Bloggang.com : weblog for you and your gang
Group Blog
พระพุทธเจ้า
พระพุทธวจนะ
ธรรมบรรยาย
ตรรกะวิภาษ ..
Innovation
Value Investor ..
DiscountedCashFlow
Transportation
NewGenDevice
History
Science
Home & Garden ..
Food & Sweet
DIY
SlowRock ..
Classic
RockMusic
SweetMusic
Ernesto Cortazar
Giovanni Marradi
Secret Garden
Omar Akram
Mix
CountrySong
SweetSong
OldSweetSongs ..
MLTR
ENYA
EAGLES
เพลงร็อคไทย
เพลงไทยเดิมประยุกต์
เพลงย้อนอดีต
เพลงบรรเลง
เพลงลูกกรุง
เพลงลูกทุ่ง
เพลงเพื่อชีวิต
นิราศนรินทร์ - คำแปล
นิราศภูเขาทอง - คำแปล
นิราศลำปาง .. โคลง
นิราศเพรงกาล .. โคลง
ชั่วฟ้าดินดับ .. โคลง
มหาภารตะยุทธ .. ฉันท์
ศรีอยุธยา .. ฉันท์
สายธารกาลเวลา .. กลอน
สองฝั่งฟ้า .. กลอน
หอมกลิ่นร่ำ .. กลอน
รัตนโกสินทร์ .. กลอน
ชั่วฟ้าดินสลาย .. กลอน
บรรณภพ
วรรณศิลป์
วรรณกรรมไทย
อวิภัชวาท
ปริภาษวาจก
นรกวาที
นารีปราโมช
ฉันท์
โคลง
<<
กรกฏาคม 2557
>>
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
20 กรกฏาคม 2557
O บ่วงอาวรณ์ .. O
All Blogs
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O จากบัดนั้น .. O
O สิ้นสวาดิ .. O
O แววในดวงตา .. O
O เช้านี้ .. O
O อาวรณ์ .. O
O มธุรสลีลา .. O
O ยิ้มแรก .. O
O หนาวแรก .. O
O ปลายฝน .. O
O ซ่อนเร้น .. O
O งามรูปนั้น .. O
O เจ้าเอย .. O
O ฟ้าคร่ำลมครวญ .. O
O ยอมเถิด เจ้า .. O
O เมื่อลมเช้าโชยแผ่ว .. O
O ปรารมภ์ .. O
O ลมรำเพย .. O
O เหมันตะกาล .. O
O ดวงตาคู่นั้น .. O
O รูปเอย .. O
O ในค่ำหนาว .. O
O คำนึง .. O
O สิ้นเยื่อใย .. O
O ค่ำนี้ .. O
O เพียงเจ้า .. O
O กรรตุวาท .. O
O รูปธรรมในค่ำฝน .. O
O ฉันทาสมัย .. O
O จันทร์ .. O
O ห้วงเสน่หา .. O
O ยามเช้า .. O
O หอม .. O
O อีกไม่นาน .. O
O นาทีนั้น .. O
O วิสาขะสมัย .. O
O กลางริ้วลม .. O
O หวง .. O
O .. เช้านั้น .. O
O แรงอาลัย .. O
O แสงสรวงในทรวงนี่ .. O
O อุปาทานรูป .. O
O ยอมเถิด .. ดวงใจ ! O
O คิมหันตะสมัย .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O ขาบเขียวแห่งเรียวขน .. O
O เมื่ออุษาสาง .. O
O ครวญคร่ำแห่งคำวอน .. O
O เมื่อลมหนาวล่อง .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O น้องสาว .. ที่แสนดี O
