Group Blog
 
<<
เมษายน 2559
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
22 เมษายน 2559
 
All Blogs
 
O แรงอาลัย .. O








Giovanni Marradi - Joy




O คงใช่แล้ว-ห่วงหา .. ความอาวรณ์
เริ่มซอกซอนรุมรัดเกินปัดหาย
เมื่อไมตรีเยื่อใยแห่งใจชาย
ถักทอดสายโอบฉุดจนสุดยั้ง
O กำแพงใดใครสร้างขึ้นขวางคั่น
ฤๅอาจกั้นกีดไหว .. เมื่อใจสั่ง
ต่อให้สูงใหญ่ล้ำเหลือกำลัง
ถูกซอนเซาะซ้ำครั้ง .. ย่อมพังครืน
O เมื่อนั้นแหละทั้งปวง .. ความห่วงหา
จะโหมฤทธิ์เข้ามาทั้งตาตื่น
บรรโลมหวานหยาดย้ำ .. เช้า .. ค่ำคืน
จนสุดขืนขัดห้าม .. งดงามนั้น
O ย่อมรุมเร้าในอกสุดยกย้าย
และวนว่าย .. อาลัยด้วยไหวหวั่น
ย่อมวาดหวัง .. รอยคำ .. ถ้อยรำพัน
มากล่อมขวัญเร้าทรวง .. อย่างห่วงใย
O ย่อมละห้อยคอยเห็น .. ด้วยเป็นห่วง
จะเลยล่วงลับกันก็หวั่นไหว
เจ้าเอยกลางราตรีจะมีใคร
ร่วมเผยรูปอำไพที่นัยน์ตา
O ย่อมมาดหมายร่นฟ้า .. เข้ามาใกล้
โอบกายไว้แนบทรวงด้วยห่วงหา
จะชวนชี้ดาวสวรรค์และจันทรา
กล่อมคีตาให้สดับอยู่กับใจ
O จากต่างฟ้าต่างแดน .. ที่แสนห่าง
จนแผ้วทางนฤมิตมาชิดใกล้
ถักทอแล้วแน่นเหลือสายเยื่อใย
จะทอดให้ก้าวย่าง .. ย่ำกลางทรวง
O ใจเอยนั่นจันทร์เพ็ญลอยเด่นฟ้า
ชมเถิดราศีโสมเมื่อโลมสรวง
ย่อมยอแสงแจ่มจ้าสู่หล้าปวง
จะเลยล่วงลับได้อย่างไรกัน
O ชื่นเอย .. แต่เมื่อโฉมประโลมเล่น
ครั้นห่างเห็นห่วงละห้อยแต่คอยขวัญ
เกินอักษรกรองคำจักจำนรรจ์
ร้อยรำพันความนัยออกใกล้เคียง
O เจ้าเอยแต่เมื่อเห็น .. เกินเร้นห่วง
จะเลือนล่วง .. อาลัยก็ให้เสียง
มาทักทายยั่วล้อ .. จนพอเพียง
ก่อนบ่ายเบี่ยงหลบให้ .. ห้วงใจคอย
O เบื้องบนนั่น .. จันทร์พร่างอยู่กลางสรวง
โลกล่างปวง .. เย็นเยียบจนเงียบหงอย
ดาวบนฟ้าแสงกระพริบ, ตาปริบปรอย-
ชม้ายชม้อย .. แฝงนัยอยู่ในที
O ดาวจันทร์จึงดับดวง .. จนล่วงสิ้น
รองรับยินดีโลกทั้งโลกที่-
แววอ่อนหวานอ่อนไหว .. แฝงใยดี-
ค่อยหมุนคลี่ม้วนรัดในบัดนั้น !


๑๔
O จากขวัญและขวัญดละคะนึง
ภวะซึ้งก็ล่ามพัน
จวบนัย ณ นัยนะถวัล-
ยะ-ผจัญ, ก็แจ้งความ
O หวานใด ณ ในอุบัติภพ-
ะจะลบ บ่ ให้ลาม
เมื่อนัย ณ นัยนะวะวาม
ดุจะล่ามและรอบล้อม
O หอมใด ณ ในภพะมนุษ-
ยะจะยุด บ่ ให้ยอม
เมื่อเนตรและเจตทะนุถนอม
ดุจะพร้อม .. และยอมใจ



Create Date : 22 เมษายน 2559
Last Update : 15 เมษายน 2566 12:30:52 น. 24 comments
Counter : 4566 Pageviews.

 
สดายุ

ทำได้ยังไงนะ จากกลอนเป็นฉันท์

O หวานใด ณ ในอุบัติภพ-
ะจะลบ บ่ ให้ลาม
เมื่อนัย ณ นัยนะวะวาม
ดุจะล่ามและรอบล้อม


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:9:09:59 น.  

 
มินตรา ..

ผมชอบเขียนวสันตดิลกฉันท์ ๑๔ มากเป็นพิเศษกว่าฉันท์อื่นใด เลยดันทุรังเขียนมันเรื่อยมา ..

เพราะ นามปากกา"คมทวน คันธนู" เคยเขียนบอกไว้ว่า ฉันท์นี้คือ "ราชินีแห่งฉันท์"โดยแท้ เนื่องด้วยฉันทลักษณ์ที่ลงตัวที่สุด ที่บรรพบุรุษไทยได้กำหนดกฎเกณฑ์เอาไว้

๗๗๓. งามในฤทัย-อั-ตะ-จริต
ต-ละ-คิดก็เป็นคุณ
อ่อนน้อมละม่อมวั-ตระ-ด-รุณ
ก็-ละ-มุนละเมียดเหลือ

๗๗๔. งามโฉม .. และโส-ม-นั-สะชาย
ก็-ข-จายและจุนเจือ
ปรารมภะชม-บ-ทะ-อะเคื้อ
น-ยะ-เอื้อจะเอ็นดู

๗๗๕. จึงคำ .. เพราะคำ-สุ-ตะ-ระบือ
ระ-บุ-ชื่อและเชิดชู
เทือกเถาและเหง้า-กุ-ละ-พธู
กิ-ระ-อยู่ .. ตลอดยาม

๗๗๖. โอภาสพระศา-ส-นะ-พระพุทธ
บ-ริ-สุทธิโดยความ
นัยธรรมะนำ-จิ-ตะ-สยาม
ทะ-ลุ-ข้ามทะลวงเขลา

๗๗๗. โดยภาษประกาศ-พระ-ชิ-น-วร
ทุ-ขะ-ถอนและบันเทา
โดยธรรมะย้ำ-มรร-คะ-เฉลา
พฤ-ติ-เยาว์ก็งามยล

๗๗๘. รัฐาธิปั-ต-ยะ-สถิต
นิ-ร-มิตะด้วยพล
ด้วยเดชและเจ-ต-นะ-ผจญ
อ-นุสนธิสืบสาน

๗๗๙. รอนภาวะอา-ดุ-ระ-กระบวน
ทุ-ขะ-ล้วนก็ล่มลาญ
บรรสมภิร-ม-ยะ-ประการ
วิ-ญ-ญาณก็ร่มเย็น

๗๘๐. ภิญโญสโม-ส-ร-กวินทร์
ก-ละ-ปิ่นประดับเป็น-
บทบาทะชาติ-สุ-ขุ-มะเพ็ญ
ร-ณะ-เว้นก็ร่วมหวัง



โดย: สดายุ... วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:12:09:37 น.  

 
ดายุ..

"๗๕๐. ตามแม่ไปอยู่วัง .. แต่ครั้งนั้น
ใช่นานวัน .. หลายหมู่เขารู้ชื่อ-
งดงามรูป .. กริยาเห็น .. ที่เป็น-คือ
ความนับถือ .. รับรู้ .. เชิงผู้ดี"
( O สายธาร .. กาลเวลา ภาค ๘ .. O)

ทราบไหมว่า ในสายตามินตรานั้น มีสอง"สดายุ"
คนหนึ่งเป็นผู้มีความรู้ ละเอียดอ่อน นุ่มนวล และ
อีกคนหนึ่ง กระด้าง "ร้อยไม่เชื่อพันไม่เชื่อ" เพราะขาดการเรียนรู้ในข้อมูลที่ชนชั้นปกครองเรียน

ในเยอรมันนั้น จะดูคนจากการใช้ภาษา
ก็จะรู้เทือกเถาเหล่ากอ และฐานความรู้
เพราะการศึกษาในเยอรมันแบ่งไว้ชัดเจนระหว่าง
สายวิชาชีพ และสายวิชาการ



โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:12:38:04 น.  

 
มินตรา ..

ที่อื่นผมไม่ทราบหรอก ..
แต่เมืองไทย .. ผมไม่คิดว่าจะมีนะ "ชนชั้นปกครอง" อะไรนี่ ..

หรือหากเชื่อว่ามี .. อาจคนละความหมายกับที่ผมคิด ..

