Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
ตุลาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
5 ตุลาคม 2557
O สุดหัวใจ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O สุดหัวใจ .. O
อัศวลีลา - ลาวดวงดอกไม้
.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง
ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หา
เสี่ยงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา
ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย ..
.. เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์
ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลาย
รักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย
ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..
O เสนาะพากย์เพลงยาว .. กลอนเจ้าฟ้า
ดั่งแว่วมา .. ให้สดับเสียงขับขาน
กระซิบความสื่อล่วง .. สู่ดวงมาน-
ของนงคราญรูปพิไลผู้ใยดี
O รำพันพากย์เอื้อนอ้อนเสียงอ่อนหวาน
บอกรูปคราญจำหลักเป็นสักขี
เสน่หาอาลัย .. เยื่อใย-มี
มอบบัตรพลีในนามของความรัก
O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น
O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา
O ชายฟ้าเลื่อนเตือนตะวันกล่อมขวัญสรวง
ปลดเงื่อนบ่วงโศกสร้อยทุกรอยเหงา
หลังสายลมแผ่วลูบ, จึง-รูปเยาว์-
เหมือนอยู่เฝ้ารุมล้อมไม่ยอมคลาย
O หรือ-งามชาติรูปนั้น .. จากบรรพกาล
จักข้ามผ่านภพชาติ .. ด้วยมาดหมาย-
ร่วมจุนเจืออาลัย .. แห่งใจชาย-
พา .. วนว่ายเสน่หา .. ห้วงอาวรณ์
O หรือบุญสร้างบาปสม .. เกินข่มห้าม
สบรูปแล้วรูปนามก็ตามหลอน
อิริยาพากย์เล่า .. แสนเว้าวอน-
เหมือนออดอ้อนแฝงเร้น .. อยู่เช่นนั้น
O โอ รูปลักษณ์รมยา .. เดียงสาโลก
กรรมเมื่อโบกโบยนัย .. พาไหวหวั่น
ต้อง-เงื่อนนัยแห่งชู้ .. โจมจู่ พลัน-
ย่อมผูกพันมั่นอยู่ .. ไม่รู้คลาย
O ครั้งนั้นหวายโบยหลัง .. จนพังยับ
จวบชีพวิญญาณลับ .. ลมดับหาย
ถูกลบรูป-นามทิ้งทั้งหญิงชาย
พร้อมแรงสายสวาทชู้เคียงคู่กัน
O ครั้งนี้ แรงอาวรณ์เคยซ่อนอยู่
เคยรับรู้อาศัย แต่ในฝัน
กลับต้องเผยภพชาติ .. มาพาดพัน
จากบุญบาปเบื้องบรรพ์คอยบัญชา
O อธิษฐาน .. เพรงวาสน์ให้พาดช่วง
จนแหนหวง .. เฝ้าคอย .. ละห้อยหา-
เติบเต็มอยู่ในทรวงไม่ล่วงลา
จนแววตาอาวรณ์ .. นั้น-ร้อนรน
O กี่ห้วงเวียนวงวัฏฏ์ของสัตว์โลก
อาจฝ่าโศกสุมสั่ง .. สักครั้งหน
กี่ช่วงคาบปฏิพัทธ์ .. รำบัดตน
อาจฝ่าพ้นเสน่หา .. ที่ท้าทาย ?
O เมื่อเผยรูปเผยนาม .. มาตามผลาญ
เผยอ่อนหวานอ่อนโยน .. ออกโชนฉาย
รู้หรือไม่ .. ด้านในหัวใจชาย-
ไม่ต่างหวาย .. โบยหลังเมื่อครั้งนั้น !
