Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
มกราคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
7 มกราคม 2557
O ดั่งลมร่ำ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O ดั่งลมร่ำ .. O
อัศวลีลา - ลาวดวงดอกไม้
-1-
O จำ-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย
เมื่อม่านหมอกล่องลอยอยู่คอยท่า
ทางทอดรอเร่งรุด .. ไกลสุดตา
รอหัวใจแกร่งกล้า .. ก้าวท้าทาย
O ไร้ดื่นดาวแสงระยิบจากลิบโพ้น
เพียงแสงวันอ่อนโยนเริ่มโชนฉาย
ลมเช้าโชยพรมพรำ .. ช่วยรำบาย-
ความมืดหม่นให้สลายคลี่คลายตัว
O หล่นร่วงรูปใบบางในทางเที่ยว
ความเปล่าเปลี่ยวเย็นเยือกก็เกลือกกลั้ว
ลมโชยผ่านใบนั้น .. ย่อมสั่นรัว-
จนหลุดขั้วร่วงคว้างลงกลางแดน
O ลมแผ่วผ่านโลมลูบ .. ใบวูบหล่น
ให้แดดบนฟ้าห้อมดุจอ้อมแขน
เพื่อหน่ออ่อนเขียวสด .. งอกทดแทน-
ความขาดแคลนชุ่มชื้น .. บนพื้นดิน
-2-
O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก
มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น
เพื่อเห่กล่อมปถวี .. ปวงชีวิน-
และยอดตฤณที่ใต้ร่มใบบัง
O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ
แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง
วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง
ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร
O โบกบ่ายความสดชื่นความรื่นรมย์
ผ่านสายลมพลอดพร่ำ .. แทนคำอ้อน
เผย"ความนัย"อ่อนเจ้า .. ช่างเว้าวอน-
ทั้งแสนอ่อนโยนเหลือทุกเนื้อความ
O วัลย์เลื้อยเถารัดล้อมราวอ้อมกอด-
สองแขนสอดรัดทรวง .. ว่าหวงห้าม
ลมแผ่วพลิ้วโลมลูบ, หวัง-รูปงาม-
จักวาบหวามในอก .. สะทกสะท้อน
O ลมแรกเช้าเฉื่อยโชย .. ค่อยโรยล้อม-
ดอกแก้วบานพรั่งพร้อมกลิ่นหอมอ่อน
ใบไม้ร่วงพลิ้ววางในต่างตอน
เมื่อทางจรทอดยาว .. รอก้าวไป
O โอ .. นั่นรูปเรียวก้อยเจ้าคอยยื่น-
มาร่วมขืนขัดร้อยเกี่ยวก้อยให้-
ความเปล่าเปลี่ยวอ้างว้าง .. ต้องร้างไกล
เหลือสดใสทอดช่วง .. ที่ดวงตา
O ยิ้มรับสายลมอ่อน, ความอ่อนโยน-
ก็ถ่ายโอนรุมล้อมอยู่พร้อมหน้า
เจ้าเอยที่ตรึงมั่นในสัญญา
รู้เถิดว่าเกินถอน .. แล้วอ่อนน้อย
O ลมผ่านวูบ .. ใบบางก็คว้างหล่น
ทิ้งรูปกล่นเกลื่อนแล้วอย่างแผ่วค่อย
เห็นเพียงความกรอบเกรียม .. นั้นเปี่ยมรอย
ที่จักคล้อยเคลื่อนลับ .. ไปกับกาล
O เห็นรูปเรียวเสียดยอดขึ้นพลอดแสง
แทรกทิ่มแทงโลกธาตุอย่างอาจหาญ
ใจที่คอยพิศเพ่งก็เบ่งบาน-
บนรูปคราญอ่อนน้อย .. ทุกรอยใจ
O ริ้วแห่งลมโลมภู่ให้รู้หอม
จนรายล้อมรู้หวานทุกหวานได้
แววอ่อนหวานวาบสู่ .. ถึงผู้ใด
จึงสั่นไหวทุกหอมเคยหอมล้ำ
O ก้อยเรียวพร้อมแววประหวั่นเจ้า
ย่อมรุมเร้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ร่วมเกี่ยวร้อยก้อยเรียวร่วมเหนี่ยวกรรม
ให้โลกร่ำลือนาม .. เช่นยามเพรง
O ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย
กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง
เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง
กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง
-3-
O แดดเช้า .. ลมชื่น .. ใจตื่นช่วง
แว่วยินท่วงทำนองพร่ำพร้องเสียง
จากแมกไม้พุ่มกอ หรือพอเพียง-
แทนสำเนียงอาวรณ์ถึงอ่อนน้อย
O ลมผ่านสายใบบางยังคว้างร่วง
ผ่านทุกช่วงยามโลกอย่างโศกสร้อย
ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย
ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย
O ลมเห่กล่อม, ดอกแดดทอแวดล้อม
คืออุ่นอ้อมแขน-อ้อนเถิด .. อ่อนเอ๋ย
โลมดอกแดดอบอุ่นให้คุ้นเคย-
ก่อนชิดเชยอกอุ่น .. ที่หมุนรอ !
