Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
พฤศจิกายน 2555
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
25 พฤศจิกายน 2555
O เชิญขวัญ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O เชิญขวัญ .. O
บังใบ 2 ชั้น
O วาบวามแววปลั่งช่วงในดวงตา
คล้ายดั่งว่า .. รอพร้อมการกล่อมขวัญ
ผุด .. เผย .. ขึ้นปักปลูกความผูกพัน
จดรอบฝัน .. จำนง .. เป็นวงเดียว
O ตราบจนเมื่อ .. สองแขนหนุนแทนหมอน
นัยออดอ้อนแฝงฝาก-ยังกรากเชี่ยว
ดั่งเยื่อใยยืดยาว .. เริ่มสาวเกลียว
ล้อมรัดเหนี่ยวบีบเค้นอยู่เช่นนั้น !
O ภาพ- ขัดเขิน เบือนหน้า .. สายตาหลบ
ย่อมบรรจบ-ตา, ใจ .. จนไหวสั่น
เพ่งรูปหน้า .. แก้มเนื้อ-กลับเรื่อพลัน-
ที่รูปฝัน .. พาดช่วงในดวงตา
O งามรูปองค์อิริยา .. เบื้องหน้านี้
เหมือนคอยเพรียกใยดี รับทีท่า
สื่อจริตรำบาย .. ล้อมสายตา-
ร่วมแตะตื่นรมยา .. เริ่มท่าที
O ในช่วงยาม-สบตอบ .. เหลือบ .. ลอบ .. เหลียว
ราวคล้อง .. เหนี่ยว .. อารมณ์ - เกินข่ม .. หนี
กับชั่วเบือนสบนิ่ง .. เหมือนยิ่งมี-
รื่นรมย์ที่ลามล่วง .. ถมห้วงใจ
O เยี่ยงเกสรสร้อยสุมาลย์ละลานกลิ่น
ภู่ผึ้งบินโผผ่าน .. ฤๅต้านไหว ?
ย่อมเพียงรสหอมหวาน .. เคียงก้านใบ-
รอการไต่ตฤปน้อม .. หวานหอมนั้น !
O กาแฟรสหอมกรุ่น .. ยังอุ่นอยู่
ชั่วเลศชู้เผยให้ .. ความไหวหวั่น-
เผลอโชนแวววาบสู่ ให้รู้กัน-
ว่า - ความสั่นในอก .. เกินยกพ้น
O ขณะความอ่อนหวาน นั้นปานว่า-
เพรียกห่วงหาจากทรวงให้ร่วงหล่น-
คอย-รูปนามจู่ล้อม .. อย่างยอมตน-
อย่างไม่คิดดิ้นรน .. ให้พ้นมือ !
O ชั่วกาแฟรวยริน .. อวลกลิ่นผ่าน
คือ .. ชั่วหวานล้อมกัก .. อาจหักหรือ ?
ก็เมื่อสิ่งที่เห็น .. ที่เป็น คือ-
งาม-ยุดยื้ออาวรณ์ .. เกินผ่อนแล้ว
O ฤๅ-หัตถ์พรหมจับวางลงขวางไว้
สอบว่า-ห้วงจิตใจ .. เคยไหวแผ่ว-
หลังต้องรูปโจมจับ .. จะพรับแวว-
รับรองความผ่องแผ้ว .. ฤๅ-แล้วเลือน ?
O บัดนี้คงรับรู้ .. ว่าผู้ใด
ต้องอาลัยรำบายลงป่ายเปื้อน
ทั้งสำทับลงจิต .. คอยติดเตือน-
การเหลือบ .. เบือน .. ชม้อยชม้ายแห่งสายตา
O บัดนี้คงรับรู้ .. ว่าผู้ใด-
พร้อมหัวใจเฝ้าคอยละห้อยหา
ทุกช่วงลมโหมเห่กาลเวลา
แววในตาจะเห่โหม .. อยู่โครมครืน !
