ทฤษฎี"การระเบิดครั้งใหญ่" ( the big bang theory )เป็นคอสโมสโมเดล( cosmological model )แสดงให้เห็นวิวัฒนาการของจักรวาล
Big Bang model บอกว่า ในนาทีหนึ่ง( moment )สาร(matter )ในจักรวาล( universe )รวมตัวกันในจุดเดียว( a single point) ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของจักรวาล พระชาวเบลเยี่ยม Georges Lemaître (1894 -1966)เป็น ผู้เสนอเรื่อง Big Bang theory ในปี 1927.
ส่วนกรอบงาน(framework )สำหรับ Big Bang model นั้นมาจากทฤษฎีของไอชไตน์( Albert Einstein's general relativity)ในปี1915
นักฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ชาวเยอรมัน Karl Schwarzschild ( 1873 1916)เป็นผู้เสนอวิธีแก้ปัญหา( solution )ในปี 1916 หนึ่งเดือนหลังจากที่ ไอชไตน์เสนอทฤษฎี(Einstein's theory of general relativity) เรียกว่า หลุมดำชวาสชิลด์ Schwarzschild black hole.
ดาราศาสตร์( cosmology) จะรวม space และ timeเป็น หนึ่งเดียวเรียกว่า spacetime คือหนึ่งจักรวาล(universe)ซึ่งตามทฤษฎีคณิตศาสตร์ จะเต็มไปด้วย"events"
นักฟิสิกส์อเมริกัน Howard Georgiและ Sheldon Glashow ตั้งทฤษฎีการรวมตัวของสามแรง... unification of the strong, weak, and electromagnetic forces เรียกว่า Grand Unified Theories (GUTs)ในปี1974.
และทฤษฎีที่รวมแรงดึงดูด (gravity )เข้ามาเป็น แรงเดียว จากแรงพื้นฐานทั้งสี่ เรียกว่า Superunified Theories. นี่คือ theory of everythingที่ ฮอว์คิงบอกว่าเป็นทฤษฎีเดียวที่ตอบปัญหาเรื่องจักรวาล
นักฟิสิกส์ทฤษฎีค้านว่า พลัง(power) ที่ออกมาจากหลุมดำที่เรียกว่า Hawking radiation สามารถจะตอบได้ด้วยทฤษฎี Schwarzschild black hole
การวิเคราะห์เรื่อง complete analysis of the singularity structure ที่ นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมันDavid Hilbert (1862 1943)เสนอหนึ่งปีหลังจากไอชไตน์ ประกาศทฤษฎี (Einstein's theory of general relativity) เป็นการเสนอ ในมิติใหญ่(large extra dimensions)ใช้ values of Planck constants เป็น formulas ตอบเรื่อง Hawking radiation ได้เช่นเดียวกัน..( หมายความว่า ทุกคำตอบมีอยู่แล้วในทฤษฎีที่ มัก พลั้ง เสนอมา) ในขณะที่ ฮอว์คิง ยังไม่เสนอเรื่องHawking radiationในมิติใหญ่เลย..
ฮอว์คิง โด่งดังมาก ในฐานะ popular science writer ............................................... หากไม่เขียนยาวยาวจะไม่มีความเข้าใจที่ตรงกันน่ะนะ
โอย..นี่ หลบฝนจากอักษะมาในเวป ก็ยังเจอ"กลางฝุ่นฝน" อีกรึนี่..!
ตอนนี้พยายามจะเป็นสาวที่"มีมันสมอง"ระดับ คุยกับสดายุในเรื่อง
สตีเฟน ฮอว์คิง ได้..สงสัยสดายุจะเลิกรักแล้วล่ะ...
เพราะ ไปสะดุดที่ Hawking radiation เรื่อง การแผ่รังสีของวัตถุดำ (Blackbody Radiation)ที่หลุมดำ ( black holes)จะปล่อยออกมา..
ตามที่ฮอว์คิงเสนอในปี1974 จนมีการพนันกันในวงนักทฤษฎีฟิสิกส์ ลั่นโลก ..