"ชนชั้นปกครอง" ต้องรู้วิธีสร้างรูปแบบการปกครองประชาชนที่เหมาะสมต่อยุคสมัยและภูมิประเทศ และต้องทำให้คนรัก ศรัทธา "เพราะผลงานที่มองเห็นจับต้องได้" ได้อย่างแท้จริง

รวมทั้งต้องยอมรับการวิพากย์วิจารณ์ .. ได้ทุกกรณี

ซึ่งสำหรับคนที่สนใจพุทธธรรมบ้างแล้วย่อมรู้จัก "กาลามสูตร" เป็นอย่างดี .. "ความที่ยังไม่ควรเชื่อ 10 ประการ" ..

ที่แม้แต่พระพุทธองค์เอง ท่านก็บอกว่ายังไม่ต้องเชื่อทันที แต่ให้ประพฤติปฏิบัติเห็นได้ด้วยตนเองก่อนแล้วค่อยวางความเชื่อลง ..

ผมเป็นศิษย์พุทธะ .. ผมปฏิบัติตามอย่างเคร่องครัด ..
ผมผิดตรงไหนล่ะ มินตรา .. 55


โดย: สดายุ... วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:13:30:00 น.  

 
ดายุ..
ที่เห็นน่ะเป็นผลของ2475
เราจึงมี "ผู้ปกครองฉบับประชาชน"

ในภาษานั้น มี"ข้อความระหว่างบรรทัด" หรือ
มีการตีความหมายของคำ และความ
ซึ่ง ผู้แตกฉานทางภาษา แบบ "สดายุภาคกวี"จะรู้

ในวงวิชาการจะมีวิธีพูดที่"ไม่ต้องจบประโยค" "ไม่ต้องแปล"ได้ ..
เพราะถือว่าเป็นความสุภาพที่จะไม่ต้องพูด"ชัดเจน"
"โตโตกันแล้ว"

แต่"ภาคประชาชน" นี่ "ต้องลงมือลงไม้กัน"

นี่พระพุทธเจ้า ท่านจึงอบรมบ่มนิสัย พระสงฆ์ให้รู้จัก "สำรวม" และ ชายไทยที่บวชเรียนกันมา สามเดือน จึงนำมาปฎิบัติในครอบครัว
ชนชาวไทยจึงรู้จักสำรวม รู้จักไตร่ตรอง จนเป็นที่ยกย่องว่า เป็นชนชาติที่น่ารัก มีกิริยามารยาท

เพิ่งจะมาแปลกแปลกไป ตอนที่ ถือดีถือเด่น คิดว่า
ที่ไปร่ำเรียนมาจากนอกนั้น ตนเองมีความรู้และเหนือคนอื่นแล้ว...
สองสามปีนั้น ไม่สามารถ ลบกลิ่นโคลนสาบควายได้ หรอกนะคะ




โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:14:02:18 น.  

 
มินตรา ..

ผมยืนยันว่า ไทยไม่มีชนชั้นปกครอง ครับ ..

การกำเนิดขึ้นมาของต้นราชวงศ์ครั้งกรุงศรีอยุธยานั้นล้วนมาจาก "ผู้นำชุมชน" ที่ไม่มีจารีตอะไรเป็นของตนเองมากนัก ..

และทั้งๆที่ ราชวงศ์สุพรรณภูมิ นั้นมีท่วงทำนองแห่งอำนาจค่อนข้างเป็นผู้ดีที่สุดแล้วใน 5 ราชวงศ์ ยังต้องเอา"ขนบขอม"รวมทั้งภาษาเขามาใช้เป็นภาษาชั้นสูง (คงเหมือนราชวงศ์รัสเซียนำเอาภาษาฝรั่งเศสมาใช้เป็นภาษาในวัง)

บริบทการสิ้นสุดของราชวงศ์นี้น่าอดสูอยู่ที่พระมหินทร์กษัตริย์องค์สุดท้ายของวงศ์นี้ถูกจับไปเป็นเชลยที่พม่า .. และถึงกับต้องคลานเข่าเข้าหาบุเรงนอง

พอมาถึงราชวงศ์สุโขทัย ..
ต้นราชวงศ์คือผู้ยอมตนเป็นบริวารบุเรงนองแห่งพม่า .. ก่อนที่โอรส (พระนเรศ) จะประกาศอิสระภาพ .. ส่วนสองวงศ์ต่อมาคือ ปราสาททอง และบ้านพลูหลวง แทบไม่ต้องพูดถึง สามัญชนทำรัฐประหารสำเร็จก็ตั้งตัวเป็นเจ้า

ชนชั้นปกครอง ในความหมายของมินตราเป็นอย่างไรครับ ?


โดย: สดายุ... วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:18:06:59 น.  

 
O พัฒนาการก้าวล้ำ .. จักสัมฤทธิ์
จำต้องคิดต่อเนื่องไปเบื้องหน้า
มุ่งไปสู่จุดหมาย .. ด้วยสายตา-
ของผู้กอปรปัญญา .. นำหน้าชน

O เห็นประเทศเพื่อนบ้าน .. ล้ำผ่านไป
จากสายตายาวไกล .. จึงได้ผล
สุจริต .. โปร่งใส .. ที่ใจคน
คือเบื้องต้นจุดเริ่ม .. ช่วยเสริมการณ์

O เมื่อล้วนแต่หัวเก่า .. นั่งเฝ้าเมือง
ย่อมเปล่าเปลืองทุกช่วงที่ล่วงผ่าน
อุปถัมภ์ .. คือปลักความดักดาน-
ค้ำจุนบัวใต้ธาร ครองบ้านเมือง !

O เมื่อเส้นขีดกีดกัน .. ถูกบั่นขาด-
โดยอำนาจเร้นแฝง .. คอยแต่งเรื่อง
ในเส้นทางปกครอง .. จึ่งนองเนือง-
ด้วยเลือดเนื้อเชื่อเชื่อง .. ต่อเนื่องมา


โดย: สดายุ... วันที่: 23 เมษายน 2559 เวลา:18:55:03 น.  

 
ดายุ...
ต้องทิ้งประวัติศาสตร์สมัยจอมพลป. ฉบับราษฎร มาดูบันทึกของพ่อค้าและนักการฑูตระหว่างประเทศบ้างละ copy & paste มาให้ตรองดู :
นายโยส เซาเตน (Joost Schouten ?-1644) ผู้จัดการบริษัทการค้าของฮอลันดา ซึ่งอยู่ในกรุงศรีอยุธยา อาณาจักรสยามมา 8 ปีแล้วนั้น ในพ.ศ. 2179 ได้เขียนหนังสือ “จดหมายเหตุของโยส เซาเตน พ่อค้าชาวฮอลันดาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าปราสาททอง”
เล่าถึงอาณาจักรสยามไว้ว่า
“ประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรใหญ่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียตอนเหนือเส้นศูนย์สูตร ขึ้นไปจนถึงเส้นรุ้งที่ 14 มีอาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรหงสาวดีและอังวะ มีเมืองสำคัญคือ อยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก ลำปาง สัชนาลัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช พัทลุง บางกอก เพชรบุรี ราชบุรี และ มะริด
กรุงศรีอยุธยาซึ่งเป็นเมืองหลวงอันกว้างใหญ่ ตั้งอยู่บนเกาะเล็กๆ รอบกำแพงเมืองวัดได้ประมาณ สองไมล์ฮอลันดา ภายในกำแพงเมืองมีถนนกว้างตัดตรงและยาวมาก มีปราสาทราชมณเทียร บุด้วยทองคำดูเหลืองอร่ามวาววับมากมาย ไม่มีประเทศใด ในแถบนี้เทียบได้
.......................................................
ตำนานการสร้าง..ศาสนาสถานศิลาขนาดมหึมา..ของชาวสยามขึ้นบนเกาะชวา เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ 13 ซึ่งรู้จักกันในนาม“บรมพุทโธ” หรือ“บุโรบุโด” พบที่บริเวณตอนกลางของเกาะชวา กล่าวถึงมหาราชผู้เป็นดิลกแห่งไศเลนทรวงศ์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า“อินทร์” ทรงสร้างปราสาทขึ้นประดิษฐานรูปประติมากรรมพระโพธิสัตว์มัญชุศรี ตามคำแนะนำของราชคุรุผู้มาจากเคาททวีป(บังกลาเทศ) นามว่า“กุมารโฆษ”
ราชครูแห่งไศเลนทรวงศ์ผู้นั้นได้นำเทคโนโลยีชั้นยอดที่แสดงออกถึงความรอบรู้อันสูงส่ง เชี่ยวชาญในวิชาสถาปัตยกรรม วิศวกรรม ประติมากรรม และอัจฉริยาภาพทางศิลปะเป็นเลิศ เข้ามาเผยแพร่ด้วยการสร้างมหาสถูปศิลาขนาดใหญ่...พุทธจักรวรรดิใต้เส้นศูนย์สูตร ..จึงยิ่งใหญ่อลังการเป็นอมตะตามอุดมคตคิที่แสนมหัศจรรย์ และงามอย่างหาที่เปรียบมิได้ กลายเป็นต้นแบบของ..ปราสาทศิลา.. ซึ่งพวกขอมนำไปสร้างแข่งขันในประเทศกัมพูชาสมัยต่อมา สมัยพระนครวัด และสมัยพระนครหลวง
สมัยทองอันรุ่งเรืองของสหพันธรัฐศรีวิชัยที่แผ่ขยายอำนาจไปทั่วดินแดนหมู่เกาะทะเลใต้ เข้าควบคุมเส้นทางการค้านานาชาติหรือเส้นทางสายไหมทางทะเล สายการคมนาคมสำคัญเปรียบดังเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจการค้าของโลกยุคนั้นไว้ได้อย่างเด็ดขาดแต่เพียงผู้เดียว