O ในความเงียบ, ความงามค่อยลามล้อม
เพรียกใจห้อมแหนรับทั้งหลับตื่น
เมื่อเหน็บหนาวลมร่ำ .. ฝ่าค่ำคืน
งามย่อมขืนเข้าขับให้อับจน
O เมื่อความเงียบ .. ยอมงามเข้าลามล่วง
ถ้วนเหน็บหนาวในทรวงย่อมร่วงป่น
ตราบเมื่องามลามล้อม .. ให้ยอมตน
จักฝ่าพ้นงดงาม .. เอายามใด ?
O ท่ามกลางห้วงคำนึง .. หวานซึ้งนั้น
แวววาบสั่นในยาม .. ยังวามไหว
วางรูปตรึงสัญญาเกินฝ่าไป-
พ้นอาลัย .. หน่วงเหนี่ยว .. แม้เสี้ยวยาม
O ใช่ไหมว่า .. ต้องคิดรับผิดชอบ-
การ-หลบ, ลอบเหลือบ, ชม้อย .. เหมือนคอยล่าม-
รัด .. อารมณ์แห่งชาย .. วุ่นวายตาม-
แวววับวามสั่นช่วง .. ในดวงตา !
O ใช่ไหมที่ .. ต้องคิดรับผิดชอบ-
การสบตอบหวานซึ้งอยู่ซึ่งหน้า
การข่มยิ้มแสร้งเมินขัดเขินอา-
รมณ์ .. ให้ชายเสน่หาในอาการ
O วาบวามแววปลั่งช่วงในดวงตา
พร้อมแก้มหน้าเนียนเนื้อแดงเรื่อ .. ซ่าน
แปลว่า .. ตาสบกันเมื่อวันวาน
จดสงสารทุกวง .. เป็นวงเดียว !
O นับคาบเพื่อทวงสิทธิ์รับผิดชอบ
แต่-ตาสบ, หลบ, ตอบ คอยลอบเหลียว
จนสายใยแฝงเร้นฟั่นเป็นเกลียว-
ยอมแล้ว-ใจถูกเหนี่ยว .. ด้วยเรียวมือ !
Create Date : 25 พฤศจิกายน 2555
Last Update : 19 พฤษภาคม 2566 7:21:38 น.
16 comments
Counter : 3927 Pageviews.
Share
Tweet
มาปูเสื่อรออ่านค่ะ
โดย: medkhanun IP: 202.28.45.10 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:59:11 น.
สวัสดีค่ะ
.....จบแล้วหรือค่ะ
...ไพเราะมากค่ะ
โดย: จิดา IP: 202.44.139.173 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:51:22 น.
เม็ดขนุน
เสื่อเปื่อยหมดแล้วมั๊ง กว่ากลอนจะจบได้ 555
จิดา ..
ครับ จบแล้ว .. สดๆร้อนๆ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:9:09:10 น.
สดายุ...
ตามกลิ่นหอมของกาแฟมา..รับความหอมกรุ่นในดวงจิต
O กาแฟรสหอมกรุ่น .. ยังอุ่นอยู่
ชั่วเลศชู้เผยให้ .. ความไหวหวั่น-
เผลอโชนแวววาบสู่ ให้รู้กัน-
ว่า - ความสั่นในอก .. เกินยกพ้น
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.197.33 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:10:35:19 น.
มินตรา ..
ความน่ารักของสตรีมักไร้ขีดจำกัดในสายตาชาย (แท้ๆ-55) อยู่ที่ "จริต" ที่สอดรับกันได้อย่างไม่รู้ตัวล่วงหน้า .. และหากเป็นเช่นนั้นแล้วล่ะก็ .. สุรโลกชะลอลงก็คงใช่ ..