Create Date : 07 มกราคม 2557
Last Update : 3 เมษายน 2566 13:38:57 น.
13 comments
Counter : 3053 Pageviews.
Share
Tweet
ดายุ...
"O จำ-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย
เมื่อม่านหมอกล่องลอยอยู่คอยท่า"
ตรงนี้ อ่านแล้วรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเสมือนชีวิตของ"เซียวจับอิดนึ้ง"ผู้ชีวิตก็มิมีอันใด มีเพียงความว่างเปล่าเดียวดาย
และซิมเปียะกุน"
"O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก
มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น"
"O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ
แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง
วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง
ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร"
O" ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย
กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง
เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง
กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง"
จอมยุทธ ผู้ที่ยังติดตาติดใจ มินตรา...
.ต้องอ่านนะ มิใช่ ที่ทำเป็นภาพยนตร์ เพราะ คำ ความ จะ กินใจกว่ากัน
โดย: บุษบามินตรา IP: 82.82.191.185 วันที่: 7 มกราคม 2557 เวลา:16:51:06 น.
มินตรา ..
ซิมเปี๊ยะกุน .. โฉมสคราญอันดับ 1 แห่งแผ่นดิน
เซียวจับอิดนึ๊ง .. จอมยุทธเดียวดายผู้ทรนง
ต้องยอมรับว่า .. หายากมากที่ผู้หญิงจะชอบอ่านกำลังภายใน .. ไม่แน่ใจว่าเพราะสายเลือดหรือเพราะสังคมเยอรมัน จึงสร้างนักอ่านแบบนี้ได้ 55
โฉมสคราญ มักเป็นที่ต้องตาต้องใจของบุรุษทั้งแผ่นดิน .. หากมีเพียงบุรุษผู้มีบุคคลิกภาพโดดเด่นคนเดียวเท่านั้นจึงเป็นที่พึงใจของโฉมสคราญ
โก้วเล้ง อัจริยะปีศาจแห่งไต้หวัน เป็นนักเขียนเพียงไม่กี่คนที่สามารถสร้างเรื่องราวและตัวละคอนติดตรึงใจคน
และ ซาเซียวเอี้ย .. คุณชายที่สามแห่งหมู่บ้านกระบี่เทวดา คือหนึ่งในนั้น .. เจี่ยวเฮียวฮง ที่มีเพลงกระบี่ไร้เทียมทาน
ผมเคยเช่าอ่าน แต่ไม่มีครอบครอง .. อาจต้องซื้อหามาไว้เหมือนกัน
ส่วนพวก serie อย่าง ชอลิ่วเฮียง เล็กเซี่ยวหงส์ นี่ผมอ่านได้แต่ไม่ถึงกับตรึงใจ
บทนี้เขียนตอนที่อารมณ์คิดถึงใครคนหนึ่งมันรุนแรงก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์ .. กับวัยที่อารมณ์อาจแปรปรวนเข้าใจได้ยากอยู่บ้าง .. แต่โลกนี้ขาดไม่ได้แม้วินาทีเดียว !
โดย:
สดายุ...
วันที่: 8 มกราคม 2557 เวลา:4:55:23 น.