O แม้นรูปกายแตกดับ .. เกินนับชาติ
ยังคงมาดหมายอยู่ -ไม่รู้หวั่น
เพียง-จักขุวิญญาณ .. แผ้วพานกัน-
ย่อมหยั่งสัญญาชู้ .. โถมสู่ใจ
O จึงเมื่อวางชาติภพ .. มาจบ-ต้อง
สัญญาพ้องรูปนาม .. ย่อม-หวามไหว
พร้อมอาการเต้นรัวที่หัวใจ
เมื่อภาพใครลอบเร้น .. บีบเค้นลง
O ครั้งนั้น .. หวายวาดลงที่ตรงหลัง
แม้นเลือดหลั่งโลมกาย .. อย่าหมายบ่ง-
ถอนเอาเสี้ยนรักฝัง .. ที่ยังคง-
วางจำนงข้ามภพ .. รอ-พบเจอ
O ครั้งนี้ .. รอยสวาท .. เหมือนพาดผ่าน-
แววอ่อนหวานเปล่งปลั่ง .. ทุกพลั้งเผลอ-
เนตรชำเลืองเหลือบนำ .. ย่อมบำเรอ-
บำรุงใจพร่ำเพ้อ .. ชะเง้อคอย
O โอ .. วับวาบแววหวาน .. เหมือนผ่านสู่-
ให้รับรู้จดจำแทนคำถ้อย
ว่าจิตใจพร่ำเพ้อ .. จนเหม่อลอย-
เหมือนร่วมร้อยเรื่องขาน .. เมื่อนานปี
O ครั้งนั้น .. โดยจารีตเป็นขีดคั่น
จึงต้องทัณฑ์โทษหนัก .. สมศักดิ์ศรี
สองภพชาติ .. หัวใจ .. ยังไหววี-
ตอบเสียงหวายโบยตี .. ในที่นั้น
O ครั้งนี้ .. โดยรูปคราญ .. เผยผ่านต้อง
เช่นบ่วงคล้องอกใจ .. จนไหวสั่น
ความอบอุ่นอ่อนหวานก็ปานทัณฑ์-
แต่เบื้องบรรพ์รัดล่าม .. เกินข้ามพ้น
O โอ แววเนตรใครหนอ .. ยั่วล้อยาม
ก่อนแสงวามสองดวง .. ค่อยร่วงหล่น-
กลางอาลัยอาวรณ์ .. อันร้อนรน
ใครหนอ .. วนรอบหวาน .. หมุนด้านรอ
O โอ แสงดาวสองดวง ไยช่วงนัก
หมายกุมกักหัวใจ หรือไรหนอ
รูปนามเอย .. แรงชู้ ฤๅรู้พอ-
เมื่อยั่วล้อ .. ทอดตัวกลางหัวใจ ?
.....................
กลอนสองบทแรก .. นำมาจากเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง .. พระอุปราชในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง .. ราชวงศ์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
Create Date : 05 ตุลาคม 2557
Last Update : 18 เมษายน 2566 11:38:43 น.
13 comments
Counter : 3905 Pageviews.
Share
Tweet
สดายุ..
จากคำบรรยาย...
"O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น"
แสดงว่า ด้วยการสังเกตุ การใช้ภาษาและการเล่า เป็นสื่อจึง " รู้ความนัย .. อยู่ในวรรค" ได้...
นี่ กวี หรือ ผู้มีความสามารถในการใช้ภาษา...จะใช้
เป็นอาวุธ ในการ สื่อสาร...ถึงกัน..
โดยไม่จำเป็น ต้องเห็นตัวกัน ได้..
แต่..
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา"
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม" ..นี่ซิ
ที่แสดงว่า เคยใกล้ชิดกันมา..
เยี่ยงเจ้าฟ้ากุ้ง กับ เจ้าฟ้าสังวาลย์ ที่เคยรู้จักรักกันมา
ก่อนที่ต่างจะต้องแยกไปทำหน้าที่...
ใช่ไหมเอ่ย...
แต่ระหว่าง นครปฐม กับ ลำปาง นี่ ใช่จะแยกห่างกัน...
เช่นวังหน้า และ วังหลวง....
ดูจะออดอ้อนเกินจริง( Surrealist ) ไปหน่อย กระมังคะ..