นักเดินเรือชาวอาหรับชื่อ“อิบู ฮอร์ดาชบีห์” ได้เดินทางเข้ามาใน พ.ศ. 1392 ต่อมานักเดินเรือชาวอาหรับอีกผู้หนึ่งชื่อ“สุไลมาน” เดินเรือเข้ามาใน พ.ศ. 1394 เขียนถึงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชาเขมรผู้โง่เขลาพระองค์หนึ่ง กล่าววาจาท้าทายดูหมิ่นพระราชอำนาจของมหาราชผู้ยิ่งใหญ่แห่งซาบาก ในที่สุดพระราชาเขมรผู้โง่เขลาพระองค์นั้น ก็ประสบชะตากรรม เช่นที่ตนเองต้องการคือ มหาราชแห่งซาบากรับสั่งให้ตัดพระเศียรพระราชาเขมรใส่ถาดทองคำวางไว้เบื้องพระพักตร์ของพระองค์
การล่มสลายของอาณาจักรกัมพูชา บ้านเมืองแตกกระจายกลายเป็นแคว้นเจนละน้ำเมื่อราวต้นพุทธศตวรรษที่12 โดยแท้ที่จริงแล้วเกิดมาจากการโจมตีของกองทัพศรีวิชัยในครั้งนั้น
ศิวลึงค์ที่พระเจ้าอินทรวรมันที่ 1 ทรงจารึกไว้ว่า ถูกพวกศรีวิชัยรื้อถอนขนลงเรือกลับไป จนต้องสร้างศิวลึงค์ขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 1330 นั้น
"เอกมุขลึงค์"ดังกล่าวเป็นหลักฐานสำคัญประการหนึ่ง บอกให้ทราบว่าถูกเคลื่อนย้ายมาจากอาณาจักรจามปาเข้ามาทิ้งไว้ในแหล่งโบราณคดีอำเภอท่าชนะ จังหวัดสุราษฏร์ธานี

นักเดินเรือชาวอาหรับชื่อ“อิบ อัล ฟาดีห์” ได้เดินทางเข้ามายัง “ประเทศซาบาก” เมื่อ พ.ศ. 1445 จดบันทึกเรื่องราวของ สหพันธรัฐศรีวิชัยสมัยนั้นไว้ว่า “ซาบาจและกาลัชบาร์ (เคดาห์) เป็นอาณาจักรเดียวกัน เบรุส (บนเกาะสุมาตรา) ก็รวมอยู่ในอาณาจักรนี้ด้วย เป็นศูนย์กลางการค้าการบูร กานพลู ไม้จันทน์ ลูกจัน นกแก้วของประเทศนี้สามารถพูดภาษาอาหรับ เปอร์เซีย อินเดีย และ กรีก ได้..”
ประเทศทั้ง 10 แห่งทะเลใต้ตามจดหมายเหตุของหลวงจีนอี้-จิง ตลอดจนหลักฐานของประวัติศาสตร์โบราณคดีและตำนานเก่าแก่ ช่วยให้ความสามารถลำดับภาพความเคลื่อนไหวของ..ชนชาติสยามและชนชาติละโว้...ในคาบสมุทรอินโดจีนตามที่จดหมายเหตุจีนสมัยราชวงศ์สุยระบุไว้
...............................................
๑๒. หัวเมืองสยามหกชั้น ปัจจุบันเมืองสยาม มีหัวเมืองอยู่หกชั้น โดยถือจำนวนพลเมืองเป็นเกณฑ์ ถ้าหัวเมืองใดมีพลเมืองมากเจ้าเมือง ก็เป็นพระยา ถ้าพลเมืองน้อยลงมา เจ้าเมืองก็เป็นออกญา และลดหลั่นกันไปตามลำดับตามจำนวนพลเมืองที่มีอยู่ แต่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป ชาวสยามเห่อยศกันมาก บรรดาศักดิ์ที่สูงมักจะได้แก่ เจ้าเมืองที่กินหัวเมืองใหญ่ เช่น เมืองตาก มีเจ้าเมืองเป็นพระยา เมืองพิษณุโลก ก็มีเจ้าเมืองเป็นพระยา เมืองตะนาวศรี นครศรีธรรมราช นครราชสีมา และอื่น ๆ ทุกวันนี้ยังมีเจ้าเมืองที่เป็น ออกญา หัวเมืองที่ย่อมลงมาเช่นเพชรบุรี และบางกอก มีเจ้าเมืองเป็น ออกพระ หัวเมืองอื่น ๆ มีเจ้าเมืองเป็น ออกหลวง หรือออกขุน เมืองเล็กที่สุด มีเจ้าเมืองเป็น ออกหมื่น

ชาวปอร์ตุเกศ ให้ศักดิ์เมืองเป็นราชอาณาจักร ได้แก่ ตาก ตะนาวศรี พิษณุโลก และนคร (ศรีธรรมราช) และแม้กระทั่งเมืองเพชรบุรี เนื่องจากว่าเป็นเมืองที่สืบวงศ์ต่อ ๆ กันมา หรือเคยเป็นที่ประทับของพระเจ้ากรุงสยาม มาแต่ก่อนบ้าง และได้ถวายพระยศพระเจ้ากรุงสยามว่า พระจักรพรรดิ์ เพราะพระยศจักรพรรดิ์ หรือพระราชาธิราช ย่อมสมควรแก่ท้าวพระยามหากษัตริย์ ที่มีกษัตริย์อื่นเป็นเมืองขึ้น ( จดหมายเหตุ ลา ลูแบร์ ตอนที่ ๓)


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:10:08:01 น.  

 
มินตรา ..

เข้าใจผิดครับ ..
จอมพล ป. มิใช่ผู้สร้างประวัติสาสตร์ไทยเอาเองตามใจชอบเพียงเพราะการโหมลัทธิชาตินิยม "เชื่อผู้นำชาติพ้นภัย"

อีกทั้งบันทึกชาวตะวันตกที่เพิ่งพบ และ แปลกันออกมานั้น ต้องเข้าใจให้ชัดเจนว่าเขาเขียนในบริบทความเข้าใจของเขาเอง ..

คนที่เพิ่งอยู่ในอาณาจักรสยามมาเพียง 8 ปีจะสามารถรู้เรื่องต่างๆของสยามได้จากไหนเล่า หากมิใช่คำบอกเล่าของคนสยามในต่างกรรมต่างวาระ ..

ยกมา 1 ตัวอย่าง .. ข้อความที่มินตรายกมา ..

" .. ในพ.ศ. 2179 ได้เขียนหนังสือ “จดหมายเหตุของโยส เซาเตน พ่อค้าชาวฮอลันดาในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าปราสาททอง” เล่าถึงอาณาจักรสยามไว้ว่า ..

.. ประเทศสยามเป็นราชอาณาจักรใหญ่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ตั้งอยู่ในทวีปเอเชียตอนเหนือเส้นศูนย์สูตร ขึ้นไปจนถึงเส้นรุ้งที่ 14 มีอาณาเขตติดต่อกับราชอาณาจักรหงสาวดีและอังวะ มีเมืองสำคัญคือ อยุธยา พิษณุโลก สวรรคโลก ลำปาง สัชนาลัย กำแพงเพชร นครสวรรค์ ตะนาวศรี นครศรีธรรมราช พัทลุง บางกอก เพชรบุรี ราชบุรี และ มะริด .. "

เขียนเมื่อปี 2179 บอกว่า"ลำปางซึ่งอยู่ในแคว้นล้านนาแน่นอน" นั้นเป็นของสยาม ..

แต่ วิกิพีเดีย .. บอกรายนามผู้ปกครองล้านนาว่า ..
2 รายนามผู้ปกครองแคว้นล้านนา
2.1 แคว้นล้านนาในฐานะรัฐบรรณาการของอาณาจักรตองอู (พ.ศ. 2101 - 2139)
2.2 แคว้นล้านนาในฐานะรัฐบรรณาการของอาณาจักรอยุธยา (พ.ศ. 2139 - 2158)
2.3 แคว้นล้านนาในฐานะรัฐบรรณาการของอาณาจักรอังวะ (พ.ศ. 2158 - 2206)

นี่คือสิ่งที่ "คนต่างชาติ" เข้าใจเอาเอง .. ซึ่งย่อมมีทั้งที่ถูกต้อง และ ผิดพลาดเพราะ เข้าใจผิด ตีความผิด ..