ดายุ...
"เซียวจับอิดนึ๊ง .. จอมยุทธเดียวดายผู้ทรนง"..ผู้มี พลังแห่งความยุติธรรมในหัวใจ...
เมื่อเริ่มอ่านออกเขียนได้ ก็รับจ้างอ่านหนังสือให้แม่ฟัง ไงคะ อ่านนิยายจนตนเองติด ต้องอ่านต่อเองจนจบเพราะใจร้อน รออ่านพร้อมแม่ก็ไม่ทันใจ...
เป็นขนบธรรมเนียมนะคะ ที่ต้อง"เช่าหนังสืออ่าน"
และนักศึกษา...สมัยจอมพลสฤษดิ์ผู้ที่ตั้งนโยบายให้รังเกียจคนจีน เพราะเป็นคอมมิวนิสต์กำลังแพร่หลาย..ต้องอ่าน..อ่านอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับจีน..555
นี่เป็นจุดเริ่มที่คนไทยรังเกียจคนจีน ทั้งทั้งที่ทั้งแม่ร.๑ และ แม่พระเจ้าตาก เป็นสตรีชาวจีน..
มินตราอ่านหนังสือบู๊ลิ้ม โดยที่ไม่เคยจำชื่อใครได้เลย มาสะดุดตาและจำได้ติดใจคือ จอมยุทธผู้โดดเดี่ยวเดียวดายนี้คนเดียว
เมื่ออ่านกลอนที่เขียนเริ่มด้วยภาษาลักษณะเดียวกัน ก็เลยนึกถึง...
"บทนี้เขียนตอนที่อารมณ์คิดถึงใครคนหนึ่งมันรุนแรงก่อนจะเข้าสู่นิทรารมย์ .."
ทั้งทั้งที่..
"ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย
ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย" งั้นหรือคะ
โดย: บุษบามินตรา IP: 178.5.236.22 วันที่: 8 มกราคม 2557 เวลา:11:14:16 น.
มินตรา..
ในความเป็นไทยที่อ่านน้อยรู้น้อย .. รู้เฉพาะที่สนใจไม่กี่เรื่อง .. สิ่งนี้เป็นปัญหาในกระบวนทัศนะต่อเรื่องราวที่รับรู้รับฟังในชีวิตประจำวันด้วยนะ
ความไม่ชอบอ่าน จึงต้องฟัง และกลายเป็นความเชื่อในความเห็นผู้อื่น ที่ไม่ใช่ความรู้ .. จึงเป็นที่มาของ "เมืองไทยวันนี้" .. 555
หาได้น้อยมากในหมู่คนไทยที่จะคุยกันได้ในหลากหลายเรื่องราว .. แต่กับฝรั่งกลับพบเจอได้ทั่วไป ขนาดพวกนักท่องเที่ยวทีเป็นชนชั้นกลาง-ล่างที่เคยพบเจอนะ
มินตราโชคดีที่ได้มีโอกาสอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งความรู้และเหตุผล .. น่าอิจฉามากสำหรับชั่วโมงนี้
เพราะไม่คิดว่าที่เยอรมัน พวกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(หากมี) จะเที่ยวเสล่อออกความเห็นเรื่องควรมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงหรือไม่ .. จริงไหม ?
ยกเอาประเด็นจอมพลผ้าขะม้าแดงมาล่อเหมือนจะชงลูกให้ตบหน้าเนตนะนี่ 55
จัดให้ จัดเต็ม
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว หมอนี่ตาย 2505 สมัยนั้น ความคิดแบบนั้น ซีเรียสจริงจังมาก .. ผ่านมา 40-50 ปี พวกเจ้าบินไปจีนแดงเป็นว่าเล่นทั้ง ..
ถามว่า จีนยังปกครองด้วยระบอบเดิมเหมือนยุค สฤษดิ์ หรือไม่
ตอบว่า ใช่
แล้วไทยล่ะ
ตอบว่าเหมือนเดิม .. ยังอวยเจ้าเหมือนเดิม แต่ทำท่าจะหนักข้อกว่าเดิม อย่างน้อยนายปรีดี ก็ดึงลงมาจะให้เหมือน"สีหมุนี ของกัมพูชา"แล้วนา .. แต่ผ้าขะม้าแดงยกขึ้นไปไว้บนหัวใหม่
แล้วอะไรที่เปลี่ยนไป ?