O รูปนามเจ้าเอย .. O
O ใต้ปีกนกฟ้า .. O
O มีเจ้า .. O
O น้ำปลายฝน .. O
O เรื่อรุ้ง..บนคุ้งฟ้า O
O ก่อนอุษาสาง .. O
O น้ำค้างเดือนเจ็ด .. O
O เดือนลอยดวง .. O
O สาวเอย .. O
O ฟองคลื่นแห่งรมยา .. O
O ฝากจันทร์ .. O
O แก้วตาพี่ .. O
O ก่อน .. วิสาขะมาส .. ! O
O หอมนี้ .. O
O รูปธรรมในคำนึง .. O
O รูปนามเอย .. O
O จันทร์เพ็ญรูป .. O
O รูปพรรณในบรรจถรณ์ .. O
O คันธา .. แห่งวรรษาสมัย O
O นางใจ ... O
O ถวิละรูป .. O
O บวงทิพที่ลิบโพ้น .. O
O รูปในคำนึง .. O
O ลมร่ำ .. เมื่อย่ำรุ่ง .. O
O น้ำค้างยามรุ่ง .. O
O คอยเจ้า .. O
O เพรงวาสน์ เมื่อพาดช่วง .. O
O เหมันตะกาล .. O
O บุหลันลอยเลื่อน .. O
O รื่นลมหนาว .. O
O ลมร่ำในค่ำหนาว .. O
O เสน่หา .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รูปนามแห่งความรัก .. O
O อาลัย ที่ไหววน .. O
O งามละมุน .. กับกรุ่นข้าวหอม .. O
O ปีกนก กับ อกคน .. O
O หอม .. เสน่หา .. O
O ซ่อนเร้น และ เอ็นดู .. O
O น้ำค้างเดือนสิบ .. O
O ลมหนาวและดาวเดือน .. O
O ปริศนาแห่งท่าที .. O
O จันทร์เอย .. O
O คนดี .. O
O แรงถวิลหา .. O
O สุดหัวใจ .. O
O ขวัญเอย .. O
O ปีกนก และ อกคน .. O
O จันทร์เจ้า .. O
O วานนั้น .. จนวันนี้ .. O
O สุดรอคอย O
O ลมร่ำและฝนโรย .. O
O คอยเถิดเจ้า .. O
O ปลายฝน .. ต้นหนาว .. O
O รูปอาวรณ์ .. O
O กลางฝุ่นฝน .. O
O ตราบชั่วนิรันดร .. O
O สร้อยดอกโศก .. O
O สู่กลางใจเธอ .. O
O เพียงคำเดียว .. O
O หอมดอกลำดวน .. O
O ฟ้าคร่ำฝนครวญ .. O
O ชั่วฟ้าดินสลาย .. O
O ข้าวร่วมขัน .. O
O พิรุณพิลาปร่ำ .. O
O ห้วงแห่งคำนึง .. O
O วันคอย .. O
O แค่เสี้ยวธุลีความ .. O
O แสงช่วงแห่งดวงมณี .. O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
O หอมหัวใจ .. O
O คอยเจ้า .. O
O อาลัย ที่ไหวรับ .. ! O
O คำข้าว .. และใจคน .. O
O พวงผกา .. แห่งป่าฝน .. O
O กล่อมขวัญ .. O
O พินทุกล แห่ง สุคนธรส .. O
O คำมั่นคำสัญญา .. O
O รูปนามแห่งยามสาง .. O
O รื่นวรรษา .. O
O โสมกลางสรวง .. O
O ท่ามกลางละอองรื่น .. O
O รูปธรรมเพื่อจำนน .. O
O เมื่อลมร่ำ .. O
O หอมกลิ่นแก้ว .. O
O คิดถึง .. O
O ฝนห่มลมเห่ .. O
O ฤดูลม .. O
O บ่วงปฏิพัทธ์ .. O
O นิรมิตะรูป .. ? O