รายการ"จับผิดกวี" ด้วยความหมั่นไส้ ! 555
แต่ "O สุดหัวใจ .. O" นี่..
..คนอ่าน สยิว ตามไปด้วย เลยค่ะ..
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 5 ตุลาคม 2557 เวลา:16:07:29 น.
มินตรา ..
บทที่ยกมานั้น ..
O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น
เป็นการเท้าความถึงเรื่องรักของเจ้าฟ้ากุ้งกับเจ้าฟ้าสังวาลย์ ที่เคยอ่าน .. รับรู้เรื่องราว .. ในแต่ละบรรทัดประวัติศาสตร์มาก่อนแล้วว่า .. "น่าจะชอบพอกันมาก่อนที่เจ้าฟ้าสังวาลย์จะถูกเรียกเข้าเฝ้าจนได้เป็น"นางใน"ของพระเจ้าบรมโกศพระบิดา ซึ่งต้องห้ามสำหรับชายทุกคน แต่สำหรับความรักมันไม่เข้าใครออกใคร มันตัดใจยาก เกินจะหักฝ่าไปได้ ..
พอมาถึงบทนี้ ..
O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา"
เป็นการกลับมาหา"คนตรงหน้า ในหัวใจ" ที่สื่อกันด้วยสายตา คือสองบรรทัดแรก .. แล้วพอบรรทัดที่สามก็สงสัยวา หรือจะเป็น "สองผู้สร้างวีรกรรมลือลั่นในครังก่อนนั้น"จะช่วยดลใจ ให้เหมือนมีการตอบรับเสน่หาต่อกัน เพื่อไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมเช่นอดีต คือช่วยให้สมหวังว่างั้นเถอะ
มันไม่ใช่ว่าสองคนนั่นกลับชาติมาเกิดเป้นสองคนในชาติปัจจุบัน .. แต่เพียงเท้าความถึง เพื่อสื่อความหมายล้อกันไปตลอดกลอนบทนี้
การเอาสองบทแรกของเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้งมาวางไว้เป็นเชื้อ ทำให้เราไม่ต้องบรรยายเยิ่นเย้อ
.
.
O ครั้งนั้นหวายโบยหลัง .. จนพังยับ
จวบชีพวิญญาณลับ .. ลมดับหาย
ถูกลบรูป-นามทิ้งทั้งหญิงชาย
พร้อมแรงสายสวาทชู้เคียงคู่กัน ..
บทนี้เท้าความประวัติศาสตร์ ที่ทั้งสองพระองค์ถูกหวายโบยจนเสียชีวิตทั้งคู่
.
.
O ครั้งนี้ แรงอาวรณ์เคยซ่อนอยู่
เคยรับรู้อาศัย แต่ในฝัน
กลับต้องเผยภพชาติ .. มาพาดพัน
จากบุญบาปเบื้องบรรพ์คอยบัญชา ..
บทนี้ตั้งใจล้อ แถมชี้นำว่า อย่าได้คิดบ่ายเบี่ยงเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้น เพราะนี่คือลิขิตสวรรค์ .. จงเดินเข้ามาสู่อ้อมกอดซะโดยดี - 555
เพราะคนเขียนหากรักใครแล้วจะรักทั้งหัวใจ ไม่มีแทงกั๊กเด็ดขาด จึงต้องตั้งชื่อบทนี้แบบนี้ ..
เชื่อหรือไม่ ?
โดย:
สดายุ...
วันที่: 5 ตุลาคม 2557 เวลา:18:55:31 น.
สดายุ..
ขอบคุณที่กรุณา แปล บทกลอนให้ฟัง..
เห็นไหมว่า ภาษาไทยนี่ พูดแล้วต้องแปล..
เชื่อซิคะว่า...
"O ครั้งนี้ .. โดยรูปคราญ .. เผยผ่านต้อง
เช่นบ่วงคล้องอกใจ .. จนไหวสั่น
ความอบอุ่นอ่อนหวานก็ปานทัณฑ์-
แต่เบื้องบรรพ์รัดล่าม .. เกินข้ามพ้น"
ครั้งนี้ .. แค่ "รูปคราญ .. เผยผ่านต้อง
เช่นบ่วงคล้องอกใจ .. จนไหวสั่น.."