ตอบว่า ความเข้าใจเรื่องราวของพวกขวาจัด ที่ค่อยๆตามหลังโลกประมาณนี้แหละ 50 ปี ครึ่งศตวรรษเป็นอย่างน้อย ..
เฮ้อ มันน่าเหนื่อยใจนะ ว่ามั๊ย .. 55
คือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา ไปเมืองจีนสมัยสฤษดิ์แล้วมีปัญหากับทางฝ่ายมั่นคง แล้วลี้ภัยการเมืองไปตายอยู่เมืองจีน ..
แต่หากบอกว่าไปเมืองจีนนี่ผิดกฎหมายไทยในสมัยนี้ คนหนุ่มสาวคงมึน หัวร่อกันกรามค้าง
นี่คือปัญหาของความเป็นกลุ่ม อนุรักษ์นิยม หรือ ขวาจัดขวาตกขอบ คลั่งเจ้า คลั่งศักดินา ที่ไม่รู้ว่ากินสารอะไรมากไป หรือน้อยไปตั้งแต่เด็กหรือเปล่าถึงอยากกลับไปขี่ช้างขี่ม้าซื้อหาของกันตามริมแม่น้ำที่มีเรือพายมาขายของกันปานนั้น .. !
ที่หากมีสัดส่วนมากเกินไปจะเป็นตุ้มถ่วงสังคมเอามากมายทีเดียว ..
รถไฟความเร็วสูง ไม่อยากได้
อยากกลับไปนั่ง รถจักรไอน้ำพ่นควันปู๊ดๆ ..
เฮ้อ
ส่วนกลอน
ก้อยยังเกี่ยวก้อยย่ำ .. ซ้ำซ้ำรอย
ใดจะลอยหลุดร่วงไม่ห่วงเลย
คือหากมีนิ้วเรียวๆมาเกี่ยวก้อยไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วล่ะก็ .. โลกทั้งใบนี้ก็ลืมไปก่อนได้เลย
มันไม่มีอะไรจะสำคัญอีกแล้ว
ไว้ค่อยมาจัดการใหม่ทีหลัง .. 55
โดย:
สดายุ...
วันที่: 8 มกราคม 2557 เวลา:20:16:34 น.
ดายุ...
"หากมีนิ้วเรียวๆมาเกี่ยวก้อยไว้ไม่ยอมปล่อยแล้วล่ะก็ .."
"ย่อมรุมเร้าใจเต้นไม่เป็นส่ำ
ร่วมเกี่ยวร้อยก้อยเรียวร่วมเหนี่ยวกรรม
ให้โลกร่ำลือนาม .. เช่นยามเพรง" เนอะ
"เมื่อ 50 ปีที่แล้ว หมอนี่ตาย 2505 สมัยนั้น ความคิดแบบนั้น ซีเรียสจริงจังมาก .."
...มากตามจำนวนเงินที่อเมริกาส่งมาปราบปรามคอมมิวนิสต์ ตามสัดส่วนของจำนวนคอมมิวนิสต์ที่เกิดขึ้น..ใช่ไหมเอ่ย..
"เพราะไม่คิดว่าที่เยอรมัน พวกตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ(หากมี) จะเที่ยวเสล่อออกความเห็นเรื่องควรมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงหรือไม่ .. จริงไหม ?"
จริงค่ะ เพราะศาลรัฐธรรมนูญที่มีต้นกำเนิดมาจากเยอรมันในปี1919ที่แคว้นบาวาเรียนั้น มีไว้เพื่อ แปลรัฐธรรมนูญ เพียงอย่างเดียว เพื่อรักษาสิทธิของประชาชน อันจะเกิดความเดือดร้อนได้จากรัฐธรรมนูญที่รัฐสภา สร้างไว้..