ผู้หญิงหลายคนปรุงแต่งจริตอย่างไรก็ไม่"กระทบตากระทบใจ" หากว่านั่นไม่ต้องกับจริตของชายผู้ที่กำลังมองอยู่
ขณะที่อีกหลายคน ทำอะไรก็ น่ารักน่าเอ็นดู ไปหมด
ชายจำนวนมากกว่าครึ่ง ชอบที่จะสัมผัสกับความอ่อนหวานอ่อนโยน ของวัยสาวมากกว่าความห้าวหาญปานจะออกทัพจับศึก - 55
และความ อ่อนหวาน อ่อนโยน นั้นต้อง อุบัติขึ้นจากภายใน .. มิใช่สวมใส่ครอบลงจากภายนอก (หรือการแสร้งปรุงแต่งขึ้นมา) .. ผู้ชายอาจจะโง่ไปบ้างในช่วงแรก แต่ ในที่สุดก็จะแยกแยะได้เองว่า เป็นเรื่อง ภายใน หรือ เป็นเรื่อง ภายนอก
บริบทที่เขียนนี้ .. เกิดขึ้นบ่อยในสมัยอยู่ในสังคมเมืองหลวง .. มันเป็นเหมือนนิมิตกรรมแห่งจิตวิญญาณ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:11:01:14 น.
สดายุ..
"บริบทที่เขียนนี้ .. เกิดขึ้นบ่อยในสมัยอยู่ในสังคมเมืองหลวง ..มันเป็นเหมือนนิมิตกรรมแห่งจิตวิญญาณ"
"นิมิตกรรมแห่งจิตวิญญาณ" นี่มินตรามิทราบว่า หมายถึงอะไร..แปลว่าอย่างไร..
แต่"เกิดขึ้นบ่อยในสมัยอยู่ในสังคมเมืองหลวง " ทำให้นึกถึงพราน ไล่ล่าเนื้อ ซึ่งเป็นสัญชาตญาน ส่วนหนึ่งของมนุษย์...
ในการศึกษาของวัฒนธรรมตะวันตกคือในยุโรปนั้น..มีวิขาหนึ่งเรียกว่า RHETORIC ซึ่งหมายถึงการฝึกใน"การใช้คำ"ทั้งในภาษาเขียนและ ภาษาพูด..เพื่อใส่เหตุผลลงไปชักชวนให้ผู้ฟังคล้อยตามคิดตามในสิ่งที่ ตนเองคิด..ซึ่งทำกันมาตั้งแต่สมัย อริสโทเทิล ..ผู้ที่"ต้องฝึก"วิชาเหล่านี้คือ อาชีพเช่น ทนายความ..นักการฑูต..นักกฎหมาย..
แต่คำนี้ ภาษาไทยแปลว่า...
rhetoric (เรท'เทอริค)
n. ศิลปะการใช้ถ้อยคำ, วาทศิลป์, เชิงสำนวน, ศิลปะในการพูดชักจูงใจคน,
เชิงคุยโว, เชิงโวหาร
Synonym: expressiveness, bombast
ซึ่งมิใช่..ในการใช้งานในชีวิตจริง..มิใช่คุยโว
จึงเพิ่งจะเข้าใจว่า ทำไม คนไทยจึงคิดว่า" การถกเถียงเรื่องใดให้จบข้อสรุปที่ทั้งสองฝ่ายยอมจำนน "นั้น..จึงเป็น "ปานจะออกทัพจับศึก "
แล้วมนุษย์ผู้ชายก็จะมีวาจาก้าวร้าว ดูหมิ่นดูถูกสตรีว่า สตรีเช่นนี้ ฉันไม่เลือกมาเป็น"คู่ควร."..
นี่มิใช่ วิถีทางหนึ่งในการ ลดสิทธิสตรีรึ..
แล้วจะเรียกร้องประชาธิปไตยไปทำไม ในเมื่อตนเองยังไม่ให้สิทธิแก่ผู้อื่น...ฮึ..ฮึ..
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.197.33 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:16:11:22 น.