O แววตาผู้อาวรณ์ .. O
O รูปในคำนึง .. O
O กลาง - ลม .. ฝน .. O
O บุพสัญญา .. O
O ลมทะเล .. O
O เตรียมเถิด .. ใจ ! O
O เมื่อดาวลอยดวง .. O
O กลางลมร่ำ .. O
O หอม-อุ่น .. กลางฝุ่นฝน .. O
O อัปสระรูป .. O
O ขวัญพี่ .. O
O .. หัวใจที่ร่ำรอ .. O
O เพลงพยาน .. O
O พรรณาแห่งอารมณ์ .. O
O รื่น..ลมร่ำ .. O
O แก้วเอย .. O
O คอย .. O
O ดาวดื่นในคืนแรม ... O
O เภรีและคีตา .. O
O รูปนฤมิต .. O
O ก่อน .. มาฆะมาส .. O
O เพรงภพบรรจบล้อม .. O
O กลางวสันตะสมัย .. O
O ดั่งลมร่ำ .. O
O ปริศนาแห่งนารี .. ? O
O จินตะภพ .. แห่งพลบสมัย O
O คือ ความรัก .. O
O คันธาแห่งมาลี .. O
O เหมันตะสมัย .. O
O หอมดอกแก้ว .. O
O หอมกลิ่นโมก .. O
O พินทุแห่งกุสุมา .. O
O สัญญาใจ .. O
O รูปนามนั้น .. O
O ลมหนาวร่ำ .. O
O ฟ้าหลังฝน .. O
O วรรษาสมัย .. O
O คันธบท .. แห่งรสสุมาลย์ .. O
O คอยเถิดนะ .. O
O กรุ่นกลิ่นประทิ่นมาลย์ .. O
O อาวรณะสมัย .. O
O รูปแพงเอย .. O
O คอยเถิด .. รูปแพงเจ้า .. O
O มณีเดียว .. O
O ภิรมย์สมัย .. O
O ร่ำรสเกสรา .. O
O เจ้าอ่อนเอย .. O
O ลมเอย .. O
O กลางฝนโปรยปราย .. O
O อหังการ .. แห่งน้ำค้าง .. O
O กลางพระลบ .. บรรจบล้อม .. O
O หนาวลมร่ำ .. O
O จากเดือนเร้น .. จนเพ็ญรูป .. O
O แต่บัดนั้น .. จนบัดนี้ .. O
O เสภา .. กลางราตรี O
O โสมส่องแสง .. O
O ฝุ่นน้ำฟ้า .. O
O ศรัทธาสองภพ .. O
O ด้วยแรงอธิษฐาน .. O
O เม็ดฝน ใต้ม่านฟ้า .. O
O พันธนาการแห่งรูป .. O
O น้ำผึ้งเดือนเจ็ด .. O
O ฝนเดือนเก้า .. O
O อาลัยที่ใฝ่เฝ้า .. O
O ลีลาและท่าที .. O
O เดียงสาเจ้า .. O
O มณฑาทิพ .. O
O ห้วงอาวรณ์ .. O
O คือ .. เจ้า .. O
O รักเอย .. O
O ชายฟ้าเลื่อน .. O
O เพียงหนึ่งคำ .. O
O ละห้อยหา .. O
O ในห้วงคำนึง .. O
O หยาดเพชรเมื่อเพ็ญรูป .. O
O ใจเอย .. ! O
O ลมรัก .. O
O ผืนทรายและปลายฟ้า .. O
O รูปนามแห่งความคะนึง .. O
O รักสุดใจ .. O
O เชิญขวัญ .. O
O แต่ปางใด ..? O
O ฝากลมร่ำ .. O
O ห้วงเหมันตะสมัย O
O หลังเหมันต์ .. O
O บุหรง .. รำแพน .. O
O ใจเจ้าเอย .. ! O
O งามนั้น .. O
O ร่ำร้อย .. พจีเรียง .. O
O แรกอรุโณทัย .. O
O หนาวลมฝน .. O
O หลัง .. อัสดงคต .. O
O รอ .. O
O ดวงเด่นกลางนภา .. O
O จันทร์ขจ่างฟ้า .. O