คือประชาชนมีสิทธิที่จะฟ้องร้องได้ หากรัฐธรรมนูญนั้นไปลดสิทธิในความเป็น"คน" มากไป..จนประชาชนต้องเดือดร้อนใจ
ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเยอรมันนี่ มีเกียรติยศสูงมาก แต่ความสามารถที่ต้องมีคือ แปล รัฐธรรมนูญ"เท่านั้น" ไม่มีสิทธิลงโทษ หรือสั่งการใดใดได้..เพราะมิใช่ "ศาล"!
เยอรมันคิดคำว่า... การร้องทุกข์เรื่องรัฐธรรมนูญ(die Verfassungsbeschwerde)ขึ้นมา.. แล้วให้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีหน้าที่"แปลรัฐธรรมนูญ ให้" เท่านั้นเอง นะคะ
เพราะฉะนั้น ศาลรัฐธรรมนูญ(Verfassungsgericht)มีหน้าที่แปลรัฐธรรมนูญ เท่านั้น!
โดย: บุษบามินตรา IP: 178.5.236.22 วันที่: 9 มกราคม 2557 เวลา:3:27:49 น.
มินตรา ..
เมืองไทยไม่มีประเด็นอะไรมากไปกว่าความ"กลัว"เรื่องการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในอีกไม่นาน
ความรู้สึกผูกพันแบบสับสนในตนเอง จากการถูกกล่อมหัวมายาวนาน 24 ชั่วโมงต่อวัน 365วันต่อปี จึงแยกแยะไม่ออกนี้ น่าจะเป็นภาวะของศรัทธาจริตในสันดานของบุคคลิกภาพแบบเชื่องเชื่อ
การพูด ความคิดต่างๆในสังคมช่วงนี้จึงออกมาแบบ "ไม่ต้องควบคุม" กันอีกต่อไป เป็นต้นว่า
.. คนไม่ควรเท่ากัน เพราะจำนวนปีที่ใช้ในสถานศึกษาไม่เท่ากัน
.. คนไม่ควรเท่ากันเพราะการเสียภาษีเข้าส่วนกลางไม่เท่ากัน
.. คนไม่ควรเท่ากันเพราะความเข้าใจ จิตสำนึก ต่อพัฒนาการทางสังคมมีอยู่ไม่เท่ากัน
การแสดงออกนี้เกิดขึ้นในหลากหลายวงการทั้งปัญญาชน กระทั่งดาราที่เข้าใจกระบวนการทางอำนาจในบ้านเมืองแค่กระผีกริ้น
ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ การแสดงความเห็นออกสู่สาธารณะแบบนี้ต้องถูกประณามจนผู้เสียคนแน่
ฝรั่งรับรู้เข้า คงต้องส่ายหัวอย่างสมเพท สังเวช กับแนวคิดแบบนี้
ศึกครั้งนี้ .. อาจมี TKO กันยก 10
อ้อ .. มินตรารู้ไหม .. ความเป็นกลางที่แท้จริงในเมืองไทยไม่มี
เพราะคนที่เป็นกลางอย่างแท้จริงต้องกล้าวิพากย์ทั้งสองฝ่ายคู่ขัดแย้งกันกันได้อย่างตรงไปตรงมา
แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิพากย์ได้ฝ่ายเดียวเท่านั้น .. อีก
ฝ่ายห้ามแตะ ไม่งั้นโดน 112 !
ดังนั้นหากใครอวดอ้างว่าตนเองเป็นกลางก็ลองให้วิพากย์อย่างเท่าเทียมกันดู ... เฉพาะในเมืองไทยนะ
555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 9 มกราคม 2557 เวลา:5:28:18 น.
รึว่า เมืองไทยยังไม่พร้อมสำหรับการมีศาลรัฐธรรมนูญ ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 9 มกราคม 2557 เวลา:5:49:00 น.
โดย:
สดายุ...
วันที่: 9 มกราคม 2557 เวลา:21:02:32 น.
ดายุ...
ล้อแม็กซ์ (max wheel)ที่เทียมวัว เทียมควายนี่
เห็นว่ากันว่า เข้ามาอยู่ในกรุงสุเทพแล้ว และจะออกโชว์ให้ทั่วโลกชมกลางกรุงในวันที่๑๒นี้
ทรงพระเจริญ !