ผมไม่คิดว่า ประวัติศาสตร์ในส่วนที่ชาวต่างชาติเขียน หรือ บันทึกสืบทอดในวงศ์ตระกูลหนึ่ง ๆ จะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าประวัติศาสตร์กระแสหลักที่คนรุ่นใหม่ค้นคว้าเปิดเผยออกมาได้ ..

คนรุ่นใหม่ที่ผมพูดถึง มี ..
สุเนตร ชุติณทรานนท์
นิธิ เอี่ยวศรีวงศ์
สุจิตต์ วงศ์เทศ
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ
รวมทั้งเครือข่ายกลุ่มหนังสือ มติชน ศิลปวัฒนธรรม

ประวัติสาสตร์ของกรมดำรงฯ ก็ไม่ใช่จะผิดทั้งหมด
ที่มีหลักฐานตรวจสอบชัดเจนตรงกันกับเพื่อนบ้านก็ได้รับการยอมรับ ..

ส่วนที่ไม่มีหลักฐาน ก็ต้องใส่หมายเหตุเชิงอรรถเพื่อการตรวจสอบค้นคว้ากันต่อไป ..

การระบุว่า คนสยาม สร้างบูโรพุทโธ นี่ก็อีกเรื่อง .. เป็นการพยายาม "ลากลงใต้" ให้ได้ของมินตรา

................................................................

มหาสถูปโบโรบูดูร์ (อินโดนีเซีย: Chandi Borobudur) หรือ บาราบูดูร์ (อินโดนีเซีย: Barabudur) ส่วนในประเทศไทยจะรู้จักในชื่อ บุโรพุทโธ[1] เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในภาคกลางของเกาะชวา ห่างจากยอกยาการ์ตาไปทางตะวันตกเฉียงเหนือราว 40 กิโลเมตร

สร้างขึ้นระหว่างปี พ.ศ. 1293 - 1393 โดยบุโรพุทโธเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ถ้าไม่นับนครวัดของกัมพูชาซึ่งเป็นทั้งศาสนสถานของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและศาสนาพุทธ บุโรพุทโธจะเป็นศาสนสถานของศาสนาพุทธที่ใหญ่ที่สุดในโลก

..................................................................

พ.ศ. 1202-1758 คืออาณาจักรศรีวิชัย
พศ. 1792 สถาปนาอาณาจักรสุโขทัย ..
บูโรพุทโธ สร้างในศตวรรษแรกของอาณาจักรศรีวิชัย



ตอนนี้ผมเริ่มมีภาพที่มองเห็นคือ .. มินตราเข้าใจว่า

1. อารยันในอินเดีย .. อพยพมาเป็นชาวสยาม .. ผู้มีอารยธรรมจึงมีแต่ สยาม เท่านั้น เป็นสยามที่ครองดินแดนสุวรรณภูมิ (ทั้งๆที่เรานับความเป็น"สยาม"เพียงกลุ่มภาษาเหน่อฝั่งชายแดนตะวันตกริมแดนพม่าเท่านั้นเอง)

2. อารยันที่นับถือพราหมณ์เป็นผู้สร้างปราสาทนครวัดในเขมร และอารยันที่เป้นพุทธมหายานเป็นผู้สร้างบูโรพุทโธในอินโดนีเซีย .. และเหมาเอาว่า อารยันพวกนี้ ชาวสยามอีก

3. สยามพวกนี้คือพวกที่ขึ้นฝั่งทางทะเลใต้แล้วอพยพขึ้นมาครองดินแดนอยุธยา ในที่ราบลุ่มเจ้าพระยา

ความเข้าใจแบบนี้ผมไม่เคยพบ ไม่เคยอ่าน จากหนังสือประวัติศาสตร์แหล่งใดครับ


โดย: สดายุ... วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:12:22:31 น.  

 
ดายุ..
ลองศึกษาข้อมูลจากนักโบราณคดี น่าจะให้ความคิดใหม่ เกียวกับนักประวัติศาสตร์ที่ ไม่มี "หลักฐานทางเหตุและผลเชิงวิทยาศาสตร์ "อ้างได้นะคะ

นักโบราณคดีคนสำคัญคือ ..ศรีศักร วัลลิโภดม.. เพราะเป็นแนวความคิดที่อาศัยข้อมูลใหม่ในทางโบราณคดีรองรับและน่าเชื่อถือที่สุดทฤษฎีหนึ่งในวงวิชาการด้านโบราณคดี-ประวัติศาสตร์ในปัจจุบัน
หนังสือ “พัฒนาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย” ของศรีศักร วัลลิโภดม (2544) กล่าวถึงความเป็นมาของพุทธศาสนา “เถรวาท” ในประเทศไทยว่า เริ่มต้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัย หรืออาจกล่าวได้ว่าเริ่มต้นก่อนสมัยทวารวดีที่มีนครปฐมโบราณเป็นศูนย์กลางเสียด้วยซ้ำ จากการศึกษาทางโบราณคดีทำให้เชื่อว่าดินแดนที่เป็น “สยามประเทศ” ขั้นแรกเกิดขึ้นที่บริเวณลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง ทางซีกตะวันตกของลุ่มน้ำเจ้าพระยา เนื่องจากมีหลักฐานแสดงว่า ผู้คนในดินแดนนี้ติดต่อสัมพันธ์กับอินเดียตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 3-4 จน “อาจ” กล่าวอ้างได้ว่า บริเวณนี้คือ “สุวรรณภูมิ” ดินแดนที่สมณฑูตของพระเจ้าอโศกมหาราชเข้ามาสั่งสอนพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก บริเวณแห่งนี้ปรากฏร่องรอยชุมชนที่ซับซ้อนและต่อเนื่องมาจนถึงสมัยฟูนัน (พุทธศตวรรษที่ 6-7) โดยมีเมืองอู่ทองเป็นศูนย์กลาง
จากหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ (เช่น ตำนานชินกาลมาลีปกรณ์ และในจดหมายเหตุของจีน) ได้สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ทางการเมืองของ....กลุ่มเมืองในลักษณะที่ไม่ใช่การรวมศูนย์อยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่ง หากดำรงอยู่เป็นเครือข่ายสัมพันธ์ที่ดูคล้าย ๆ กับสหพันธรัฐ ....กล่าวคือ มีหลายกลุ่ม แต่ละกลุ่มต่างมีเมืองสำคัญของตนเอง เช่น สุโขทัยเป็นกลุ่มหนึ่ง เพชรบุรีกลุ่มหนึ่ง นครศรีธรรมราชกลุ่มหนึ่ง และสุพรรณภูมิอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นต้น ผู้ปกครองแต่ละกลุ่มมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติจากการแต่งงานระหว่างกัน ความสัมพันธ์เช่นนี้นำไปสู่ทั้งการร่วมมือกันและการขัดแย้งกัน
ถ้าศึกษาให้ละเอียดลงไปอีกระหว่างสยามกับแคว้นละโว้ หรือ หลอฮก ในจดหมายเหตุของจีน ก็จะเห็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกันเกิดขึ้นคือ แคว้นสยามนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ลุ่มน้ำท่าจีน-ป่าสัก ที่มีการขยายตัวออกไปยังดินแดนใกล้เคียงในลักษณะขยายปริมณฑล ...ในขณะที่แคว้นละโว้นั้นไม่ได้กลายเป็นศูนย์กลาง ... ตรงกันข้าม กลับกลายเป็นส่วนขยายหรือปริมณฑลของกัมพูชา ซึ่งนับวันจะถูกกลืนให้เป็นปริมณฑลของกลุ่มอำนาจใหม่คือ พระนครศรีอยุธยา
แม้สมเด็จพระรามาธิบดีอู่ทองจะทรงเป็นกษัตริย์ของฝ่ายละโว้ ทรงรวมสุพรรณภูมิกับละโว้ได้สำเร็จมาเป็นพระนครศรีอยุธยาก็ตาม แต่ในเวลาต่อมาก็ถูกกษัตริย์ทางสุพรรณภูมิหรือสยามกลืนไปหมด ทั้งยังพยายามขยายอำนาจเข้ายึดครองกัมพูชาอีกด้วย
ทำไม ละโว้จึงไม่เติบโต แทนที่จะขยายแต่กลับหดลง ในขณะที่สุพรรณภูมิกลับขยายและเติบโต
ศรีศักร วัลลิโภดม อธิบายว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น ประการแรก ละโว้ไม่มีศักยภาพที่จะบูรณาการให้ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเผ่าพันธุ์ของผู้คนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างซับซ้อนให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ ซึ่งก็คงเนื่องมาจากรูปแบบการปกครองและระบบกษัตริย์ที่ได้รับอิทธิพลมาจากขอมเมืองพระนครที่สร้างซ่องว่างขึ้นจนเกินไปนั่นเอง และประการที่สอง ดินแดนสยามประเทศเปิดตัวเองต่อการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ และคมนาคมได้ดีกว่าดินแดนละโว้ ทำให้มีคนหลายกลุ่มเหล่าเคลื่อนย้ายเข้ามา มีทั้งอำนาจเพิ่มขึ้นและมีพลังสติปัญญามากกว่า
//prachatai.com/journal/2015/06/59752

ประวัติศาสตร์ไทยที่จอมพลป.อดีตนักเรียนเก่าฝรั่งเศส บังคับให้เรียน คือ ประวัติศาสตร์ของ โพรเฟสเซอร์ฝรั่งเศส เจ้าของอาณานิคมอินโดจีน
จะให้ไทยเป็นทาสขอมให้ได้ !