สูตร..36-23-36... !
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 5 ตุลาคม 2557 เวลา:19:41:35 น.
มินตรา ..
เชื่อไหมว่า สำหรับผมแล้ว หุ่นดีมีภาษีกว่ารูปหน้าสวย !
หญิงฝรั่งเขาออกกำลังจนมี 6 packs ตามรูป
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=sdayoo&month=08-2014&date=08&group=137&gblog=1034
แต่สาวไทยหนักไปทาง อดอาหารแบบฉาบฉวย และส่วนใหญ่ไม่ออกกำลัง ทำให้ดูไม่แข็งแรงนัก
ที่จริงบทกลอนหากอ่านไปตามตัวอักษรแล้วแปลไม่ยากนะ .. เพราะเขียนแบบต่อเนื่อง เพียงแต่อย่าตีความซับซ้อนเกินไปเท่านั้น
โดย:
สดายุ...
วันที่: 5 ตุลาคม 2557 เวลา:20:34:43 น.
สดายุ..
หาก มินตรา จะลดน้ำหนักตัว ก็เป็นไปเพราะเสียดายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกายสวยสวย ที่สรวมใส่ไม่ได้
หรือเพราะ รู้สึกอัดอัดตัว จะนั่งจะนอน ก็กลมไปหมด
มิใช่เพราะ ต้องตามใจผู้ชายคนใดคนหนึ่งผู้จะไม่รักเรา เพราะเราเป็นเรา...
"บทกลอนหากอ่านไปตามตัวอักษรแล้วแปลไม่ยากนะ .."
นี่ไงที่เป็นความแตกต่างระหว่าง"ผู้ประพันธ์ "กับ"ผู้อ่าน"
ทราบไหมคะว่า ผู้อ่านน่ะเลือกจะอ่าน สิ่งที่เหมือนตัว หรือวาดภาพว่า"ฉันนี่ล่ะ" คือ ผู้เป็นนางเอก หรือ ผู้ที่ เป็น"สุดหัวใจ"...
นี่คือการอ่านกลอน หรือนิยายของมินตรา ...
จึงได้ "อิน"ในเนื้อหา ไงคะ...ซาบซึ้ง..น้ำตาไหล หรือ สยิว..ตามใจความ ..
ส่วนเรื่องสยอง จะไม่ชอบอ่าน.. และไม่เคยนึกฝันที่จะเป็นนางเอกในเรื่อง แม่นาคพระโขนง...
ยกให้คุณมาร์ค เธอไป...555
"นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ ว่า"...(ตามตำราอีสป ชาวกรีก )
หาก"อ่านไปตามตัวอักษร แล้วแปล.."
ตามสูตร มินตราน่ะ
..มินตราต้องเป็น"สุดหัวใจ"..ไงคะ.. รับไหวไหม 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 6 ตุลาคม 2557 เวลา:10:45:53 น.
มินตรา ..
น้ำหนักที่มากเกินทำให้ ..
.. เสี่ยงต่อโรคอ้วน
.. เสี่ยงต่อโรคความดันเลือด
.. เสี่ยงต่อโรคหัวใจ
.. เสี่ยงต่อโรคริษยาคนหุ่นดี
.. ดูไม่งาม
.. สูตร ความสูง (cm) -120(สำหรับ ญ) = น้ำหนักตัว (kg) เสียหายหมด 555
ดังนั้นหากสูง 158 เมื่อลบ 120 ควรหนัก 38 เองนะ
แต่ผมว่าเอา 115 ลบก็พอ สูง 158 จะหนัก 43 กำลังเหมาะ
จะเห็นว่าเป็นเรื่องสุขภาพทั้งนั้น .. มีเรื่อง good looking แค่ 2 ข้อเอง
จริงไหม ?