มินตรา
ท่าทางจะไม่เข้าใจที่เขียนเอาไว้ .. เลย !
ที่พูดนั่นย่อมมิใช่การลดสิทธิสตรีอะไรทั้งสิ้น .. และไม่ได้เกี่ยวข้องกับใครคนใดคนหนึ่งทั้งสิ้น ..
เหมือนกับการบอกว่า .. ชอบดอกกุหลาบเหลือง .. ชอบทะเลมากกว่าภูเขา .. ชอบทานส้มมากกว่ามะละกอ .. มันเป็นเรื่องของอะไร ?
เพราะว่า .. ใครอยากเป็นเยี่ยงไร .. เขาก็เป็นเยี่ยงนั้นได้โดยชอบ .. เพราะเป็นเรื่องของจริตแห่งตัวตนที่เราไม่อาจปฏิเสธ ..
แต่ความชอบ หรือ ไม่ เป็นสิทธิ์โดยชอบของเราที่เป็นบุคคลที่สองที่เห็นอยู่เช่นกัน .. จริงไหม ? (แม้จะไม่รู้จักไม่เคยพูดคุยเลยก็ตาม .. แต่เราก็บอกได้ว่า แบบนั้นชอบ แบบนั้นไม่ชอบ - จริงไหม)
มีใครห้ามความชอบหรือไม่ชอบต่อจริตหนึ่งๆที่เห็นเบื้องหน้าได้ ? ไม่ว่าหญิงหรือชาย
เราไม่ได้กำลังพูดกันถึง ความถูกต้อง หรือ ความไม่ถูกต้อง .. แต่เรากำลังพูดถึงเรื่อง ความสอดคล้องต้องกันของจริตของคนสองคน
หญิง แบบไหนที่ชายคนหนึ่งชอบ
หรือ ชายแบบไหน ที่หญิงคนหนึ่งชอบ
มันเป็นเรื่องของอะไร ? .. สิทธิเสมอภาคทางเพศ ?
หรือเรื่องรสนิยมอันเป็นปัจเจกภาวะ ?
ทำไมถึงได้อ่อนไหว กับเรื่องสิทธิสตรีนี้มากมาย .. ในสังคมตะวันตกอย่างเยอรมันที่ให้เกียรติสตรีมากอยู่แล้วเป็นปกติ ?
ถ้าชายคนหนึ่งบอกว่า ชอบอาหารรสเผ็ด ..
แปลว่าเขาเหยียดสิทธิของอาหารรสหวาน หรืออย่างไร ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:12:42 น.
ดายุ..
คิดว่าเข้าใจนะ...
แต่ที่ต้องรีบออกตัว..เพราะ ทั้งแม่และทั้งคุณครู พูดไว้ตั้งแต่เด็กจนโต..ว่า ดื้อนะ ใครพูดอะไรไม่เชื่อฟังนะเลยต้องรีบใช้ทฤษฎีเข้าปกป้องตนเองไว้ก่อน..
ยังไงก็ยังโยนความผิดพลาดประการใดใดอันจะเกิดขึ้นได้ กลับไปให้ เจ้าของทฤษฎีได้..
ประกอบกับ"การใช้คำ"(rhetoric) มิว่าจะเป็นร้อยแก้ว หรือที่สูงขึ้นไปอีก ร้อยกรอง เช่นโคลง หรือ ฉันท์..แสดงถึงวิวัฒนาการของมนุษยชาติ ทั้งทางความคิดและปัญญา..ซึ่งมินตราชื่นชอบนัก...
เคยจะไปสมัครเป็นแฟน อังคารเพราะอ่าน"เสียเจ้า" และเคยจะไปขอเป็นแฟนจักรพันธ์ เพราะท่านวาดสาวไทยซะหมดจรดงดงาม...ดีที่เพื่อนเพื่อนเตือนไว้ว่า อาจารย์จักรพันธ์จะเลิกวาดรูปทันทีหากเห็นมินตรา...
