ จะไม่มีความกล้าหาญที่จะรวบรวมพลและคิดการใหญ่ได้
หลวงพินิจอักษร (ทองดี) เสกสมรสกับสองพี่น้อง บุตรีของคหบดีชาวจีน คนพี่ชื่อว่าดาวเรือง (หรือ หยก) ส่วนคนน้อง ชื่อ กู่
และ นายบุนนาค ก็สมรสครั้งแรก กับสตรีชื่อ ลิ้ม มิทราบว่าลิ้มอะไร แต่มิใช่ลิ้มโกวเหนี่ยว แน่
ฉะนั้นที่ว่า คนไทยรังเกียจจีนนั้นมิใช่แน่
มิว่าประวัติศาสตร์จะเขียนเช่นไร แต่มีบันทึกในราชสำนักจีนว่า :
- สมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกอบกู้บ้านเมืองต่อสู้ขับไล่กองทัพพม่าที่ยึดครองประเทศไทยออกไปได้แล้วพระองค์พยายามติดต่อทางการทูตกับประเทศจีน เพื่อให้ราชสำนักจีนรับรองว่า พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ถูกต้องชอบธรรมของประเทศไทย โดยส่งคณะทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการและพระราชสาสน์ไปถวายจักรพรรดิเฉิน-หลง เมื่อ พ.ศ. 2311
ราชสำนักจีนเขียนข้อความตอบปฏิเสธว่า
การที่เจิ้น-เจ้า (สมเด็จพระเจ้าตากสิน) จะให้จีนยอมรับว่า เป็นกษัตริย์และพระราชทาน
ตำแหน่งพิเศษให้นั้น ราชสำนักจีนไม่สามารถให้ได้ เพราะมิได้เป็นไปตามประเพณีเดิม
ที่ถูกต้องแล้ว เจิ้น-เจ้า
สืบหาองค์รัชทายาท ช่วยพระองค์ให้กอบกู้ประเทศชาติ แล้วอัญเชิญขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่เจิ้น-เจ้ามิได้ทำเช่นนั้น
กลับคิดตั้งตนเป็นกษัตริย์เสียเอง ทางจีนจึงไม่เห็นชอบด้วยกับความไม่ถูกต้องและผิดศีลธรรม นอกจากนั้นยังมี
รัฐอื่นอีก 3 รัฐ ที่ยังคงต่อสู้และต่อต้านท่านอยู่ อย่างเช่น หลู-ซื่อ-หลู่ ทั้งนี้เพราะว่าท่านมิได้เป็นองค์รัชทายาท
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:19:45:45 น.
น้องจิดา ..
เรียกอย่างนี้ก็แล้วกัน .. อย่างไรเสียเดาว่าพี่น่าจะอายุมากกว่า
ตรงนี้
.. รวมทั้งคนเข้ามาแสดงความเห็นมากมาย จนตอบไม่ทันของเจ้าของบล็อค ..
ค่ะ พี่ยอมรับว่าตอนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ .. แต่ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนไปตามหลัก อนิจจัง เมื่อมี facebook ที่สะดวกกว่าในการ แชร์รูป ไฟล์ เรื่องราว ความนิยมเลยเปลี่ยนไปที่ช่องทางนั้นแทน ..
มีบ้านที่อยุธยาด้วย .. พี่ก็ชอบพาแม่ไปไหว้พระค่ะ .. สมัยอยู่กรุงเทพ ไปแทบจะทุกอาทิตย์ ชอบที่มีวัดเยอะและพอดีกับชอบประวัติศาสตร์อยู่ด้วย จึงค่อนข้างลงตัวที่จะไปเช้ากลับเย็น ไปไกลเกินไป
เพลงนางครวญ เวอรชั่นขิมนี้เผื่อใครชอบและอยากหัดตีบ้างน่าจะเป็นแบบให้ได้ดีกว่า เวอร์ชั่นออเครสตร้า ของกอไผ่ที่น้องเคยฟังเมื่อ 2549 ค่ะ
8 ปีกับการย้อนมาเยือนอีกครั้ง ต้องนับว่ามีคุณค่าในความทรงจำของพี่มาก และบทนางครวญบทนั้นคือจุดเริ่มต้นของ "สายธารแห่งกาลเวลาทั้ง 10 ภาค" ที่ไม่รู้ว่าเขียนได้อย่างไรตั้ง 1032 บท ..อิๆๆ
หวังว่าจะไม่มีการหายไปอีกนะ
มินตรา ..
ขอบคุณมากครับสำหรับข้อมูลที่เอามาลงไว้ .. ข้อได้เปรียบของมินตราคือ การบันทึกประวัติศาสตร์อย่างตรงไปตรงมาของทางเยอรมันที่จะไม่มีการ แต้มสีใส่ไข่ ตามลักษณาการของฝรั่ง ข้อมูลจึงน่าจะถูกต้องกว่าของไทยเองที่ไม่ใช่ชาติของนักจดบันทึกอะไรนัก
ส่วนเรื่องราวของความสัมพันธ์ของสามเณรน้อยทั้งสาม ตลอดจนพระยาจักรี และราชสำนักจีน ผมไม่ค่อยรู้อะไรตรงนี้นัก .. การได้รับรู้จึงเป็นประโยชน์อยู่มากต่อตนเอง
ที่อยากรู้คือ บุนนาค สายปัตตานีขอรับ .. please
อิๆๆ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:21:14:21 น.
สดายุ..