เรื่องอ่านแล้วจินตนาการนั้นผมเข้าใจได้และพอใจที่คนอ่าน อิน ไปกับจินตนาการอันสวยงาม ..
มีส่วนทำให้คนมีความสุขย่อมเป็นเรื่องดีงามเด็ดขาด .. ..โดยเฉพาะสุภาพสตรีอันเป็นเพศแม่ .. หวังว่าคงไม่มีใครตำหนิเจตนารมย์นี้หรอกนะ
ส่วน"สุดหัวใจ" ของคนเขียนนั้นเวลาเขียนมักนึกไปถึง "ตัวน้อยๆ" โดยเฉพาะรูป "เงยหน้าจากแก้วน้ำ" นั้นงามหนักหนา ไปทุกทีสิน่า
เพราะนึกหน้ามินตราไม่ออก ..
จะนึกเป็นตัวอักษรในช่องความเห็นก็กระไรอยู่
55
โดย:
สดายุ...
วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:5:24:16 น.
สดายุ..
รูป "เงยหน้าจากแก้วน้ำ" นั้น ..
ต้องขยายความแล้วล่ะค่ะ มิฉะนั้น จะนึกไม่ออกว่า
"งามหนักหนา ไปทุกทีสิน่า "น่ะ เป็นยังไง..
ส่วนที่"นึกหน้ามินตราไม่ออก ..
จะนึกเป็นตัวอักษรในช่องความเห็นก็กระไรอยู่ "นั้น..
ไม่ควรนึก..
เพราะชีวิตในโลกไซเบอร์นั้น ไม่ควรยึดมาเป็นจริงจัง ...
มินตราเอง ไม่เคยรักใคร ที่"ตัวอักษร"โดยไม่ศึกษาถึงนิสัยใจคอ และสิ่งแวดล้อมในชีวิตจริงของคนผู้นั้น...
ชีวิตจริงของคนผู้หนึ่ง ประกอบด้วย พื้นฐานทางจิตใจ ..
อริยาบท ..ชีวิตประจำวันที่ปฎิบัติทั้งต่อหน้าและลับหลังผู้อื่น..เพื่อนที่คบหาสมาคม...
ซึ่ง สังคมในโลกไซเบอร์ไม่มีสิ่งเหล่านี้ ประกอบเลย..
บุษบามินตรา อาจจะเป็นสตรีที่น่ารัก น่าใกล้ชิด ...
แต่ในชีวิตจริง อาจจะ ไม่มีใครเข้าถึงตัวเลยก็ได้..ใช่ไหม
ที่สำคัญคือ บุษบามินตรา มี"ชายเดียวในดวงใจ"แล้ว..
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:8:28:51 น.
สดายุ..
ไปท่องเวป แล้วพยายามหา ..
"รูป "เงยหน้าจากแก้วน้ำ" นั้นงามหนักหนา ไปทุกทีสิน่า "....ของสดายุ
ไปเจอภาพของ "Red Baroness" ในปราสาท ที่เยอรมัน.. 555 คนนี้ รึเปล่า ที่หมายถึงน่ะ ...
ในประวัติศาสตร์ มีแต่ "Red Baron"
นักบินชาวเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 1 "เสืออากาศ "ที่ทหารอากาศสมัยนั้น เกรงกลัวและเคารพ
ชื่อ Freiherr Manfred Albrecht von Richthofen
( 1892 - 1918 )
ท่านนี้ มินตรารู้จักชื่อตั้งแต่อยู่เมืองไทย ตอนดูหนังสงครามโลกครั้งที่1 เรื่อง Blue Max
จนเดี๋ยวนี้ ยังใฝ่ฝันจะ เก่งเยี่ยงท่าน จนได้รับเหรียญ Blue Max บ้าง..
เล่าให้ เจ้ากรมพิธีการฑูตเยอรมันฟัง..ท่านบอกว่า ต้องไปยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามให้หมดทั้งฝูงก่อน !
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:15:07:23 น.
มินตรา ..