O กรุ่นแก้วกำจาย .. O
O ฟ้าสองฝั่ง .. O
O ก่อน .. นางครวญ...O
O หงส์ร่อน .. มังกรรำ .. O
O อาวรณ์ .. ที่ซ่อนเร้น ..? O
O สิ้น .. วาสนา .. O
O บุพเพสันนิวาส .. O
O เลื่อมลายรุ้ง...O
O สิ้น - ดวงวิเชียรฉาย...O
O นางครวญ O
O บ่วงอาวรณ์ .. O
คุณพระช่วย - ลาวสวยรวย
O กลิ่นดอกแก้ว .. หอมแล้วเจ้า
ปีบก็เร้ารุมกลิ่นแต่สิ้นสาง
ปีกแมงปอโบกเคลื่อนฝ่าเลือนลาง
เมื่อน้ำค้างระเหยหายกับสายลม
O จึง-มโนภาพร่างที่สร้างไว้
รูป, มาลย์, ไม้-ใจตื่น, กลิ่นรื่นฉม
บรรจบร่วมปรารถนา .. แรงอารมณ์
จน-สุดข่มขับล้างให้จางรอย
O แผ่ความหอมรุมเร้า .. ให้เช้าชื่น
แฝงลมรื่นเย็นเยียบ .. อย่างเงียบหงอย
เกสรฟุ้งฟายละอองปลิวล่องลอย-
เช่นใจ-คอยละห้อยอยู่ไม่รู้วาย
O จึง-แววตาวาบไหวอยู่ในยาม-
ค่อยเผยความอ่อนโยนออกโชนฉาย
เติมอบอุ่นลึกล้ำ .. ลงกล้ำกราย-
หัวใจชาย-ให้ถวิลแต่ดิ้นรน
O อ่อนหวาน .. อ่อนโยนมีในที่นั้น
วาบไหวสั่นตอกย้ำซ้ำซ้ำหน
โอ้ .. ว่าความอ่อนไหวของใจคน
ช่างมากล้นลึกล้ำ..เกินรำพัน
O ถวิลถึง..ก็วิตกสะทกสะท้อน
ฑิฆัมพรลิบไกล .. เฝ้าใฝ่ฝัน
หะหายกระต่ายน้อยเฝ้าคอยจันทร์
ด้วยว่ามันมิเจียมตัว .. แม้ชั่วยาม
O ที่ .. อาวรณ์อาลัยอยู่ในอก
ย่อมเวียนวกวนย่ำในคำถาม
อุปสรรคเพียงใด .. หนอใจงาม-
อาจข่มข้ามสู่ปลายที่หมายไว้
O ที่ .. อาลัยอาวรณ์สุมซ่อนอยู่
ย่อมรับรู้ขีดขั้นแห่งฝันใฝ่
แม้น-ความมี ความเป็น .. บีบเค้นใจ
ยัง-คงไหวสั่นเต้น .. อยู่เช่นเดิม
O แฝงเร้นฝากละอองฝัน .. สู่ม่านเมฆ
รุจิเรขรูปสล้างเอาสร้างเสริม
ประทิ่นมาลย์ .. ถ้วนแหล่งเอาแต่งเติม
ประจงเจิมเจตนัง .. ร่วมสั่งการ-
O เข้าเปลี่ยนฟ้าแปลงฝัน .. ของวันใหม่
บันดาลให้วัฏฏะวงแห่งสงสาร-
เข้าแตะตื่นละห้อยหวง .. บางดวงมาน-
จนค่อยซ่านซึ้งฤทธิ์ .. สุดบิดเบือน
O จง .. มโนภาพร่างที่สร้างสม
ร่วมปรารมภ์รอบชู้-แล้วรู้เคลื่อน-
คล้อยบรรจบ .. รสสุมาลย์ที่ผ่านเยือน-
เอาหวานเปื้อนปนหอม .. รอน้อมรับ
O จง .. มโนภาพร่างที่สร้างเสริม
พึงต่อเติมอาวรณ์คืนย้อนกลับ
ทุก-ปากตาแย้มยิ้มหรือพริ้มพรับ
นั้น-สำหรับ .. มอบ-หมาย .. เพื่อชายเดียว !
Create Date : 20 กรกฎาคม 2557
Last Update : 28 เมษายน 2566 18:23:49 น.
8 comments
Counter : 3432 Pageviews.
Share
Tweet
ชายเดียว...
ยังไม่หายจาก อิ่มเอมใน ฉันท์ ...