ThorneHawkingPreskill bet ว่า คำนวนบนกระดาษในทางคณิตศาสตร์น่ะได้..แต่ใน"ปรากฎการณ์ จริง"( phenomena)น่ะ เป็นไปไม่ได้..
นักดาราศาสตร์ (astronomer)รุ่นที่ตั้งสาขาวิชาอะตอมมา จึง อธิบายปรากฎการณ์ธรรมชาติด้วยความจริงจากสิ่งที่มีประสพการณ์เห็นมาด้วยตนเอง..'what is experienced is the basis of reality'
แล้วใช้ระบบ ส่วนย่อยและส่วนใหญ่( part-whole)ที่มินตราพูดถึง "mereology" ไงคะ..
อะตอมคือส่วนเล็กที่สุดที่แบ่งแยกไม่ได้อีกแล้ว ในระดับที่มนุษย์จะพิสูจน์ได้ด้วยตนเอง...และนี่เป็น"ตรรกะ" ในธรรมชาติ(Logic)...มีเหตุ (cause)และมีผล( effect)..Causality
จนมาถึงในศตวรรษที่19 นักคณิตศาสตร์เยอรมันชื่อ เกออก คันทอร์( Georg Cantor 1845 1918) ได้ใช้ตัวเลข เป็นตัวพิสูจน์ความจริง..
ตรรกะทางคณิตศาสตร์(mathematical logic)
เมื่อดายุเอ่ยนาม สตีเฟน ฮอว์คิง ขึ้นมา มินตราก็เลยขำว่า ตรรกะทางคณิตศาสตร์(mathematical logic) กำลังเป็นพิษ 555
คือ ฮอว์คิง ใช้ทั้งความยาวของ พลั้งค์(Planck length)
นักทฤษฎีฟิสิกส์เยอรมัน มักซ์ พลั้งค์ (. Max Planck,1858 1947) ผู้ตั้ง quantum theoryและได้รับ Nobel Prizeทางฟิสิกส์ในปี 1918 เสนอ..
มาใช้ย้อนรอย"ต่อยอด" เสนอความคิดที่ "ยังพิสูจน์ไม่ได้ด้วยการทดลองจริงแล้วและยังต้องถกกันต่อไป" (สำนวนนักวิชาการที่จะปฎิเสธอะไร)
นักวิทยาศาสตร์จะใช้คำว่า popular science สำหรับผู้เสนอความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้มวลมหาประชาชน รับรู้และเข้าใจได้ง่ายง่าย
นี่คือสิ่งที่ แยกออกจาก science
มี สองทฤษฎี ที่ ฟิสิกส์ปัจจุบันนั้น ใช้คือ General Relativity และ Quantum Mechanics ที่ใช้ในการศึกษาเข้าใจเรื่องจักรวาล (universe)
ก็เป็นอย่างที่ ดายุบอกมาคือ
1.ภาพรวมใหญ่มาก( large-scale and high-mass)
ใช้ General Relativity เป็นกรอบในการศึกษา
1.2.ภาพเล็ก (small scale and low mass) จะใช้ Quantum Mechanicsเป็นกรอบในการศึกษา
และแรงทั้งสี่ที่ว่ามานั้นเป็นแรงพื้นฐาน ( Fundamental Forces)เกิดจาก Big Bang กำเนิดของจักรวาล
ส่วน theory of everything นั้น แปลเป็นไทยว่า "ทฤษฎีร้อยแปด"
เป็นคำขำขัน...
ว่าจะไม่ตอบแล้ว เกรงจะไม่พอใจ แต่มานั่งนึกดูว่า..
การตอบนี่ จะแสดงให้เห็นว่า "วิธีการเรียนรู้ "ที่ต่างกันของเยอรมันที่ต้องไปเริ่มจากแหล่งกำเนิดและวิวัฒนาการของความรู้..จะทำให้เราคิดแบบวิเคราะห์ได้ จึงต้องตอบ..
ไม่รักก็ต้องยอมนะนี่..555