ตัวน้อยของผมเขารู้จุดอ่อนผมดี .. จึงเลือกใช้การโจมตีที่ได้ผลเพียงในกระบวนท่าเดียว
ด้วยรูปสาวน้อยในอิริยาบถที่ค่อนข้างเป็นธรรมชาติ ..
.. สองมือประคองข้างแก้มไว้
.. ปากยิ้มเล็กน้อย เห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ
.. ดวงตาเงยขึ้นมองกล้อง
.. ผมปรกระหว่างคิ้ว
.. เรียวข้อแขนซ้ายมือสวมสร้อยเส้นเล็กๆ
.. ตรงหน้ามีแก้วเครื่องดื่มพร้อมหลอดดูด
ภาพนั้นเป็นภาพแรก .. ที่เผยออกมาผ่านตา
วิวาทะที่เคยมีต่อกันบางครั้ง แต่เมื่อยังไม่เคยเห็นหน้าจึงจบลงตั้งแต่นาทีนั้น !
ภาพนั้นติดตัวไปทุกแห่ง ..
แต่หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ก็ไม่ยอมให้วางรูปในบล็อกนี้ เป็นอันขาด .. แล้วใครเล่าจะขัดบัญชาได้
มินตราลองไปหาภาพอย่างที่บรรยายมาสิ .. ว่าจะจินตนาการได้เหมือนไหม
โดย:
สดายุ...
วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:17:10:43 น.
สดายุ...
แค่ ..
"ตรงหน้ามีแก้วเครื่องดื่มพร้อมหลอดดูด"
ก็ทราบแล้วว่ามิใช่ วัฒนธรรมยุโรป ...
ยิ่ง อาหาร"ขึ้นโต๊ะ"
ยิ่งไม่มีการใช้"หลอดดูด"ในแก้ว...เด็ดขาด !
สองโลก..สองวัฒนธรรม..
นี่ไงคะ คือรายละเอียด บนความแตกต่างทางวัฒนธรรม..
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:17:26:45 น.
มินตรา ..
ในร้านฟาสฟู๊ด ทั่วประเทศไทย ไม่มีใครยกแก้วซดหรอก
หลอดดูดมันไม่ต้องใช้ปากสัมผัสขอบแก้ว แบบไวน์หรือวิสกี้ เพราะเขาไม่ได้ดื่มไวน์หรือวิสกี้กัน .. มันคนละอุณหภูมิ คนละบรรยากาศ คนละวัย คนละรสนิยม
และมันมิใช่ รูปแบบของอาหารขึ้นโต๊ะอะไรแบบนั้น .. เด็กหนุ่มสาวเมืองไทยกับชีวิตการพบปะกันในร้านกาแฟ หรือ ร้านริมน้ำ ตอนกลางวัน .. มันคงไม่ต้องแต่งทักสิโด้หรอกกระมัง
โถ แม่คุณ .. จะมาปรุงแต่งจริตกันเรื่องวัฒนธรรมอะไรนักหนา .. คนเอเชียก็คนเอเชีย มันมิใช่ยุโรป ที่แตกต่างกันในทุกเรื่อง
ไปอาศัยเมืองเขาอยู่ ก็ใช่ว่าเขาจะไม่เหยียดผิวไม่ใช่หรือ ?
เดี๋ยวภูมิใจในความเป็นเอเชีย ..
เดี๋ยวก็เหยียดวัฒนธรรมที่แตกต่างกับพวกผิวขาว ..
อารมณ์สองขั้วนะนี่ ..
โดย:
สดายุ...
วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:18:05:51 น.
สดายุ...
มาแล้ว..วัฒนธรรมแบบไทยไทย..
ประชาธิปไตย แบบไทยไทย..
สิ่งที่มินตราพูดถึงเพื่อจะบอกว่า "วัฒนธรรมหลอดดูด" น่ะ เป็นของ พวก "วัฒนธรรมฟาสฟู๊ด"
มิใช่ทั้งของยุโรป และ เอเซีย..