ตื่นมาก็..." กลิ่นดอกแก้ว .. หอมแล้วเจ้า"
"O แผ่ความหอมรุมเร้า .. ให้เช้าชื่น
แฝงลมรื่นเย็นเยียบ .. อย่างเงียบหงอย
เกสรฟุ้งฟายละอองปลิวล่องลอย-
เช่นใจ-คอยละห้อยอยู่ไม่รู้วาย "
"O ที่ .. อาลัยอาวรณ์สุมซ่อนอยู่
ย่อมรับรู้ขีดขั้นแห่งฝันใฝ่
แม้น-ความมี ความเป็น .. บีบเค้นใจ
ยัง-คงไหวสั่นเต้น .. อยู่เช่นเดิม"
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 20 กรกฎาคม 2557 เวลา:13:02:02 น.
มินตรา ..
คำฉันท์สง่างามก็จริง .. แต่หากจะเอามาเขียน "เพลงยาว" เกรงว่าสาวเจ้าจะแปลไม่ออก 55
กวีโบราณจึงเขียนแต่กลอนสำหรับใช้เป็นเพลงยาว หรือไม่ก็โคลงสี่สุภาพและนั่นสำหรับสาวชาววังที่เป็นลูกหลานขุนนางที่มีการศึกษาเท่านั้น .. ชาวบ้านที่อ่านออกเขียนได้มีแต่ที่บวชเป็นพระ เท่านั้น
มินตราคงเคยอ่านขุนช้างขุนแผนมา
และคงคุ้นเคยชื่อ "พระพันวสา" ในเรื่องดีนะ ..และเรื่องนี้ดำเนินเรื่องอยู่ในเขตสุพรรณบุรีต่อมาถึงอยุธยา
พระพันวสา นี้ คือสมเด็จพระบรมรามาธิบดีที่ 2 หรือสมเด็จพระเชษฐาธิราช จากราชวงศ์สุพรรณภูมิ เป็นพระโอรสในสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ มีพระชนนีเป็นเจ้านางในราชวงศ์สุโขทัย จากเมืองพิษณุโลกตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเสด็จขึ้นไปบัญชาการรบกับกองทัพล้านนาของพระเจ้าติโลกราช
ครั้งนั้น สมเด็จพระบรมไตรฯ ได้โปรดให้สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระโอรสจากมเหสีสายสุพรรณภูมิเป็นผู้ดูแลงานราชการในกรุงศรีอยุธยา และพระโอรสพระองค์นี้เองที่นักประวัติศาสตร์สัณนิษฐานว่า เป็นกวีที่แต่งโคลงยวนพ่าย (ยวน คือ โยนก คือ ล้านนา คือเชียงใหม่ภายใต้พระเจ้าติโลกราช) อันเป็นโคลงสดุดีพระบรมไตรฯ กษัตริย์อยุธยาผู้เป็นพระบิดา
โคลงทั้ง 3 คือ ยวนพ่าย .. ทวาทศมาส .. กำสรวลสมุทร (ที่ชอบเรียกกันผิดๆว่า กำสรวลศรีปราชญ์ ) มีข้อสันนิษฐานจากนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่น่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลเดิม .. ว่าน่าจะเป็นพระนิพนธ์ใน "สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3" พระโอรสองค์โตในสมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของ "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2-พระเชษฐาธิราช ที่มีพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงของราชวงศ์สุโขทัย" ..
พ.ณ ประมวญมารค (หม่อมเจ้าจันทร์จิรายุ รัชนี - ท่านจันทร์) ได้เสนอข้อสันนิษฐานว่าโคลงดั้นทั้ง ๓ คือ ..
- ยวนพ่าย (แต่งประมาณ พ.ศ.2017-2025)
- กำสรวลสมุทร (แต่งประมาณ พ.ศ.2025-2030 (หรือ 34))
- ทวาทศมาส (แต่งประมาณ พ.ศ.2027-2031)
พระบรมไตรโลกนารถครองราชนานถึง 42 ปี เมื่อเสด็จสวรรคตแล้ว สมเด็จพระบรมราชธิราชที่ 3 ก็ขึ้นครองราชต่อ เข้าใจว่าตอนนั้นพระองค์เองก็ทรงชราภาพแล้วเพราะเป็นพระโอรสรุ่นโต จึงครองราชยได้เพียง 4 ปีก็สวรรคต แล้วพระบรมรามาธิบดีที่ 2 หรือพระเชษฐาธิราช หรือ พระพันวสาในขุนช้างขุนแผนนี้เอง ที่เป็นพระอนุชาต่างมารดาจึงครองราชย์ต่อ และยาวนานถึง 38 ปี
จึงเห็นได้ว่า วรรณกรรม เรื่องขุนช้างขุนแผนที่ติดหูคนไทยมากกว่า โคลงดั้นทั้งสามเรื่อง .. จึงน่าจะแต่งขึ้นในสมัยนี้เอง ที่บ้านเมืองสงบสุขยาวนาน
รุ่นปู่คือ เจ้าสามพระยา ไปตีขอมที่นครวัดแตกจนต้องไปสร้างเมืองพลวงใหม่ที่พนมเปญ แล้วกวาดต้อนปุโรหิต อำมาตย์ขอมเป็นเชลยศึกกลับมา ..
ขอมพวกนี้เป็นชนชั้นปกครองมีความรู้ตามหลักไตรเภทของพราหมณ์ จึงเป็นต้นคิดให้เจ้าในราชวงศ์อยุธยาเปลี่ยนระบบการปกครองในยุคพระบรมไตรโลกนารถเป็น จตุสดมภ์ คือ เวียง วัง คลัง นา และใช้มาจน รัชกาลที่ 5 ของกรุงเทพ
"สมมุติเทพ" จึงเริ่มต้นจากบรรดาปุโรหิตเชลยขอมที่กวาดต้อนมาจากนครวัดตั้งแต่ครั้งเจ้าสามพระยา อันสืบเนื่องจากระบบเทพหลายองค์ของพราหมณ์ ..
ขณะที่ก่อนหน้านี้เราใช้ระบอบ "พ่อปกครองลูก" ตามคติพุทธเถรวาทอันสืบเนื่องมาจากยุคสุโขทัย
รุ่นพ่อคือ สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถ รบกับเชียงใหม่ไม่รู้แพ้รู้ชนะ ตอนหลังสงบศึก
รุ่นลูกคือ พระบรมราชาธิราชที่ 3 และพระบรมรามาธิบดีที่ 2 (พระพันวสาในขุนช้างขุนแผน) จึงมี วรรณกรรมเฟื่องฟู
ราชวงศ์สุพรรณภูมิ เป็นราชวงศ์ยุคต้นที่ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นมหาอำนาจในภูมิภาค
ราชวงศ์แรก คือ ราชวงศ์อู่ทอง หรือ ราชวงศ์ละโว้อโยธยา มีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับกลุ่มขอมแห่งนครวัด
ราชวงศ์ที่สองคือ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ กษัตริย์องค์แรกคือ ขุนหลวงพะงั่ว ผู้เป็นเพื่อนกับพระเจ้าอู่ทองและยอมให้เพื่อนขึ้นครองบัลลังก์ก่อน ..
แต่พอพระเจ้าอู่ทองสวรรคต พระโอรสคือ พระราเมศวร จะขึ้นครองราชย์ต่อ คราวนี้ ขุนหลวงพะงั่ว ยอมไม่ได้ ก็ยกทัพสุพรรณเหยียบเมืองหลวงแล้วขับพระราเมศวรไปอยู่ลพบุรี ..
พอขุนหลวงพะงั่วสวรรคต เจ้าทองลันที่ยังเป็นเด็กก็ขึ้นนั่งบัลลังกต่อได้ 7 วัน พระราเมศวรก็ยกทัพจากลพบุรีเข้าอยุธยาจับเจ้าทองลันทุบด้วยท่อนจันทน์ ตามพระบิดาไปสวรรค์ ..
