O สุดหัวใจ .. O
อัศวลีลา - ลาวดวงดอกไม้.. แม้นกุศลเราสองเคยร่วมสร้าง ขอร่วมห้องอย่าได้ห่างเสน่หาเสี่ยงผลที่ได้เพิ่มบำเพ็ญมา ขอร่วมชีวาร่วมวางชีวาวาย .... เกิดไหนขอให้ได้ถนอมพักตร์ ความรักอย่าได้ร้างอารมณ์สลายรักนุชอย่าได้สุดเสน่ห์คลาย ขอสมหมายที่ข้ามาดสมาทาน ..O เสนาะพากย์เพลงยาว .. กลอนเจ้าฟ้าดั่งแว่วมา .. ให้สดับเสียงขับขานกระซิบความสื่อล่วง .. สู่ดวงมาน-ของนงคราญรูปพิไลผู้ใยดีO รำพันพากย์เอื้อนอ้อนเสียงอ่อนหวานบอกรูปคราญจำหลักเป็นสักขีเสน่หาอาลัย .. เยื่อใย-มีมอบบัตรพลีในนามของความรักO ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขานค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จักจนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้นO นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยามก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่นหรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงาO ชายฟ้าเลื่อนเตือนตะวันกล่อมขวัญสรวงปลดเงื่อนบ่วงโศกสร้อยทุกรอยเหงาหลังสายลมแผ่วลูบ, จึง-รูปเยาว์-เหมือนอยู่เฝ้ารุมล้อมไม่ยอมคลายO หรือ-งามชาติรูปนั้น .. จากบรรพกาลจักข้ามผ่านภพชาติ .. ด้วยมาดหมาย-ร่วมจุนเจืออาลัย .. แห่งใจชาย-พา .. วนว่ายเสน่หา .. ห้วงอาวรณ์O หรือบุญสร้างบาปสม .. เกินข่มห้ามสบรูปแล้วรูปนามก็ตามหลอนอิริยาพากย์เล่า .. แสนเว้าวอน-เหมือนออดอ้อนแฝงเร้น .. อยู่เช่นนั้นO โอ รูปลักษณ์รมยา .. เดียงสาโลกกรรมเมื่อโบกโบยนัย .. พาไหวหวั่นต้อง-เงื่อนนัยแห่งชู้ .. โจมจู่ พลัน-ย่อมผูกพันมั่นอยู่ .. ไม่รู้คลายO ครั้งนั้นหวายโบยหลัง .. จนพังยับจวบชีพวิญญาณลับ .. ลมดับหายถูกลบรูป-นามทิ้งทั้งหญิงชายพร้อมแรงสายสวาทชู้เคียงคู่กันO ครั้งนี้ แรงอาวรณ์เคยซ่อนอยู่เคยรับรู้อาศัย แต่ในฝันกลับต้องเผยภพชาติ .. มาพาดพันจากบุญบาปเบื้องบรรพ์คอยบัญชาO อธิษฐาน .. เพรงวาสน์ให้พาดช่วงจนแหนหวง .. เฝ้าคอย .. ละห้อยหา-เติบเต็มอยู่ในทรวงไม่ล่วงลาจนแววตาอาวรณ์ .. นั้น-ร้อนรนO กี่ห้วงเวียนวงวัฏฏ์ของสัตว์โลกอาจฝ่าโศกสุมสั่ง .. สักครั้งหนกี่ช่วงคาบปฏิพัทธ์ .. รำบัดตนอาจฝ่าพ้นเสน่หา .. ที่ท้าทาย ?O เมื่อเผยรูปเผยนาม .. มาตามผลาญเผยอ่อนหวานอ่อนโยน .. ออกโชนฉายรู้หรือไม่ .. ด้านในหัวใจชาย-ไม่ต่างหวาย .. โบยหลังเมื่อครั้งนั้น !O แม้นรูปกายแตกดับ .. เกินนับชาติยังคงมาดหมายอยู่ -ไม่รู้หวั่นเพียง-จักขุวิญญาณ .. แผ้วพานกัน-ย่อมหยั่งสัญญาชู้ .. โถมสู่ใจO จึงเมื่อวางชาติภพ .. มาจบ-ต้องสัญญาพ้องรูปนาม .. ย่อม-หวามไหวพร้อมอาการเต้นรัวที่หัวใจเมื่อภาพใครลอบเร้น .. บีบเค้นลงO ครั้งนั้น .. หวายวาดลงที่ตรงหลังแม้นเลือดหลั่งโลมกาย .. อย่าหมายบ่ง-ถอนเอาเสี้ยนรักฝัง .. ที่ยังคง-วางจำนงข้ามภพ .. รอ-พบเจอO ครั้งนี้ .. รอยสวาท .. เหมือนพาดผ่าน-แววอ่อนหวานเปล่งปลั่ง .. ทุกพลั้งเผลอ-เนตรชำเลืองเหลือบนำ .. ย่อมบำเรอ-บำรุงใจพร่ำเพ้อ .. ชะเง้อคอยO โอ .. วับวาบแววหวาน .. เหมือนผ่านสู่-ให้รับรู้จดจำแทนคำถ้อยว่าจิตใจพร่ำเพ้อ .. จนเหม่อลอย-เหมือนร่วมร้อยเรื่องขาน .. เมื่อนานปีO ครั้งนั้น .. โดยจารีตเป็นขีดคั่นจึงต้องทัณฑ์โทษหนัก .. สมศักดิ์ศรีสองภพชาติ .. หัวใจ .. ยังไหววี-ตอบเสียงหวายโบยตี .. ในที่นั้นO ครั้งนี้ .. โดยรูปคราญ .. เผยผ่านต้องเช่นบ่วงคล้องอกใจ .. จนไหวสั่นความอบอุ่นอ่อนหวานก็ปานทัณฑ์-แต่เบื้องบรรพ์รัดล่าม .. เกินข้ามพ้นO โอ แววเนตรใครหนอ .. ยั่วล้อยามก่อนแสงวามสองดวง .. ค่อยร่วงหล่น-กลางอาลัยอาวรณ์ .. อันร้อนรนใครหนอ .. วนรอบหวาน .. หมุนด้านรอO โอ แสงดาวสองดวง ไยช่วงนักหมายกุมกักหัวใจ หรือไรหนอรูปนามเอย .. แรงชู้ ฤๅรู้พอ-เมื่อยั่วล้อ .. ทอดตัวกลางหัวใจ ?.....................กลอนสองบทแรก .. นำมาจากเพลงยาวเจ้าฟ้ากุ้ง .. พระอุปราชในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง .. ราชวงศ์สุดท้ายแห่งกรุงศรีอยุธยา
จากคำบรรยาย...
"O ภาพอดีตเรื่องราวที่กล่าวขาน
ค่อยเผยผ่านความสู่ .. ให้รู้จัก
จนรับรู้ความนัย .. อยู่ในวรรค-
ว่าหัวใจถูกกัก .. เกินหักพ้น"
แสดงว่า ด้วยการสังเกตุ การใช้ภาษาและการเล่า เป็นสื่อจึง " รู้ความนัย .. อยู่ในวรรค" ได้...
นี่ กวี หรือ ผู้มีความสามารถในการใช้ภาษา...จะใช้
เป็นอาวุธ ในการ สื่อสาร...ถึงกัน..
โดยไม่จำเป็น ต้องเห็นตัวกัน ได้..
แต่..
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม
ก่อนแสงวามวาบช่วง .. นั้นร่วงหล่น
หรือภพชาติเบื้องบรรพ์ .. ช่วยบันดล-
ให้งามล้นโดยชาติ .. มาพาดเงา"
"O นั่น .. แววเนตรใครวาบ .. ล้อคาบยาม" ..นี่ซิ
ที่แสดงว่า เคยใกล้ชิดกันมา..
เยี่ยงเจ้าฟ้ากุ้ง กับ เจ้าฟ้าสังวาลย์ ที่เคยรู้จักรักกันมา
ก่อนที่ต่างจะต้องแยกไปทำหน้าที่...
ใช่ไหมเอ่ย...
แต่ระหว่าง นครปฐม กับ ลำปาง นี่ ใช่จะแยกห่างกัน...
เช่นวังหน้า และ วังหลวง....
ดูจะออดอ้อนเกินจริง( Surrealist ) ไปหน่อย กระมังคะ..
รายการ"จับผิดกวี" ด้วยความหมั่นไส้ ! 555
แต่ "O สุดหัวใจ .. O" นี่..
..คนอ่าน สยิว ตามไปด้วย เลยค่ะ..