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.223.148.136 วันที่: 10 มกราคม 2557 เวลา:2:30:02 น.
มินตรา
555 ..
ผมขำใน issue พวงหรีดมาก !
ถึงพูดว่าหากปล่อยให้สตรีผู้ฝักใฝ่อำนาจและเกียรติมากเกินเข้ามา concern เรื่องราวแล้ว มักจะเสียการณ์ ..
ทั้งมารี อังตัว
ทั้งอเลกซานดราของโรมานอฟ
ทั้งซูสีไทเฮา
ล้วนแต่ช่วยเรียกแขกกันขยันขันแข็งยิ่งทั้งนั้น
กลยุทธซุนหวู่มีว่า
"รู้เขารู้เรา ร้อยรบ ร้อยชนะ"
การเผยตัวออกมาจากเงามืด มันเป็นการทำให้ "เขารู้" หาใช่ "รู้เขา" ไม่
หากมองในฐานะคนกลาง ต้องพูดว่า
เมื่อถึงจุดหนึ่งอารมณ์แห่งหญิงจะขึ้นหน้าจนมีพฤติกรรมออกทาง "ฉันไม่แคร์" ที่หากเป็นมวยก็ต้องพูดว่าเริ่ม "ออกทะเล"
ซึ่งความลึกซึ้งเลือดเย็นอยู่ระดับมือเท้า จริงๆ
เทียบกับ "หัวหน้าขันที" ไม่ได้เลย นั่นต้องยอมรับว่าระดับเกจิ
ส่วนหวานใจมินตราที่ดูไบ ผมให้เกรดความลึกซึ้งหลักแหลมทางการวางหมากเกมทางการเมืองแค่ ชั้นคิง เท่านั้นเพราะพลาดซ้ำพลาดซ้อนถอยกรูดไม่เป็นกระบวนมาตลอด
นึกว่ากลุ่มคนตุลาเก่าจะมีทีเด็ดอะไรเบื้องหลังบ้าง ก็เหลว .. เฮ้อ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 10 มกราคม 2557 เวลา:4:52:50 น.
ตกลงอยู่ .. Brandenburg
หรือ .. Berlin ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 10 มกราคม 2557 เวลา:5:00:39 น.
ดายุ..
แม่บอกว่าเป็นสาวแล้ว อย่าบอกใครว่าอยู่ที่ไหน เดี๋ยวจะมีคนตามมาวอแว..ค่ะ..
โดย: บุษบามินตรา IP: 88.74.71.189 วันที่: 10 มกราคม 2557 เวลา:20:02:59 น.
มินตรา
ตามไม่ไหว ค่าเครื่องบินแพงมาก
555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 11 มกราคม 2557 เวลา:5:26:53 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ดายุ...
"O จำ-หยุดยืนเคว้งคว้างในทางน้อย
เมื่อม่านหมอกล่องลอยอยู่คอยท่า"
ตรงนี้ อ่านแล้วรู้สึกเปล่าเปลี่ยวเสมือนชีวิตของ"เซียวจับอิดนึ้ง"ผู้ชีวิตก็มิมีอันใด มีเพียงความว่างเปล่าเดียวดาย
และซิมเปียะกุน"
"O เจ้า-ดั่งลมหนาวร่ำพรมพรำโลก
มาลบโศกถ้วนสรรพให้ดับสิ้น"
"O เห่เสียงกล่อมเหนื่อยล้าให้ลาลับ
แลร่วมขับขานถ้อยให้คอยหวัง
วาดวีบทวังเวงเป็นเพลงดัง
ต่อกำลังก้าวย่างสู่ทางจร"
O" ที่เคยหยุดเคว้งคว้างในทางน้อย
กลับมีก้อยเกี่ยวฉุดให้รุดเร่ง
เคยอ่อนล้าสิ้นหวัง .. กลางวังเวง
กลับมีเพ่งพิศอยู่ .. คอยคู่เคียง"
จอมยุทธ ผู้ที่ยังติดตาติดใจ มินตรา...
.ต้องอ่านนะ มิใช่ ที่ทำเป็นภาพยนตร์ เพราะ คำ ความ จะ กินใจกว่ากัน