จบศึกครั้งแรก ราชวงศ์ละโว้อโยธยา (อู่ทอง) ก็ครองบัลลังก์ต่อ จนมาถึงรุ่นลูกของพระราเมศวรคือพระยาราม
ได้มีเจ้านครอินทร์แห่งสุพรรณบุรีเชื้อสายขุนหลวงพะงั่ว ยกทัพเข้ามายึดบัลลังก์อยุธยาอีกครั้ง ขับพระยารามไปอยู่ ปท่าคูจาม (สันนิษฐานว่าจะเป็นชัยนาท)
เจ้าสามพระยา ก็คือ โอรสของเจ้านครอินทร์องค์นี้เอง .. โดยที่พี่สองคนคือ เจ้าอ้ายพระยา กับเจ้ายี่พระยา ชนช้างแย่งบัลลังก์กันหลังเจ้านครอินทร์สวรรคต จนต่างถูกง้าวของกันและกันขาดคาคอช้าง ตายไปทั้งคู่
น้องเล็กจึงส้มหล่น ขึ้นนั่งบัลลังก์ต่อ เป็นราชวงศ์สุพรรณภูมิองค์ที่ 3 รอบที่ 2
วันนี้พูดเรื่องประวัติศาสตร์สักหน่อย ..
ผมชอบประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยาช่วงต้นนี่เป็นพิเศษเพราะมันสร้างจินตนาการได้เลิศหรูอลังการงานสร้างดี 55
โคลงเรื่องยาว "ชั่วฟ้าดินดับ" ก็เอาประวัติศาสตร์ช่วงนี้มาเขียน
ธิดาสาวแสนสวยของปุโรหิตขอมแห่งนครวัดผู้ถูกกวาดต้อนมาตั้งแต่รุ่นปู่ .. กับ ทหารหนุ่มผู้ทรนงชาวอยุธยา ..
หลับตาแล้วเห็นภาพไหม มินตรา 555
โดย:
สดายุ...
วันที่: 20 กรกฎาคม 2557 เวลา:20:40:24 น.
สวัสดีค่ะ แหะๆ หายไปนาน แอบซุ่มมาเรียนต่อค่ะ ตอนนี้อยุ่อังกฤษ คิดถึงอยู่นะคะ ^^
โดย: medkhanun IP: 94.23.252.21 วันที่: 20 กรกฎาคม 2557 เวลา:21:20:07 น.
เม็ดขนุน
เพิ่งรู้นะนี่ ลางานมาเรียนสินะ
รู้สึกเหมือนตัวพี่เองจะอยู่กับระดับ ดอกเตอร์ ในอนาคตหลายสาวอยู่นะ
เก่งกันจริง .. มหาลัยอะไรอะ
โดย:
สดายุ...
วันที่: 21 กรกฎาคม 2557 เวลา:10:18:28 น.
สดายุ..
"ทหารหนุ่มผู้ทรนงชาวอยุธยา .. " มีม้าสีหมอก และ
ดาบฟ้าฟื้น..ใช่ไหมเอ่ย.. 555
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 21 กรกฎาคม 2557 เวลา:19:18:42 น.
สดายุ..
"รวมพลปฏิวัติอักษร
คนกล้าร่ายกลอนรากหญ้า
ร้อยแก้วร้อยกรองส่องมา
ทายท้าขานต่อก่อการ" ...รุ่งศิลา...
ผู้ทรนงแห่งรัตนโกสินทร์
โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:3:21:02 น.
มินตรา ..
กลอนที่ยกมา ทั้งคำทั้งความ ไม่งาม
นี่คือลักษณะกลอนของรุ่นใหม่ๆ จะเอาความ ไม่สนใจคำ
หากคมคิดเฉียบแหลมก็ดีไป แต่หากไม่ใช่คนอ่านแล้วจำไม่ได้เลย ..
เมื่อร่วมมือต่อสู้ผู้กดขี่
ประชาชนจะมีชีวิตใหม่
เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ
ประชาชนจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
บทนี้เป็นของ วิสา คัญทัพ
คำไม่งาม แต่ความดี จึง"ติดหู"คนมาจนเดี๋ยวนี้
กี่ปีแล้วจาก 14 ตุลา และวิสาก็ยังเขียนอยู่เรื่อยๆเป็นกวีฝั่งเสื้อแดง
สักบท ..