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.197.33 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:49:26 น.
ดายุ...
เคยคิดจะเลิกเขียนฉันท์ทันที ที่มินตรา ชื่นชมรึเปล่านี่..ฮึ
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.197.33 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:17:54:17 น.
มินตรา..
โคลงเป็นของทางล้านช้างล้านนาคือพวกลาว .. เรียบๆเนิบๆ เน้นเสียงต่ำสูงแบบลักษณาการทางภาษาของคนพื้นถิ่นแถวนี้ ..
ขณะที่ฉันท์เป็นของแขก .. มีการเล่นจังหวะจะโคน .. พัวพันมากับตำหรับตำราทางศาสนาซึ่งเป็นของสูง .. ภาษาที่จดจารในฉันท์ที่เป็นภาษาเดียวกับภาษาทางศาสนา จึงถูกมองเป็นของสูงไปด้วย .. แต่กลับกลายเป็นข้อด้อยไปในยุคปัจจุบัน เพราะคนอ่านไม่รู้เรื่องก็เลยไม่อ่านไม่สนใจ ..
การเขียนร้อยกรองทั้งสองชนิดนี้ให้ดีจึงต้องตั้งใจมากกว่าปกติ ..
ยิ่งการประยุกต์ใส่สัมผัสสระแบบกลอนและสัมผัสอักษรแบบโคลงเข้าไปในฉันท์ .. มันจะยากขึ้นไปอีก .. แต่หากทำได้ ก็จะเป็นความภาคภูมิใจไปนับนาน .. 55
ส่วนการสื่อเรื่องราว .. อย่างไรก็สู้กลอนแปดไม่ได้ .. โดยเฉพาะแนวโรแมนติกหนุ่มสาว .. กลอนแปดนั้นไร้เทียมทาน
.
.
ส่วนคำนั้น .. "นิมิตกรรมแห่งจิตวิญญาณ"
นิมิต ๑ ก. นิรมิต, สร้าง, แปลง, ทํา. (ป. นิมฺมิต; ส. นิรฺมิต).
นิมิต ๒ น. เครื่องหมาย, ลาง, เหตุ, เค้ามูล; (แบบ) อวัยวะสืบพันธุ์. (ป., ส. นิมิตฺต)
แปลว่า .. เป็นการสร้างเรื่องราวขึ้นมาของจิตภายใต้ภาวะการรับรู้ทางตาที่ถูก activate โดย จักขุวิญญาณ
แปลต่อได้ว่า .. เมื่อตากระทบกับรูปหน้าอันสวยงามต้องกับจริตส่วนตน (ประมาณรูปหน้าในรูปประกอบกลอน - ใหม่ ดาวิกา .. สวยเหลือเกินแม่เจ้าประคุณเอ๋ย .. ) แล้ว .. เกิดอารมณ์รับรู้รูป เกิดความพอใจ (ดูสิ .. ดวงตาคมกริบบาดใจ จมูกโด่งเป็นสันเขา ปากเจ่อๆอิ่มๆ แก้มเนียนๆ .. เฮ้อ ) เกิดความยึดมั่นในรูปนั้น แล้วนั่งเสพรับความรื่นรมย์ใจกับรูปตรงหน้า แล้วเกิดเป็นอารมณ์ที่หลงรักรูป .. แล้วรู้สึกใจหายเมื่อต้องจำพรากรูปนั้นไป คือทุกข์ คิดถึง ละห้อยหา คร่ำครวญ .. ครบ
ความทุกข์เยี่ยงที่พรรณนามานั้น เกิดขึ้นบ่อยแถวๆ สยามสแควร์ .. แต่ตามบ้านนอกเยี่ยงลำปางยังไม่เคยเกิดแม้สักครั้ง ... 55
หวังว่า คงอธิบายความได้แจ่มแจ้งควรแก่เหตุแล้ว
เอวังก็มีด้วยประการะฉะนี้
โดย:
สดายุ...
วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:19:16:45 น.
สดายุ..
ฉันท์เป็นของแขก.
".. แต่กลับกลายเป็นข้อด้อยไปในยุคปัจจุบัน เพราะคนอ่านไม่รู้เรื่องก็เลยไม่อ่านไม่สนใจ" ก็มีไว้ให้ ชนที่มี"ความรู้"มิใช่รึ.
"ส่วนการสื่อเรื่องราว .. อย่างไรก็สู้กลอนแปดไม่ได้ .. โดยเฉพาะแนวโรแมนติกหนุ่มสาว .. กลอนแปดนั้นไร้เทียมทาน ."..ดาษดื่นไป..ง่ายเกินไป..
"ยิ่งการประยุกต์ใส่สัมผัสสระแบบกลอนและสัมผัสอักษรแบบโคลงเข้าไปในฉันท์ .. มันจะยากขึ้นไปอีก .. แต่หากทำได้ ก็จะเป็นความภาคภูมิใจไปนับนาน ."...คนอ่านก็ภูมิใจที่ยังมีโอกาสได้อ่าน อะไรที่"ต้องใช้ฝีมือ" มาให้อ่าน..นะ.
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.197.33 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2555 เวลา:22:22:41 น.
มินตรา ..
เหมันตดิเรกฉันท์ ๑๕
O โดยเหตุ .. เพราะเนตระผสาน
ภพะคราญก็เคล้าระคน
แจ้งนัย .. หทัยก็อนุสน-
ธิกระวนกระวายเพราะหวัง
O นวลปรางสะอางลุหิตะเรื่อ
กระแหนะเนื้อประนอมประนัง
สมเสพ .. วิเลปนะพลัง-
ก็ประดังอุราระรัว
..
ลองฉันท์แบบสะบัดสะบิ้งดูบ้าง
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:8:31:16 น.
ดายุ...
"เหมันตดิเรกฉันท์ ๑๕" นี่เป็นงานประดิษฐ์ เอง ใช่ไหม..เก่ง..ตื่นขึ้นมาเห็น..ชื่นตาชื่นใจนัก..
ความสามารถระดับนี้ น่าจะส่งเสริมให้มีงานฉันท์เพิ่มมากขึ้นอีก..มินตรารู้จักแต่"นายชิต"..
ทราบไหมว่า ในยุโรปก็มีการประดิษฐ์คำลักษณะฉันท์นี่แหละเป็นบทสวด บทสรรเสริญ..เนื่องในวันแต่งงาน วันมงคล..วันรับขวัญ..แต่มักจะเป็นตระกูลเก่าเก่า
คิดว่ามิใช่เรื่องความรู้หรือเรื่องเงินแต่เพียงอย่างเดียว คงเป็นวัฒนธรรมที่ในสังคมต้องรักษาไว้..ท่านบิชอบคงไม่ยอมให้ ใครก็ได้ มาแต่งบทสวด ตามแต่ใจตน..
แปลกนะ ในสังคมอารยะนี่..ความเหมือน จะเป็นไปทั่วโลก ดุจว่าจะมีแหล่งที่มาเดียวกัน เช่นในศาสนา..
ขึ้นบทใหม่ ด้วยฉันท์นี้ซิ..แล้วก็คงต้องเย้วเย้วแบบ เอลิซ่า ที่ขอให้"ลุงบีโธเฟ่น"แต่งเพลงให้หนูสักเพลงซิ..ให้มินตรานะ (ไม่มีใครเค้าอ่านหรอกนอกจากมินตรา..เฮอะ..เฮอะ..) ลุงสดายุ.."ฉันท์ตามสั่ง"
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.193.161 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:45:29 น.