ความจริงนึกว่าสดายุ จะโต้กลับว่า ข้อมูลอารยธรรมที่เคลื่อนไหวผ่านการค้า บนเส้นทางการค้าโลกนั้น อยู่ใต้อิทธิพลของเปอร์เซีย และ วันวลิต หรือนักการฑูตนานาชาติ ที่มาติดต่อและ เรียกเราว่า สยาม นั้น เป็นกลุ่มต่างชาติที่ ติดต่อใกล้ชิด และค้าขายรับข้อมูลในราชสำนัก อยู่ภายใต้อิทธิพลของ เจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย เจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี สมัย อยุธยา และตระกูลนี้ ซะอีก แน่ะ !


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:18:43:46 น.  

 
สดายุ..

ที่มินตราเลือกที่จะเคารพข้อมูลของ นักโบราณคดี เยี่ยง..ศรีศักร วัลลิโภดม..นั้น เพราะ ท่านมี "ข้อมูลภาคปฎิบัติ" (Field Research)

ตรงกับที่มินตราเรียนมาตั้งแต่จำความได้ว่า
ประชาชน ต้องมี ศีลห้า เป็น แนวทางปฎิบัติ
และ ชนชั้นปกครอง ต้องมีทศพิธราชธรรม เป็นแนวปฎิบัติ สังคมจึงจะอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข และ หากชนชั้นปกครองไม่เคารพกติกาที่วางไว้ ประชาชนก็มิสิทธิที่จะ ไม่ยอมรับ... ได้


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:18:59:47 น.  

 
มินตรา ..

ข้อมูลจาก หนังสือ “พัฒนาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย” ของศรีศักร วัลลิโภดม .. สอดคล้องกับที่ผมพูดไว้ .. คือ สุพรรณภูมิ เรียกสยาม ส่วน ฝ่ายลพบุรีเรียก ละโว้-อโยธยา

แต่ที่ยอมให้ ฝ่ายลพบุรี ขึ้นก่อนเพราะ นอกจากเป็นสหายกันแล้วยังเป็นน้องเขยของขุนหลวงพะงั่วแห่งสุพรรณบุรี ด้วย ..

ส่วนอิทธิพลของ เจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย เจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี สมัย อยุธยา นั้น ผมเข้าใจว่าตระกูลนี้มีบทบาททางการค้าก่อนในยุคพระเจ้าทรงธรรม ต่อเนื่องมาถึงยุคพระเจ้าปราสาททอง

แต่หากจะให้พูดถึงทางการเมืองแล้ว มาถึงจุดสูงสุดในยุค ร.5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์แน่นอน .. ในตำแหน่ง"ผู้สำเร็จราชการแห่งแผ่นดินสยาม" คิดว่าสูงสุดสำหรับสามัญชนที่จะเป็นได้แล้ว

หากเปรียบกับปลายยุคสมัยพระเจ้าทรงธรรมแล้ว .. ท่านก็เปรียบได้กับ จมื่นศรีสรรักษ์ ที่เหมือนจะว่าราชการแทนยุวกษัตริย์อยู่ช่วงหนึ่ง .. คือ มีอำนาจในมือปกครองประเทศเลยทีเดียว ..

เพียงแต่จมื่นศรีสรรักษ์ เลยเถิดไปถึงขั้นทำรัฐประหาร แถมทำสำเร็จ จึงตั้งตนเป็นกษัตริย์ราชวงศ์ใหม่ คือ พระเจ้าปราสาททอง ..

ผมมีความเห็นว่าบทบาทของตระกูลนี้ ..
1. เข้าสยามมา .. ปลายยุคพระนเรศ
2. ได้เป็นพระยาเฉกอะหมัดรัตนราชเศรษฐีเจ้ากรมท่าขวาและ จุฬาราชมนตรี .. ปลายยุคพระเจ้าทรงธรรม
3. เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกจางวางกรมมหาดไทย .. ปลายยุคพระเจ้าปราสาททอง

ตรงนี้สันนิษฐานว่า ช่วงที่จมื่นศรีสรรักษ์ ทำรัฐประหารพระเชษฐา โอรสพระเจ้าทรงธรรมนั้น ท่านน่าจะยังไม่มีบทบาททางฝ่ายการเมือง .. เพราะเมื่อเปลี่ยนราชวงศ์แล้วยังได้รับการอวยยศต่อขึ้นไปอีก

4. ทายาทรุ่นต่อๆมาดำรงตำแหน่ง สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ .. ในยุค ร.4

5. ทายาทของ สมเด็จเจ้าพระยาในข้อ 4. นี้ได้เป็นสมเด็จเจ้าพระยาอีกคนและเป็นผู้สำเร็จราชกาลช่วง ร.5 ยังทรงพระเยาว์ .. ซึ่งเป็นศักดินาสูงสุดของตระกูลเฉกอะหมัดแล้ว

ผมคิดว่า ขอม ที่ถูกเจ้าสามพระยายกทัพไปตีนครวัดแตกใน พศ.1975 นั้นแทบไม่สามารถพูดว่าเราอยู่ใต้อำนาจขอมหรือขี้ข้าขอมได้เลย เพราะจาก 1893 มาถึงจุดนี้แค่ 82 ปีเท่านั้น ที่กรุงศรีอยุธยาตั้งขึ้นมา ..

ผมเห็นแย้งตรงประเด็น สมณทูตพระเจ้าอโศกที่ส่งมาสุวรรณภูมินั้น .. "น่าจะ" เป็นอาณาจักรมอญ

พงศาวดารมอญ ก็กล่าวไว้ว่าเมื่อปี ๒๕๐ ก่อนคริสต์ศักราช พระโสณะเถระและพระอุตตระเถระ ได้เดินทางมาประกาศพระศาสนา ณ ดินแดนสะเทิม-สุวรรณภูมิ..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/15498


โดย: สดายุ... วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:19:44:16 น.  

 
มินตรา ..

อีกอย่างที่ อ.ศรีศักร วัลลิโภดม ศึกษาค้นคว้าส่วนใหญ่เป็นเชิงศิลปะวัฒนธรรม และ ยุคสมัยที่ค่อนข้างเก่าแก่ที่มีหลักฐานเหลือปรากฎอยู่น้อยมาก ..

ประวัติศาสตร์ยุคก่อนอยุธยา จึงต้องใช้ข้อสันนิษฐานสูงมาก .. การค้นพบวัตถุโบราณสักชิ้นหนึ่งในพื้นที่ใด แล้วต้องใช้การคาดการณ์เรื่องราวเทียบเคียงเชิงศิลปะ เชิงวัสดุวิทยา มันยากจะถูกต้องใกล้เคียง เพราะน้อยเกินไป ..

ผมจำได้ว่าสมัย ร.5 คนไทยมีแค่ 10 ล้านคน .. นี่แค่ 100 ปีเอง .. หากย้อนไปยุคพระนเรศ 400 ปีที่แล้ว คนไทยจะมีสักกี่คน ? ..

ผมสมมุติว่ามีสัก 1 ล้านคน
และกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งอาณาจักร ..

ย้อนขึ้นไปอีก 200 ปีจากยุคพระนเรศคือยุคพระเจ้าอู่ทองตั้งเมือง อาจมีแค่ 1-2 แสนคนทั้งอาณาจักร ..

จริงไหม ?

หากย้อนไปถึงยุคทวาราวดี .. ผมนึกไม่ออกว่าประชาชนจะมีสักกี่คนในอาณาจักรพวกนี้ .. 2-3 หมื่น ?

ผมถึงไม่สนใจประวัติศาสตร์ที่เก่าเกินไป ที่ยากจะหาข้อยุติในความถูกต้อง



โดย: สดายุ... วันที่: 24 เมษายน 2559 เวลา:20:18:03 น.  