เมื่อจะใช้ "มือ" ก็ควรเรียนรู้"วิธีใช้มือ.."
เมื่อจะใช้ช้อนส้อม แก้ว ก็ควรเรียนรู้ "วิธีใช้ ช้อนส้อมแก้ว"
มิใช่หัวมงกุฎ ท้ายมังกร..
และที่โดน"เหยียดหยาม"น่ะ เป็นเพราะ
ไม่รู้"วัฒนธรรมการกินน้ำพริก"
หรือไปยกย่อง"วัฒนธรรมหลอดดูด "นี่ล่ะ..
อย่ามาไทยไทย ...555
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:18:32:59 น.
มินตรา ..
ผมว่าการไปอยู่กับฝรั่งนานช่วยอะไรไม่ได้มากนักในแง่ภวะวิสัย .. ที่ยังมีความเป็นไทยอยู่มากมายในแง่ การattachment ของจิตวิญญาณที่ถูกครอบงำหรือชี้นำมายาวนาน
ความเป็นไทยที่ฝังลึกในโครโมโซม .. มันถอนไม่ออกด้วยบริบทแวดล้อมหลังจาก 10 ขวบปีแรกของชีวิต .. จะให้คิดเหมือนเขายากมาก .. ต่อให้หลัง 10 ขวบจะอยู่จนตายจากโลกไปก็ตาม
มันเหมือนคนที่ด้อยกว่าไปอยู่สมาคมกับคนที่เหนือกว่าอย่างผู้อาศัย .. จึงมีภาวะการเรียนรู้แบบท่องจำมา และไม่สามารถ transform มาเป็นตัวตนของตัวเองที่แท้จริงได้ .. จึงมีลักษณะครึ่งบกครึ่งน้ำ
เหมือนคนมีปมด้อย
อยู่ในโลกหนึ่งก็รู้สึกด้อย คล้อยตามความเหนือกว่าในด้านต่างๆ แทบทุกกรณี
พอมาอยู่ในโลกหนึ่งก็รู้สึกเขื่อง ตัวพองด้วยอาศัย link จิตวิญญาณกลับไปในที่แรกยอมรับความเหนือกว่านั้นในฐานะผู้ด้อยกว่า เพื่อเป็นหลักพิงทางจิตวิญญาณ
เพราะอาการพลุ่งพล่านของตัวตนที่แสดงออกมามันไม่ใช่มรรควิถีแห่งสถานที่ไปอาศัยพักพิงแม้แต่น้อย
โดย:
สดายุ...
วันที่: 7 ตุลาคม 2557 เวลา:19:22:23 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
จากคำบรรยาย...
"O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น"
แสดงว่า ด้วยการสังเกตุ การใช้ภาษาและการเล่า เป็นสื่อจึง " รู้ความนัย .. อยู่ในวรรค" ได้...
นี่ กวี หรือ ผู้มีความสามารถในการใช้ภาษา...จะใช้
เป็นอาวุธ ในการ สื่อสาร...ถึงกัน..
โดยไม่จำเป็น ต้องเห็นตัวกัน ได้..
แต่..
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา"
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม" ..นี่ซิ
ที่แสดงว่า เคยใกล้ชิดกันมา..
เยี่ยงเจ้าฟ้ากุ้ง กับ เจ้าฟ้าสังวาลย์ ที่เคยรู้จักรักกันมา
ก่อนที่ต่างจะต้องแยกไปทำหน้าที่...
ใช่ไหมเอ่ย...
แต่ระหว่าง นครปฐม กับ ลำปาง นี่ ใช่จะแยกห่างกัน...
เช่นวังหน้า และ วังหลวง....
ดูจะออดอ้อนเกินจริง( Surrealist ) ไปหน่อย กระมังคะ..
รายการ"จับผิดกวี" ด้วยความหมั่นไส้ ! 555
แต่ "O สุดหัวใจ .. O" นี่..
..คนอ่าน สยิว ตามไปด้วย เลยค่ะ..