บุนนาค มี ๒ สายใช้ ๒ ตรา คือ
ตราสุริยมณฑลและตราจันทรมณฑล
ตราสุริยมณฑล เทพบุตรชักรถ เคยเป็นตราที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พระราชทานเมื่อปี พ.ศ. ๒๓๙๔ ให้เป็นตราประจำตัวของสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) ภายหลังพระราชทานให้เป็นตราประจำกระทรวง พระคลังมหาสมบัติ แล้วต่อมาเป็นตราประจำกระทรวงการคลัง
ตราจันทรมณฑล เทพบุตรชักรถ เป็นตราประจำตัวของสมเด็จ เจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค) ภายหลังพระราชทานเป็นตราตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม
ส่วนบุนนาค ที่ไปเกี่ยวกับมณฑลปัตตานี คือ
พระยาเดชานุชิต (หนา) เกิด พ.ศ. ๒๔๐๘ เป็นบุตรพระยาอรรคราชนารถภักดี (หวาด บุนนาค) กับคุณหญิงบัว ต.จ. (สกุลเดิม สมบัติศิริ) มีคุณหญิงเป็นสตรีชาวเยอรมัน
พ.ศ. ๒๔๑๙ ได้เดินทางไปศึกษา ณ ประเทศเยอรมนี ได้รับประกาศนียบัตรชั้นสูง ด้านวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิชาการทำเครื่องอาวุธยุธโธปกรณ์ จากวิทยาลัยเมืองชาร์ลอตเตนเบอร์ก กลับเข้ามารับราชการในกระทรวงการต่างประเทศในตำแหน่ง COUNCILLOR มีหน้าที่ต้อนรับแขกเมืองและเป็นล่ามโดยทั่วไป
พ.ศ. ๒๔๔๒ ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระยาศักดิ์เสนี โปรดเกล้าฯ ให้ไปจังหวัดสงขลา เพื่อช่วยงานเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม ตั้งแต่ยังเป็นที่พระยาสุขุมนัยวินิต) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครศรี ธรรมราช ปราบปราม ๗ หัวเมืองที่ก่อเหตุร้ายเนืองๆ ให้สงบราบคาบ หัวเมืองแขกทั้ง ๗ นี้ ได้แก่ ยะหริ่ง ยะลา ตานี รามันห์ ระแงะ หนองจิก และสายบุรี
ใน พ.ศ. ๒๔๕๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น พระยาเดชานุชิต สยามิศรภักดิ์ พิริยะพาหะ อันเป็นตำแหน่งเก่าแก่ที่นับถือของหัวเมืองแขกทั้ง ๗ นั้น งานที่สำคัญในภาคใต้ คือ การตัดถนนหลายสาย เพื่อประโยชน์ในการคมนาคมและค้าขาย การสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กข้ามแม่น้ำตานี พระยาเดชานุชิต (หนา) เป็นแม่กองอำนวยการสร้าง พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงคมนาคม ประทานนามให้เกียรติยศแก่ผู้สร้างว่า "สะพานเดชานุชิต"
ส่วน "บุษบามินตรา" มิได้ใช้ บุนนาค
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 29 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:57:07 น.
มินตรา ..
"ส่วน "บุษบามินตรา" มิได้ใช้ บุนนาค" แปลว่าทางแม่เป็นบุนนาค ไม่ใช่ทางพ่อ .. มิน่าล่ะ "แม่"ถึงติดปากมินตรา อิๆๆ
น่าจะเป็นตระกูลคู่ราชวงศ์จักรีมาตลอดอายุกรุงรัตนโกสินทร์ เพราะมีบรรดาศักดิ์ชั้น "สมเด็จเจ้าพระยา" หลายคนในตระกูลบุนนาค ซึ่งมากกว่าตระกูลใด
ในสมัยตันรัชกาลที่ 5 ที่ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ นั้น สมเด็จเจ้าพระยา ฯ ช่วง บุนาค ขึ้นสำเร็จราชการแทน คิดว่าน่าจะเป็นจุดสูงสุดของตระกูลแล้ว ที่หากเป็นสมัยอยุธยา การ"เอาแผ่นดิน"เพื่อตั้งวงศ์ใหม่นั้นคงง่ายดายดุจพลิกฝ่ามือหากคิดจะทำ
และ .. ดีที่ไม่ทำ !
หากให้ผมเดา มินตราคงสืบเชื้อสายมาทางสาย พระยาเดชานุชิต แต่มาทางมารดาจึงไม่ได้ใช้ บุนนาค
ขอบคุณสำหรับความรู้ที่นำมาวางไว้เป็นวิทยาทานขอรับ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:37:15 น.
สดายุ..
แม่ไม่ให้บอกว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใคร เดี๋ยวจะมีคนตามมาถึงบ้าน..
และมินตราก็ไม่บอกหรอกเพราะสดายุเคยพูดว่า ไม่ต้องกลัวไม่ตามไป100%
ก็เลยไม่บอกนะ เดี๋ยวไม่ตามมา..555
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 30 กรกฎาคม 2557 เวลา:2:51:43 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
"O แต่เมื่อรูปสบตา .. เพ-ลานั้น-
ก็โอบขวัญออหวานอยู่นานเนิ่น
แววนัยน์ตารื้นน้ำ ก็จำเริญ-
การก้ำเกินรุกล้ำ .. เป็นธรรมดา
O ดูเถิด .. พักตร์ใครหนอมารออยู่-
ให้รับรู้หวานละมุนพร้อมคุณค่า
จับจองความผ่องแผ้วที่แววตา
เพื่อจะคาคงอยู่ให้รู้การณ์"
มีรูปธรรมนี่คะ..
แถมยังเคย"สบตา"....แม่หน้าหวาน ด้วย..
ตาแป๊วแหวว..ซะด้วย..
สไกป หรือ ตัวจริงจริงเอ่ย..