 
สดายุ
คำว่า "เฉก" Scheich เป็น ตำแหน่งในภาษาอาหรับ มาตั้งแต่ก่อนจะเกิดศาสนาอิสลาม เป็นตำแหน่งเกียรติยศสำหรับ "ผู้นำทางศาสนา และ หัวหน้าชนชาติ"

เฉกอะหมัด ต้นสกุลบุนนาค กับ สุลัยมาน ต้นสกุลพระยาราชวังสัน อัยกา (คุณตา) แห่งสมเด็จพระศรีสุลาลัย ( เจ้าจอมมารดาเรียม : พ.ศ. 2313 — พ.ศ. 2380 พระราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 และเป็นพระสนมเอกในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย) ซึ่ง อาจารย์นิธิบอกว่าเป็นสาวชาวบ้านนนทบุรี

เฉกอะหมัด และ สุลัยมาน เป็นชาวเปอร์เซีย มุสลิม ต่างนิกายกัน เฉกอะหมัดเป็นมุสลิมนิกายชิอะห์ (หรือเจ้าเซ็น) ส่วนสุลัยมานเป็นมุสลิมนิกายสุนนี (หรือสุหนี่)
เฉกอะหมัด เดินทางเข้ามาตั้งรกรากในอยุธยาโดยตรง
บิดาของสุลัยมานชื่อโมกอล นั้นตั้งรกรากอยู่ที่เมืองสาเลห์ใกล้ๆกับกรุงยกยาการ์ต้า (ไทยเราเรียกเมืองยกยา) เมืองหลวงของชวา (อินโดนีเซีย)ก่อน

ส่วนการที่อพยพลูกเมียบริวารออกจากเมืองสาเลห์ ได้ความว่า หนีภัยจากพวกฝรั่ง ซึ่งกำลังล่าเมืองขึ้นอพยพลงเรือสำเภาหลายลำ มาขึ้นบกที่สทิงพระ (เมืองสตรึงเพรียะ) เมืองสงขลา (สิงขรา)
ต่อมาสมเด็จพระเอกาทศรถ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ดะโต๊ะ โมกอล เป็นผู้ว่าราชการเมืองพัทลุง รวมไปถึงสิงขรา (สงขลา) เป็นการเข้ารับราชการในสมเด็จพระเจ้ากรุงสยามของต้นตระกูลนี้้ ซึ่งเริ่มจากหัวหน้าเหมือนๆกัน

เจ้าพระยาบวรราชนายก (เฉกอะหมัด) นับเป็นต้นสายสกุลหรือวงศ์เฉกอะหมัด ชั้นที่ ๑ เฉกมะหะหมัด ได้ภรรยาเป็นไทยชื่อ เชย มีบุตรด้วยกัน ๓ คน

๑ เป็นชายชื่อ ชื่น ได้เป็นที่พระยาวรเชษฐ์ภักดี ว่าที่จุฬาราชมนตรี เจ้ากรมท่าขวาในสมัยพระเจ้าทรงธรรม และได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาอภัยราชา สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง
๒ เป็นชายชื่อ ชมถึงแก่กรรมแต่เมื่อยังเป็นหนุ่ม
๓ เป็นหญิง ชื่อ ชี เป็นสนมเอกในสมัยพระเจ้าปราสาททอง

ท่านชื่นได้เป็นพระยาบวรเชษฐภักดีมาแต่แผ่นดินพระเจ้าทรงธรรม และได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าพระยาอภัยราชา สมุหนายก อัครมหาเสนาบดีฝ่ายเหนือ ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง

วงศ์เฉกอะหมัดชั้นที่ ๒ เจ้าพระยาอภัยราชา (ชื่น) มีบุตรสองคนกับภรรยาหลวง (ไม่ปรากฎชื่อ) ที่หนึ่งเป็นหญิง ชื่อเลื่อน ซึ่งได้ถวายเป็นพระสนมของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง มีพระองค์เจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระองค์เจ้าแสงจันทร์ ที่สองเป็นชายชื่อสมบุญ ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นจมื่นจงภักดีในกรมวัง ในแผ่นดินสมเด็จ พระนารายณ์ ต่อมาโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนบรรดาศักดิ์ ขึ้นเป็นพระยาบำเรอภักดี ปลัดทูลฉลองกรมวัง

จะเรียนให้ทราบว่า ไทยมีชนชั้นปกครอง
และวิธีส่งต่อความรู้กัน ก็เหมือนกับในยุโรป
และชนชั้นปกครองทั่วโลกจะ เสมอบ่าเสมอไหล่กัน
ต่อความรู้กันได้ในระนาบเดียวกัน

คาร์ลมาร์ค จึงให้เวลา เจ็ดชั่วคนในการที่ จะเสมอบ่าเสมอไหล่กันได้ในวัฒนธรรมที่เท่าเทียมกัน

"นักประวัติศาสตร์ไทย"มีความสามารถมากกว่า ที่สร้างประวัติศาสตร์ใหม่ได้ทันที และมีคนรับด้วย ซึ่งยากมากที่จะทำได้ในยุโรป



โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:1:30:54 น.  

 
มินตรา ..
เห็นการเติบโตก้าวหน้าในหน้าที่ของบรรพบุรุษตระกูลบุนนาคแล้วน่าภูมิใจแทนนะครับ
หาได้ยากมากในศักดินาระดับ “สมเด็จเจ้าพระยา” ที่มีถึง 3 คนในวงศ์ตระกูลเดียว

ในยุคสมัยที่หมู่คนมีจำนวนไม่มากนัก .. การอบรมเชิงจารีตประเพณียังพอรับมือได้อยู่ ..
ระบบกษัตริย์จึงยังได้รับการยอมรับ

แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไปจำนวนคนเกิดขึ้นมากมายจนเกินการดูแลจัดการภายใต้ระบบ “อบรมสืบทอดทางสายเลือด”
การล่มสลายของระบบสายเลือดเชิงจารีตนี้จึงเกิดขึ้นทั่วโลก ..

เพียงไม่กี่ประเทศในยุโรปตะวันตกที่ปรับตัวได้ เลิกยุ่งเกี่ยวการเมือง”อย่างแท้จริง”
อังกฤษ เบเนลักซ์ สแกนดิเนเวียร์ เท่านั้นที่ยังรักษาไว้ได้
แต่ก็เก็บไว้เชิงจารีตประเพณี พิธีกรรม การท่องเที่ยว เพียงเท่านั้น

ถามว่าดูตรงไหน ว่าราชวงศ์อย่างอังกฤษเลิกข้องเกี่ยวการเมืองอย่างแท้จริงแล้ว ?

มินตราตอบได้ไหมครับ


โดย: สดายุ... วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:8:25:03 น.  