ถึงท่านผู้อ่านทุกท่าน
ประโยคที่ว่า "ให้มินตรานะ (ไม่มีใครเค้าอ่านหรอกนอกจากมินตรา..เฮอะ..เฮอะ..) ลุงสดายุ.."ฉันท์ตามสั่ง" นั้น..มิใช่เป็นการสบประมาท ท่านผู้อ่านท่านใดเลย...
แต่เป็น"นิสัยเสีย" ที่ติดตนของมินตรา (แม่ว่า) คือ จะเอาอะไร ก็ต้อง"ขู่ฟอดฟอดไว้ก่อน..จะพูดจะจาให้ดีดี ก็ไม่เป็น.." น่ะค่ะ
จึงขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
ลงชื่อ บุษบามินตรา
โดย: บุษบามินตรา IP: 79.205.193.161 วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:12:55:18 น.
มินตรา..
ผมไม่ได้ประดิษฐ์เอง เป็นฉันท์ที่ คมทวน คันธนูประดิษฐ์ หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจนัก
อินทวงศ์ฉันท์ 12
ราชาประชุมดำ-
ริหะโดยประการะดัง
ดำรัสตระบัดยัง
วจนัตถ์ปวัตติพลัน
ให้ราชภัฏโป
ริสะไปขมีขมัน
หาพราหมณ์ทุพลอัน
บุระเนระเทศะมา
สามัคคีเภทคำฉันท์, ชิต บุรทัต
เป็นการเอาวรรคคี่ ของวสันตดิลกฉันท์ มาผสมกับวรรคคู่ของอินทวงศ์ฉันท์ เท่านั้นเอง
การลงท้ายวรรคคู่ด้วยคำคู่ควบแบบนี้เราเรียก ... สะบัดสะบิ้ง
กระวนกระวาย
ตระกลตระการ
ขมักเขม้น
เฉลิมฉลอง
ประดับประดา
กระบิดกระบวน
ขมุกขมัว
ระหกระเหิน
ตุหรัดตุเหร่
กระเหี้ยนกระหือ
ตะกุกตะกัก
ขยุกขยิก
ขยักขย่อน
ฯลฯ
หากใช้คำพวกนี้ได้ ทั้งหมด ถึงจะมีฝีมือจริง เพราะต้องให้ความหมายได้ด้วย .. มิใช่จะทำได้โดยง่าย ..
แต่อารมณ์คนเขียนนี่ต้อง มีก่อนเป็นอันดับแรก .. 555
เดี๋ยวขอดูละคอนที่ สาวสวยข้างบนแสดงก่อน แล้วเดี๋ยวกลอนลื่นไหล ..
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:13:54:46 น.
ว่าด้วยเรื่องมานุษยวิทยา
มินตราลองพิจารณารูปใบหน้าด้านข้างให้ดีว่า ..
เมื่อ คอเคซอยด์ผสมกับมองโกลอยด์แล้ว .. จะค่อนข้างลงตัวกว่าของเดิมมากนัก .. คือไม่แป้นแร้นแบบเอเชีย และไม่ถึงกับเป็นเส้นเป็นสันแหลมมากแบบยุโรป ..
เด็กลูกครึ่งในเอเชียจึงเหมือนจับจองพื้นที่ในแวดวงบันเทิงไว้เกือบหมดสิ้น .. เพราะความลงตัวของ Figure รูปหน้า ตามพิมพ์นิยมคือ
- ตากลมโตมีเปลือกตาสองชั้นชัดเจน
- จมูกโด่งเป็นสัน
- ริมฝีปากบนล้ำริมฝีปากล่าง
- แก้มมีโหนก แต่มีเนื้อแบบเอเชีย
- ผิวค่อนข้างขาว
- ร่างกายเพรียว สูง มีอก มีเอว มีก้น
นี่คือพิมพ์นิยม
และจะนิยมไปอีกนับนาน ..
ดูรอบตัวมินตราสิ .. ออกไปทางโด่งแหลม มากไปหน่อยจริงไหม ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 30 พฤศจิกายน 2555 เวลา:14:12:36 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.