O กาย้อมสีหงส์ O
O หลังร่างหล่นร่วงผล็อย, เพียงรอยเลือด-
กับความเดือดในอกแทบหมกไหม้
กลางกระสุนดินปืน, ผู้ชื่นใจ-
ย่ำเหยียบความจัญไรของใจตน
O วาบล้ม, วาบล้มกลางลมร่ำ
จากผู้ใจตกต่ำซ้ำซ้ำหน
สังขารพลุ่ง .. โมหันต์ก็บันดล-
ความเป็นคนสิ้นคิดให้ติดตา
O ปืนคำราม, ระเบิดลั่น, ชีพบรรลัย
ผู้จัญไรเถื่อนถ่อยก็ลอยหน้า-
ขึ้นยั่วเย้ย ดีดสี บทคีตา
หยัน-เมตตา .. ด้วยเลือดอันเดือดแดง
O แต่แรกเชื่อเบ็ดเสร็จว่าเพชรแท้
กลับเป็นแค่เม็ด-กรวดเที่ยวอวดแสง
กาย้อมขนดำขลับ, พร้อมปรับแปลง-
หงอนสีแดงภายนอกไว้หลอกตา
O คิดว่าหงส์จึงหลงด้วยลายย้อม
ช่างแปลงปลอมท่วงทีจนมีค่า
ดั่งแสร้งสรงมุจลินท์ .. กลางถิ่นกา
ครั้นลับตาสองหงส์ก็ลงโคลน !
โดย:
สดายุ...
วันที่: 22 กรกฎาคม 2557 เวลา:6:09:25 น.
พี่ชายคะ
กลิ่นดอกแก้ว..หอมจริงๆค่ะ
ในยามเช้าถ้าได้จิบกาแฟไปด้วยพร้อมกลิ่นที่่โชยมาของดอกแก้ว..พี่ชายเอ๋ย..ไม่อยากลุกไปไหนเลยค่ะ..
ในยามเย็นนั่งนิ่งๆเม่อมองไปไกลๆพร้อมกับกลิ่นโชยระรื่นของดอกแก้ว..ก็ไม่อยากลุกไปไหนอีกเช่นกันค่ะ..
พี่ชายยังคงเหมือนเดิมใช่มั๊ยคะ..
ระลึกถึงพี่ชายเสมอค่ะ..
โดย: ฟาง IP: 118.172.199.33 วันที่: 26 กรกฎาคม 2557 เวลา:22:26:34 น.
ชื่อ :
Comment :
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
สดายุ...
Location :
France
[ดู Profile ทั้งหมด]
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [
?
]
O ใช่แน่หรือ ? .. O
O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?
Friends' blogs
เป็นแฟนกับกวางน้อย
Webmaster - BlogGang
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
Budha Truth
กรุงเทพธุรกิจ
ข่าวสด
ประชาชาติธุรกิจ
isra-news
ศิลปะวัฒนธรรม
พจนานุกรม
TNN16
series west 2
series west 3
Ch3
Thai PBS
Ch7
One-31
กกต.
series thai
Dict Longdo
บ้านซีรีย์
iQIYI
NationTV
ไทยรัฐ TV
คมชัดลึก
SpringNews
ฐานเศรษฐกิจ
Kseries
pinterest
youtube 2 mp4
settrade
investing
123-hd
BlogGang.com
Pantip.com
|
PantipMarket.com
|
Pantown.com
| © 2004
BlogGang.com
allrights reserved.
ยังไม่หายจาก อิ่มเอมใน ฉันท์ ...
ตื่นมาก็..." กลิ่นดอกแก้ว .. หอมแล้วเจ้า"
"O แผ่ความหอมรุมเร้า .. ให้เช้าชื่น
แฝงลมรื่นเย็นเยียบ .. อย่างเงียบหงอย
เกสรฟุ้งฟายละอองปลิวล่องลอย-
เช่นใจ-คอยละห้อยอยู่ไม่รู้วาย "
"O ที่ .. อาลัยอาวรณ์สุมซ่อนอยู่
ย่อมรับรู้ขีดขั้นแห่งฝันใฝ่
แม้น-ความมี ความเป็น .. บีบเค้นใจ
ยัง-คงไหวสั่นเต้น .. อยู่เช่นเดิม"