 
ดายุ..
ที่มินตรามานั่ง "เสียงแข็ง" อยู่นี่ เพราะต้องการแจงให้ทราบว่าการ “อบรมสืบทอดทางสายเลือด” นั้น ใช่ว่าจะเลวไปเสียหมด
เยอรมันตะวันออกเคย"ลองผิดลองถูก"มาแล้วถึง 50 ปี ในระบบคาร์ล มาร์คจนคนทุกคนเท่าเทียมกันหมด คือ "จนเท่ากันโดยถ้วนหน้า"
ประเทศล้มละลายเพราะต่างคนก็ต่างต้องการเป็นผู้นำ
ไม่มีมนุษย์ปุถุชนคนไหนต้องการเป็นชนชั้นแรงงาน..
เคยมีกฎออกมาว่า คนที่บิดามารดาเป็นแพทย์ห้ามลูกเรียนแพทย์ ก็เลยได้ลูกกรรมกรมาเป็นแพทย์ แล้วได้ลูกแพทย์มาเป็นกรรมกรเพราะระบบกีดกัน"ความสามารถของคน" เพื่อต่อต้าน การ “อบรมสืบทอดทางสายเลือด”
.....................
การสำรวจของกระทรวงศึกษาในแคว้นนอร์ทไรน์-เวสฟัล( Nordrhein-Westfalen)ของเยอรมันในปี 2014 จากการสอบถามคุณครู... 83 % ของคุณครูตอบว่า คอมพิวเตอร์ โรงเรียนมีไว้"บ้าง.. พอเป็นตัวอย่าง"ในระดับผู้บริหารโรงเรียน หรือ ไม่มี"ห้องคอมพิวเตอร์"เลย 1 % ของนักเรียนในทุกระดับชั้นเรียนมี แทปเลท(Tabletcomputer)
...แต่ 70 % ของนักเรียนมีระบบอินเตอร์เนตเร็วในระดับนักเรียนระดับประถมถึง59 %
ในจำนวนผู้ถูกสอบถาม 90 % ตอบว่ามีความรู้เรื่อง IT-ระบบอินเตอร์เนต และที่บ้านมีคอมพิวเตอร์
ระหว่างปีการศึกษา2001–2011ของเยอรมันจำนวนนักเรียนในโรงเรียนประถม( Hauptschulen) -457.000คน (ลดลง)ในโรงเรียนมัธยมระดับอาชีพ(Realschulen) -148.000คน(ลดลง) ในโรงเรียนมัธยม (Gymnasien )+149.000 (เพิ่มขึ้น) ผลจากการสอบถาม แจ้งว่า คนที่บิดามารดาเป็นชนชั้นแรงงานสนับสนุนให้บุตรเรียน โรงเรียนมัธยม (Gymnasien ) อย่างแรงกล้า
แสดงว่าคนเยอรมันให้ความสำคัญกับการศึกษามากและ "เพิ่มคุณภาพให้ตนเอง" เพื่อโอกาสที่ดีขึ้นในชีวิต
จากรายงานของ PISA-Studienระบุว่าระบบการศึกษาของเยอรมัน "เข้ม"มากที่จะสนับสนุนให้คนเป็นชนชั้นสูง และไม่สนใจชนชั้นล่าง ซึ่ง ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษาของยูเอ็น นาย แวร์นอร์ มูโนส (Vernor Muñoz) ก็เห็นตรงกัน
และเยอรมันเองก็ยอมรับว่าครอบครัวชนชั้นสูงส่งเสริมให้เด็กเรียนในระดับมัธยมสายวิชาการ มากกว่า ในครอบครัวกรรมกร และผู้มีปัญหาจะเป็นผู้มีรากฐานจากครอบครัว"คนย้ายถิ่น"ที่เข้ามาอยู่ใหม่ในเยอรมันซึ่งเป็นปัญหาในการปรับตัวเข้ากับสังคม เป็นปัญหาสังคมทีเดียว
วิศวกรและนักวิทยาศาสตร์เยอรมันบอกว่า "แรงงาน"นั้น เราผลิตเครื่องจักรให้มาทดแทนได้ ฉะนั้นมนุษย์ควรมีหน้าที่ในการเพิ่ม"คุณภาพ"ในความเป็นคน
.................................
อายนะนี่ ! เสมือนจะ"อวดตน" ที่ถึงกับต้องมาเล่าเรื่องตระกูล
แต่รู้ว่าไม่ทราบจึงต้องเรียนให้ทราบ เพื่อเป็นหลักฐานยืนยันว่า ไทยมี ชนชั้นปกครองซึ่งระบบในการศึกษาเป็น"การถ่ายทอดความรู้จากคนรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่ง"
และ มินตราเห็นว่าเป็น..หน้าที่ของรัฐ..ที่ต้อง"ให้โอกาสที่เท่าเทียมกัน "แก่ประชาชนเพื่อเพิ่ม "คุณภาพ"ให้ประชาชน
ซึ่งตั้งแต่สมัยพระเอกาทศรถมาจนถึงรัตนโกสินทร์ ตระกูลบุนนาคจะมีโรงเรียนสอนบุคคลากรให้มีความรู้
ฝึกตั้งแต่"ช่างสิบหมู่" จนถึง"งานในราชสำนัก ทั้งฝ่ายใน และ ข้าราชบริพาร"
ใช่จะแบ่งแยกชนชั้น แต่เป็น "การรักษาวัฒนธรรมให้สืบทอดต่อไปในมนุษยชาติ"
ราชวงศ์อังกฤษ ..ใช่ว่า"ทำเป็นจะไม่รู้ไม่ชี้"กับความเดือดร้อนของแผ่นดิน แต่ ท่านมี"ขอบเขต"ของท่าน "รู้ควรรู้ไม่ควร"

ตราบใดที่เมืองไทยยังมี คนอย่าง คุณผุสดี งามขำ
มีนักวิชาการอย่าง รศ.ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
มีประชาชน อย่าง คุณจตุพร พรหมพันธุ์
มีคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ความสามารถระดับสากลเยี่ยง คุณจักรภพ เพ็ญแข

คนคนเดียว ทำอะไรแผ่นดินไม่ได้หรอก และปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ เป็น ปรากฎการณ์ที่ทำให้เราเห็น"คุณค่า" ของสิ่งที่เรามีอยู่และ "เน้นในสิ่งที่ควรมี ควรเป็น"
คนอารยัน มี หลักในการคิด:
- ทฤษฎี"สองด้าน"( theories of ethics )..เช่น มีขาวต้องมีดำ มีดีต้องมีชั่ว เมื่อมืดแล้วมีสว่าง...
- "ทฤษฎีเหตุและผล"(Causality Theory) เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ ..ผลที่ตามมาคือ..เช่นนั้น...


โดย: บุษบามินตรา IP: 37.59.6.32 วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:13:24:09 น.  

 
มินตรา ..

ผมยอมรับว่า"การอบรมสืบทอดทางสายเลือด" ไม่ได้เลวร้ายไปเสียหมด อยู่ที่คนรุ่นพ่อแม่จะอบรมลูกๆกันแค่ไหน ?
แต่ การ "รู้ควรไม่ควร" นี่ ไม่แน่ใจว่าจะมีกันในทุก"วงศ์ตระกูล"หรือเปล่านะครับ

“ชนชั้นใช้ปัญญา. คำนี้ผมอยากใช้แทนคำว่า “ชนชั้นสูง”
คนไม่ได้สูงด้วยชาติกำเนิดในความคิดของผม แต่สูงด้วยปัญญา และ พฤติแห่งจิต ที่คู่ควรต่อการคารวะ
มินตราเองก็คงรับรู้อยู่เต็มอก .. เกี่ยวกับ “ชนชั้นสูง” ของไทย

ดังนั้นการอบรมสืบทอดทางสายเลือดในวงศ์ตระกูลที่เข้มงวดกับลูกหลานเพียงพอ พ่อที่เป็นเสือย่อมมีลูกเป็นเสืออย่างพ่อ.. ตรงนี้หากจำลองภาพการสืบทอดในครอบครัวธุรกิจของไทยคงเห็นภาพชัดว่า เสือมีลูกเป็นเสืออยู่หลายบ้าน .. แต่ก็มี ที่มีลูกเป็นสุนัขอยู่เช่นกัน

คงต้องโทษ “พ่อแม่”ที่ไม่สอน”ขอบเขต” รวมทั้งการ "รู้ควรรู้ไม่ควร”แก่ลูกหลานตัวเอง


โดย: สดายุ... วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:18:43:21 น.  

 
ดายุ..
ขออนุญาตใช้คำว่า "ชนชั้นสูง"ต่อไปนะคะ เพราะสูงด้วย คุณธรรม ความรู้ และ วัฒนธรรมที่สร้างสมกันมาหลายชั่วคน ไม่ได้ใช้ "ปัญญา"เสมอไป ยังผิดถูกเยี่ยงปุถุชน
เพราะ พ่อแม่เรามิได้"เข้มงวด" กับเรามากนัก ออกจะสอนให้มีความเป็น"ตัวของตัว" มากอยู่ ..อัตตาสูง..
แต่ความจริงมาจากความที่เรียนรู้มากจน"แตกปัญญา"ได้
เอง
ที่มานั่งสนทนากับคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันเลยในเวปไซด์นี่ เป็นความ"กล้าหาญ" มากสำหรับกุลสตรีไทย ! 555
แปลกนะ ยังมีความรู้สึกว่า ภาษาที่ใช้สนทนาหน้าเวปนี่ มาจาก"สองสดายุ"
คนหนึ่งนุ่มนวลและรู้ในระดับเดียวกับมินตรา
อีกคน "เสมือนจะรู้" และไม่อ่านที่อธิบายให้ละเอียด แต่ตอบกลับโดยไม่มีข้อมูล และ ไม่มีหลักการ




โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 25 เมษายน 2559 เวลา:19:25:36 น.  

 
มินตรา ..

" เพราะสูงด้วย คุณธรรม ความรู้ และ วัฒนธรรมที่สร้างสมกันมาหลายชั่วคน ไม่ได้ใช้ "ปัญญา" .."

หากจะนิยามเยี่ยงนี้ .. ผมขอ ignore แล้วกันครับ

เพราะ"ความรู้ ความสามารถ" อย่างที่ว่าของบรรดาอำมาตย์ขุนนาง (ตระกูลไหนบ้างในยุคสมัยนั้นก็คงหาข้อมูลไม่ยาก) รวมทั้งกษัตริย์ของจ้าวเอกทัศน์ (บุคคลชั้นสูง) นั้นได้ใช้ความรู้ความสามารถบริหารจัดการกรุงศรีอยุธยาจนล่มสลาย (ฉิบหาย) คาตา หนีพม่ากันหัวซุกหัวซุน .. นี้ประการที่ 1

เพราะ"ความรู้ ความสามารถ" อย่างที่ว่าของบรรดาอำมาตย์ขุนนางรวมทั้งกษัตริย์ปูยี ของราชวงศ์สุดท้ายของจีน (บุคคลชั้นสูง) นั้นได้ใช้ความรู้ความสามารถบริหารจัดการเมืองจีนจนกลายเป็น "ขี้โรคแห่งเอเชีย" ให้ฝรั่งตะวันตกรุมทึ้งแผ่นดินตน .. นี้ประการที่ 2

ผมกลับเห็นลูกเจ๊กจีนอย่างจ้าวตาก ใช้ความสามารถโดดเด่นมานำ"ชนชั้นสูง"ที่หนีตายกระจัดกระจาย กระเจิดกระเจิง มาสู้รบพม่าใหม่ ...

ผมกลับเห็นพลพรรค พคจ. อย่าง เหมา โจ เติ้ง .. ที่นำพาจีนกลับมาผงาดเป็นมหาอำนาจ ทั้งๆที่ไม่ใช่ชนชั้นสูงอะไร .. ว่าเป็นผู้มี "ความรู้ ความสามารถ"

ขณะที่"ชนชั้นสูง"ตามนิยามของมินตรา ด้อยความสามารถ ด้อยความรอบรู้ ที่จะจัดการบ้านเมืองต่อไปได้ จนล่มสลาย แถมถูกจับไปเป็น"เชลย-นักโทษถูกขื่อคา"ไปตายอนาถาเอาต่างแดน

ความรู้ ความสามารถ หายไปไหนครับ ?

มันไม่มีคำว่าชนชั้นสูง ..

มีแต่คนที่มีโอกาสโดยตำแหน่งหน้าที่เข้ายึดกุมอำนาจทางการเมือง เป็นกลุ่มก้อน เป็นครั้งคราว แล้วสนับสนุนค้ำจุนพรรคพวกตนเอง ให้มีส่วนร่วมด้วยในอำนาจนั้น .. และมันไม่ยั่งยืนอะไร อีกไม่นานก็ถูกล้ม แล้วมีคนใหม่เข้ามาแทนที่

อีกอย่าง ..
" .. ความจริงมาจากความที่เรียนรู้มากจน"แตกปัญญา"ได้เอง .. "

พระอรหันต์ในยุคพุทธกาลรูปหนึ่งเป็นคนสยาม .. คงใช่ครับเรียนรู้มากจนแตกปัญญาได้เอง ..



โดย: สดายุ... วันที่: 26 เมษายน 2559 เวลา:6:27:37 น.  

 
"สดายุ"

นี่ไงคะ "สดายุคนที่สอง" กับทฤษฎี ร.๑ ฆ่าพระเจ้าตาก ของอาจารย์นิธิ และ พระเจ้าตากเป็นลูกจีน !

กรุณาศึกษาหาข้อมูลอีกครั้ง หากมีความสามารถพอ

ที่ยกตัวอย่างมาน่ะ เกิดขึ้นเพราะ คนเหล่านั้น "ขาดความรู้ความสามารถ"ไงคะ

สำนวนแบบนี้ เคยปะทะ "ทื่อทื่อ "กับมินตราตามเวปไซด์มาหลายครั้งแล้ว จำภาษาได้ เพราะไม่มีทฤษฎีในการโต้แย้ง( discourse)





โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 26 เมษายน 2559 เวลา:10:27:04 น.  

 
"สดายุ"
กรุณา ศึกษา
"ทฤษฎี การโต้แย้ง" ( discourse)ของ Michel Foucault (1926 – 1984)


โดย: บุษบามินตรา IP: 94.23.252.21 วันที่: 26 เมษายน 2559 เวลา:10:37:30 น.  

 
มินตรา ..

ไม่ต้องใช้ทฤษฎีใดๆทั้งสิ้นครับ ... สำหรับผม
แค่ข้อมูลอะไรที่ไม่ make sense ผมก็ต้องแย้งเป็นธรรมดา

sense คือ สามัญสำนึกธรรมดาของคนเรา
อะไรที่ไม่ธรรมดา ย่อมไม่ อาจยอมรับได้

ผมมองว่า มินตรา ข้ามไม่พ้น อ.นิธิ นะ เห็นย้ำพูดย้ำคิดเหมือนแผ่นเสียงตกร่อง
ในทางวิชาการแล้ว ผมเชื่อว่ามีน้อยคนมากจะคล้อยตามการทึกทักเอาเองของมินตรา .. ทึกทักเอวเองครับ

และไม่ว่าเรื่องอะไรที่เป็นประเด็นยกถามขึ้นมา จะถูกเบี่ยง ตอบไม่ตรง ไม่ตอบ ข้ามไป .. เสมอ

อย่างกรณี พระอรหันต์สมัยพุทธกาลเป็นชาวสยาม .. แม้จะไม่ได้เขียนเองแค่ไป copy & paste มาจากเวปไหนก็ตาม .. มันยากที่จะรับรองความเชื่อนี้ได้

2600 ปีที่แล้ว นานมากมินตรา .. มันไม่มีสยามที่ไหนทั้งสิ้นในตอนนั้น
ผู้คนเดินทางไปไหนมาไหนด้วย ช้าง ม้า เทียมเกวียน และเรือ ..

ความรู้แบบตัดแปะ โน่นนิด นี่หน่อย จากที่ต่างๆ มันไม่น่าอ่าน ไม่น่าสนใจครับ เพราะไม่ได้เรียบเรียงด้วยความเข้าใจของตนเอง .. ผมถึงดูข้ามๆไป ..

ไม่ว่าเรื่อง ชนชั้นปกครอง
ไม่ว่าเรื่อง ชนชาวสยาม
ไม่ว่าเรื่อง แนวคิดด้านการเมือง

เราแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ




โดย: สดายุ... วันที่: 26 เมษายน 2559 เวลา:11:01:18 น.  

 
มาอ่านคอมเม้นท์แล้วดูเหมือนอีกคนจะพยายามหาเหตุผลมาแย้งและอีกคนก็พยายามสร้างเหตุผลมาลบล้างกัน
แต่ความจริงนั้นคืออะไร. ไม่มีใครรู้จริงทั้งนั้น
เหตุการณ์ต่างๆถูกสร้าง ถูกบิดเบือน ถูกปั้นแต่ง
จนแม่พริ้มก็มึนไปหมดแล้วจ้าววววววว


โดย: แม่พริ้ม IP: 118.172.247.252 วันที่: 3 พฤษภาคม 2559 เวลา:6:21:10 น.  

 
แม่พริ้ม

ผมเชื่อถือในหลักฐาน รวมทั้งที่บันทึกไว้ในวิกิพีเดียมากกว่าทางอื่นครับ


โดย: สดายุ... วันที่: 10 พฤษภาคม 2559 เวลา:8:54:21 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

สดายุ...
Location :
France

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 151 คน [?]









O ใช่แน่หรือ ? .. O






O หรือธรรมชาติผ่านเวียน .. คอยเปลี่ยนโลก ?
ทั้งสุขโศกเร่งรุดยากหยุดไหว
หรือกำหนดยุดยื้อจากมือใด
จัดการให้แปลกแยกได้แทรกตัว
O หรือพบกันครั้งแรก, ความแตกต่าง
ถูกบ่มสร้างเหมาะควรอย่างถ้วนทั่ว
แต่ตา-รูป .. สบกัน, ที่สั่นรัว-
แรกที่หัวใจคน .. เริ่มอลเวง
O ละห้อยเห็นในยามห่างนามรูป
แต่ละวูบเนรมิตคอยพิศเพ่ง
งามทุกงามจารจรดเยี่ยงบทเพลง
พร้องบรรเลงด้วยมือช่วยยื้อยุด
O ย่อมเป็นมือสร้างเหตุแทรกเจตนา
ผ่านรูปหน้าอำนวยเข้าฉวยฉุด
ร้างไร้ความกริ่งเกรง, หากเร่งรุด
แทรกลงสุดหัวใจเพื่อไขว่คว้า
O แน่นอนว่ายากเว้น .. อยากเห็นรูป
และชั่ววูบวาบเดียวที่เหลียวหา
หวังทุกหอมรินไหลผ่านไปมา
ทั้งหางตาที่ชม้อยเหลือบคอยปราย
O โลกย่อมงามพร่างแพร้วเมื่อแผ้วผ่าน
ด้วยอ่อนหวานอ่อนโยนที่โชนฉาย
แม้นมิอาจโยกคลอนให้ผ่อนคลาย
ก็อย่าหมายโยกคลอนให้ผ่อนลง
O จะกี่ครั้งกี่ครา, ความอาวรณ์
เวียนรอบตอนจับจูงจนสูงส่ง
ด้วยรูปนามเทียบถวัลย์อย่างบรรจง
แตะแต้มลงผ่านจริตจนติดตรึง
O ความรู้สึกในอกย่อมยกตัว
หวานถ้วนทั่ว, รสประทิ่น, ถวิลถึง
เหมือนรุมล้อมหยอดย้ำลงคำนึง
ให้เสพซึ้งรสงามของ .. ความรัก
O วัฏฏจักรแห่งธรรม .. ย่อมย่ำผ่าน
เข้าขัด-คาน จับจูงความสูงศักดิ์
ของอาวรณ์หลบเร้น เพื่อเว้นวรรค
ที่เข้าทักทายทั่วทั้งหัวใจ
O หรือแท้จริงตัวตนถูกค้นพบ
การบรรจบ .. รูป-จริต แล้วพิสมัย
ปรารมภ์ของฝั่งฝ่าย .. นั้น-ฝ่ายใด
เพิ่งยอมให้เรื่องเฉลย .. ยอมเผยความ ?



Friends' blogs
[Add สดายุ...'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.